หลังจากที่เสียงปิดประตูหน้าดังขึ้น ทั้งห้องก็ถูกปกคลุมด้วยความเงียบอีกครั้ง บรรยากาศดีๆ หลังการสานสัมพันธ์ที่แนบชิดบนเตียงเดียวกัน จนกระทั่งถึงตอนที่นั่งดื่มกาแฟด้วยกันก่อนหน้านี้ เพียงเพราะโทรศัพท์สายเดียวเท่านั้น ทำเอาบรรยากาศนั้นแตกเป็นเสี่ยงๆ แม้จะยังหงุดหงิดกับเรื่องไม่เป็นเรื่องที่เกิดขึ้น แต่เพราะเรื่องนี้จึงทำให้เกิดฉุกคิดขึ้นได้ว่าระหว่างเขากับจองอูนั้นเราไม่ได้สนิทกันเลย ซองจูที่มีชนักติดหลังหันไปสบตากับจองอู
“นี่…”
“อ้า ดูท่าคงจะตื่นเช้าไปหน่อยเลยรู้สึกเพลียๆ ฉันขอไปนอนก่อนนะ”
“เอ่อ อื้อ ไปเถอะ…”
เขาอยากจะแก้ตัวออกไปสักเล็กน้อย แต่ท่าทางของจองอูที่พูดขัดขึ้นมาในทันที พร้อมกับการลุกขึ้นของอีกคน ทำเอาซองจูได้แต่ตอบรับอ้อมแอ้มกลับไป ตอนนี้ก็ทำได้แค่พูดว่าไม่มีอะไรกลับไปเท่านั้น
ซองจูยืนเหม่อลอยเงียบๆ ในห้องนั่งเล่นที่ไม่มีจองอูอยู่แล้ว ก่อนจะตัดสินใจเดินกลับเข้าห้องตัวเองไปอย่างเนือยๆ พร้อมกับปิดประตูห้องลง
“เฮ้อ…”
ทันทีที่ได้ยินเสียงซองจูกลับเข้าห้องไปแล้ว จองอูก็ทิ้งตัวนอนแผ่ลงบนเตียง เตียงที่ไม่อาจทนรับการกระแทกจึงเกิดแรงกระเพื่อมไหวสะท้อนกลับมา เขาฟุบตัวลงบนนั้น พร้อมกับถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ แต่ทว่าความรู้สึกอึดอัดพวกนั้นมันกลับไม่ลดลงเลย
ข่าวลือ
ข่าวลือสำหรับจองอูมันก็แค่เรื่องราวของคนอื่นที่ปรากฎออกมาบนเว็บไซต์หรือตามหน้าหนังสือพิมพ์ก็เท่านั้น แต่ว่าเพียงเพราะเหตุผลเดียวก็คือฮันซองจู ทำไมมันถึงได้กลายมาเป็นเรื่องใหญ่โตขนาดนี้ได้ล่ะ เขาไม่ได้รู้สึกยินดีกับการเปลี่ยนไปของจิตใจจนทำให้เขาไม่อาจเข้าใจตัวเองได้แบบนี้เลย
เขาตระหนักแล้วว่าตัวเองกำลังไม่พอใจซองจูอย่างไม่มีเหตุผล
เขารู้แล้วว่าตอนนี้ซองจูไม่ได้กำลังคบหากับใครอยู่อย่างแน่นอน หลังจากที่เข้ามาอาศัยอยู่ที่นี่ เขาก็เฝ้าสังเกต และพบว่าชีวิตประจำวันของซองจูนั้นเรียบง่ายอย่างมาก หากตัดเรื่องที่ออกไปออกกำลังกายข้างนอก อีกคนก็แทบจะไม่ออกไปเที่ยวเล่นที่ไหนเลย เหมือนจะไม่ได้มีสังคมที่กว้างขวางมากนัก ไม่ว่าจะมุมไหน ฮันซองจูก็ดูไม่ได้แตกต่างไปจากคิมจองอูเลย
ถ้าหากซองจูอยากใช้ชีวิตเป็นหนุ่มเจ้าสำราญขึ้นมา อีกคนก็จะคอยมาพูดคุยกับตัวเขา ทานของว่างหรืออาหารด้วยกัน ถ้าไม่ทำแบบนั้น เจ้าตัวก็จะปล่อยเวลาไปกับการเกลือกกลิ้งอยู่บนเตียง แทบจะไม่มีเสียงพูดคุยโทรศัพท์ ที่ติดต่อเข้ามาส่วนใหญ่ก็มาจากบริษัทและเกี่ยวกับเรื่องงานทั้งหมด ในช่วงนี้คงมีเพียงจองอูเท่านั้นที่อีกคนคอยมาพูดคุยแลกเปลี่ยนความรู้สึก
แต่ไม่ว่าจะแก้ตัวอย่างไรมันก็แทงใจดำเขาอยู่ดี ถึงการที่อีกคนจะคบหากับใครมันก็ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเขาอยู่แล้วก็เถอะ
คิดเช่นนั้นแล้ว ก็กลับรู้สึกใจหายวาบขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก จองอูถอนหายใจออกมาแผ่วเบา แล้วจึงเลิกผ้าห่มฝั่งหนึ่งขึ้นก่อนจะแทรกตัวเข้าไปในนั้น หากอยากให้ความคิดว้าวุ่นสงบลง การนอนก็นับเป็นวิธีแก้ไขที่ดีที่สุดแล้ว จองอูนอนพิงอยู่บนเตียง สายตาเหม่อมองไปยังบานประตูที่ปิดสนิท ซองจูที่อยู่อีกฝั่งของประตู กำลังทำสีหน้าแบบไหนอยู่กันนะ แม้จะกังวลว่าอีกคนอาจจะกำลังทำอะไรบ้าๆ อยู่ในห้องของตัวเอง แต่เขาก็คิดว่ามันไม่ใช่เรื่องที่เขาควรจะเข้าไปยุ่ง
“ไม่รู้แล้วโว้ย…”
หลับตาลงพร้อมไล่ความคิดฟุ้งซ่านในหัวออกไป ปล่อยให้เสียงพึมพำนั่นก้องสะท้อนในห้องกว้างนี้ ก็ไม่รู้อะไรเลยจริงๆ นี่นะ
‘แม่ แม่! แม่ ดูนี่สิครับ ดอกไม้ที่ลานบ้านบานแล้วนะครับ! แม่ มะ แม่…? แม่ ทำไมเป็นแบบนั้นล่ะครับ?’
‘แค่แก ถ้าไม่มีแกสักคน! ถ้าแกไม่เกิดมาสักคน…ฉัน อ๊ากกก!’
‘แม่ ผมเจ็บ เจ็บ จองอูเจ็บนะครับ แม่…ไว้ชีวิตผมด้วย ผมผิดไปแล้ว ผมผิดเองครับ แม่…’
“เฮือก!”
เขาหอบหายเข้าออกอย่างแรง พร้อมกับทะลึ่งตัวลุกพรวดขึ้นมานั่ง เขาฝันถึงเรื่องราวเมื่อนานมาแล้ว ในช่วงที่ตัวเองยังเป็นเด็กอยู่ หลังจากเขามาอาศัยอยู่ที่นี่ก็คิดว่ามันจะไม่เกิดขึ้นได้อีก แต่ดูท่าว่าเขาคงจะคิดผิดไปอย่างมาก จองอูเอามือกุมหน้าผากพร้อมกับหัวคิ้วที่เริ่มขมวดมุ่น เสียงร้องไห้นั่นยังคงดังก้องอยู่ในหู มันกำลังกัดกินความรู้สึกของเขาให้อ่อนแอยิ่งขึ้น
“กี่โมงแล้วนะ…”
เพราะผ้าม่านสีเข้มที่บดบังหน้าต่างบานใหญ่เอาไว้ ทำให้เขาไม่สามารถคาดเดาเวลาในตอนนี้ได้ เจ้าตัวหันซ้ายหันขวามองหาโทรศัพท์ที่เอาวางทิ้งไว้ตรงมุมหนึ่งของเตียงนอน เมื่อเจอแล้วจึงกดเปิดหน้าจอ ดวงตาที่คุ้นชินกับความมืดเกิดอาการระคายเคืองเล็กน้อยจากแสงที่สว่างวาบขึ้นมา เขาหลับตาลงครู่หนึ่ง กะพริบตาอยู่สองสามครั้ง เมื่อนั้นจองอูจึงเห็นตัวเลขที่ปรากฏบนหน้าจอ แล้วกดปิดมันทันที ก่อนจองอูจะลุกพรวดออกไปข้างนอก
“ตื่นสายจนได้ คงจะกำลังหิวอีกแล้วสิ”
เขาพึมพำออกมาเสียงเบา ก่อนจะลุกออกมาอย่างรีบร้อน
“นี่ ไม่มีอะไรกินเลยเหรอ”
ทันทีที่เปิดประตูออกมา น้ำเสียงเบื่อหน่ายนั้นก็ดังขึ้นมาราวกับว่ากำลังรอคอยอยู่ จองอูที่ขมวดคิ้วเล็กน้อยตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ
“ไม่มี ต้องไปซื้อ”
“ไอ้เจ้ามินซิกก็บอกแล้วนี่ว่าอย่าพึ่งออกไป ไม่มีอย่างอื่นเก็บไว้แล้วเหรอ”
“จะมีได้ไง ทั้งนาย ทั้งฉัน ถูกกักอยู่ที่นี่มาสองอาทิตย์แล้วนะ”
เอ่ยดุออกมาเสียงดังให้คนเอาแต่ใจหยุดพูดเรื่องที่ไม่ทางเปลี่ยนแปลงได้ แล้วจึงเดินเข้ามาที่ห้องครัว เขาเดินสำรวจแถวๆ อ่างล้างจาน มีเศษผงสีดำหล่นกระจัดกระจายอยู่รอบๆ อ่างล้างจาน และร่องรอยของน้ำที่เปียกเปื้อนไปทั่วอ่าง ทันทีที่ได้เห็นเช่นนั้น จองอูก็มีสีหน้าบึ้งตึงขึ้นมา พร้อมหันกลับไปทางห้องนั่งเล่น
“ทำอะไรกินเหรอ?”
“ปะ เปล่า ก็แค่…”
เขาจ้องมองไปยังซองจูที่มีท่าทางลุกลี้ลุกลน พร้อมกับดวงตาที่กระตุกขึ้น
“ก็ จะลอง…ชงกาแฟนั่นดูสักครั้ง แต่มันก็ไม่รอด”
ได้ยินแค่นั้น จองอูก็เข้าใจได้ในทันที ว่าระหว่างที่เขาหลับไปนั้น มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นมาบ้าง เสียงถอนหายใจแผ่วเบาดังออกมาจากในห้องครัว ทำเอาซองจูถึงกับสะดุ้งเฮือกพร้อมกับรีบหันหลบสายตาทันที นั่นทำให้จองอูมั่นใจกับความคิดตัวเอง พร้อมกับแสดงสีหน้าที่เข้มขึ้นไปอีก เขาใช้มือเช็ดเศษผงสีดำที่หล่นทั่วอ่างล้างจานพร้อมกับพูดขึ้น
“คราวหน้าถ้าอยากดื่มกาแฟก็ให้บอก ไม่อย่างนั้นก็ดื่มจากเครื่องชงกาแฟแบบเมื่อก่อนก็ได้”
“รู้แล้วน่า…”
เมื่อเห็นท่าทางที่รู้สึกผิดแทบตายของอีกคน เขาก็ไม่คิดจะพูดอะไรออกมาอีก จองอูเพียงเช็ดทำความสะอาดเศษผงกาแฟที่หล่นเกลื่อนกลาด ก่อนจะเริ่มเตรียมอาหารเที่ยงที่เลยเวลามามากแล้ว
ทั้งคู่เริ่มต้นใช้ชีวิตแบบโดนกักบริเวณมาเป็นเวลากว่าสองสัปดาห์แล้ว คำพูดของมินซิกที่บอกว่าอีกไม่นานก็จะจัดการปัญหาทุกอย่างได้ เขาเองก็เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง แม้บริษัทจะจัดการกับข่าวลือจนมันลดลงไปได้อย่างรวดเร็ว แต่ว่านักข่าวที่ต้องการขุดคุ้ยความจริงเรื่องความสัมพันธ์นี้ ก็ยังจัดทีมมาคอยเฝ้าอยู่แถววิลล่า ทำให้พวกเขายังคงถูกสั่งห้ามออกไปข้างนอก ดังนั้นจึงไม่แปลกที่จะมีท่าทางอยากออกไปจนใจจะขาดแบบนั้น
“อยากออกไปข้างนอก”
รู้ดีว่าตัวเองเป็นตัวการทำครัวรก แต่ก็หนีไปไหนไม่ได้ จึงได้แต่นั่งคุดคู้อยู่บนโซฟาพร้อมกับบ่นพึมพำออกมาให้อีกคนได้ยินก็เท่านั้น
“นายก็รู้นี่ ถ้าออกไป แล้วโดนนักข่าวพวกนั้นตามมารุมทึ้งจะทำยังไง”
“เพราะงั้นถึงไม่ออกไปไง”
ซองจูบ่นพึมพำตอบกลับไปด้วยท่าทางราวกับเป็นเด็กๆ
เป็นไปตามการคาดการณ์ของซองจู คนปล่อยข่าวก็คือซอยอนนั่นเอง แม้ภายนอกดูเหมาะจะเป็นพวกหนุ่มเจ้าสำราญ แต่พอทายาทคนเล็กของกลุ่มธุรกิจอย่างดงฮยอนที่รู้จักอีกฝ่ายดีอยู่แล้ว ติดต่อไปหาซอยอน คำพูดเพียงไม่กี่คำ ก็ทำเอาฝ่ายนั้นถึงกับร้องไห้พร้อมสารภาพความจริงออกมา
เหตุผลนั้นแสนจะเรียบง่าย หลังจากเตะโด่งเขาทิ้งไปแล้ว เมื่อได้มาคิดทบทวนอย่างละเอียด ก็รู้สึกว่าคนอย่างฮันซองจูหาไม่ได้จากที่ไหนอีกแล้ว
เพราะตัวเองเป็นฝ่ายบอกเลิกก่อน จึงไม่กล้าจะกลับมาขอคืนดีด้วย และยังไม่อาจรั้งอีกคนเอาไว้ได้ วิธีสุดท้ายที่คิดออกก็มีแค่ทางนี้เท่านั้น หากมีข่าวลือออกมา ซองจูที่กังวลกับภาพลักษณ์ของตัวเองอาจจะกลับมาขอคืนดีก็ได้ ดังนั้นเธอจึงได้ไปหลอกล่อให้ทายาทเจ้าของสำนักพิมพ์ที่เคยสนิทกัน เอาข่าวลือนี้ไปบอกกับนักข่าว แต่เธอก็ไม่คิดเลยว่าความฝันของเธอสุดท้ายแล้วมันก็พังไม่เป็นท่า ซอยอนถูกดงฮยอนโต้กลับอย่างรวดเร็วด้วยข่าวที่ทำให้เธอแทบล้มทั้งยืน
เนื้อหาที่โต้แย้งกลับไปนั้นแสนจะธรรมดา จริงที่ว่าการคบหากับฮันซองจูตลอดห้าปีนั้นเป็นความลับ แต่ด้วยนิสัยที่แตกต่างกันมากเกินไป จึงทำให้ความสัมพันธ์มันต้องจบลงอย่างเงียบๆ เนื้อข่าวที่ดูไม่เหมือนเรื่องโกหกนั่น ทำให้คนเลิกให้ความสนใจอย่างรวดเร็ว ไม่เพียงเท่านั้นฝ่ายที่เสียหายยังกลายเป็นซอยอนเสียเอง มันเหมือนเป็นการเอาคืนเล็กๆ น้อยๆ เมื่อเนื้อหาข่าวที่โต้กลับไปนั้น ได้แอบซ่อนข้อมูลเล็กๆ น้อยๆ ที่เพียงพอต่อการตีความและเข้าใจได้ว่าอีกฝ่ายคือซอยอนเอง ซองจูที่ดูแลระมัดระวังตัวเองอย่างดี ทำให้ไม่ค่อยมีประวัติเสียหายออกมาเท่าไหร่นัก แต่กับซอยอนที่ทำตัวเป็นอันธพาลไม่จบไม่สิ้นนั้น สุดท้ายก็ทำให้ตัวเองต้องพบเจอกับความโชคร้าย ตลอดเวลาที่คำค้นหาบนโลกออนไลน์มีแต่ชื่อของซอยอนนั้น สุดท้ายเธอจึงตัดสินใจโทรมาหาดงฮยอน และสารภาพด้วยน้ำเสียงสิ้นหวัง บอกว่าตัวเองเป็นคนผิด และขอร้องให้ช่วยหยุดข่าวพวกนี้เสียที
“เป็นความสัมพันธ์ที่ไร้ค่าสิ้นดี ยัยนั่นไม่เคยเข้าใจคนที่ตัวเองคบมาเป็นปีๆ เลยสักนิด ถึงจะข่มขู่แบบนั้นออกมา แต่ฉันก็ไม่ใช่พวกที่จะยอมศิโรราบกับเรื่องอะไรแบบนั้นสักหน่อย ทำไมถึงไม่หัดรู้ซะบ้างนะ คิดว่าฉันจะยอมปล่อยเฉยงั้นเหรอ การให้คนอย่างซองจูวิ่งไล่ตาม คุกเข่าอะไรแบบนั้น น่าเสียดายเหมือนกันนะที่คงไม่มีทางได้เห็น”
ตอนนั้นเขายอมปล่อยมือจากเรื่องตรงหน้า พร้อมกับตะโกนสั่งดังลั่นให้ดงฮยอนที่หัวเราะเยาะเย้ยนั่นหุบปากไปเสีย สีหน้าของซองจูเปลี่ยนเป็นแดงจัด นี่มันไร้สาระยิ่งกว่าที่คิดเสียอีก
แม้จะเป็นเช่นนั้น ก็ยังคงมีบรรดานักข่าวดักซุ่มอยู่แถววิลล่า เพราะหวังที่จะได้รับความจริงจากปากของซองจู ดังนั้นดงฮยอนจึงได้สั่งแล้วสั่งอีกให้อยู่แต่ในห้อง แล้วยังพูดเสริมว่าขอโทษที่ทำให้อีกคนต้องลำบากไปด้วย ตัวเขาที่ไม่มีอะไรจะพูดก็เพียงพยักหน้ารับ จองอูเองก็เพียงแค่ใช้ชีวิตอย่างเรื่อยเปื่อยไปกับซองจู
“กินขนมปังติดกันได้ใช่ไหม”
“ขนมปังอีกแล้ว?”
“งั้นจะกินข้าวรึไง? แต่เครื่องเคียงมีแค่ไม่กี่อย่างนะ”
“…ช่างเถอะ ขนมปังก็ได้”
จองอูที่จัดการกับอ่างล้างจานเสร็จ ก็ไปตรวจดูของกินในตู้เย็น เจ้าตัวหยิบเอาไข่ไก่ ผักสด และเนื้อออกมา พร้อมถอนหายใจเฮือกหนึ่ง
“ของหมดเร็วกว่าที่คิดซะอีก คงต้องโทรหามินซิกแล้วสิ”
จองอูที่พูดออกมาเหมือนกับพวกคุณพ่อบ้านอะไรแบบนั้น ทำให้สีหน้าของซองจูที่จ้องมองอีกฝ่ายดูยุ่งยากขึ้นมา
“นายกับฉันก็ไม่ได้กินเยอะสักหน่อย ทำไมถึงหมดเร็วนัก?”
“อืม มินซิกซื้อมาน้อยไปหน่อยน่ะ ก็คงเพราะชินกับการเตรียมอาหารให้แค่นายคนเดียว”
“เฮ้อ เจ้านั่นก็คงจะทำงั้นสินะ เอามาสิ ฉันคุยเอง”
“ไม่ต้องหรอก ให้นายจัดการมินซิกคงได้ร้องไห้แน่”
ไม่ชอบใจเลยที่อีกคนเข้าข้างมินซิกมากกว่าตัวเอง จองอูที่รู้สึกถึงสายตาพิฆาตนั่นของซองจู ได้แต่ถอนหายใจออกมา
“ทำเป็นเด็กไปได้ พอเถอะ”