การเกิดมาของเขาจึงกลายเป็นความผิดบาป ไม่ว่าจะเป็นการคลอดออกมาอย่างปลอดภัย หรือกระทั่งการเติบโตมาอย่างแข็งแรง ทั้งหมดนั่นนับเป็นความผิดบาปทั้งสิ้น ไม่มีใครรักจองอูเลยสักคน
แม่ก็ไม่เคยรักจองอู เขาเป็นเพียงอุปสรรคชิ้นโตในชีวิตของเธอ ครอบครัวญาติๆ ก็ไม่ชอบจองอู พวกนั้นต่างพากันเรียกขานเขาว่าเป็นไอ้ตัวเสนียดที่คอยทำลายชีวิตของแม่ แม้แต่พ่อก็ยังคิดว่าเขาคือภาระ ไม่มีแม้ใครสักคนที่คอยอยู่เคียงข้างเด็กน้อยจองอูเลย
หลังจากถูกพ่อทุบตี แม่ก็ไม่รีรอออกตามหาจองอูที่ซ่อนตัวอยู่จนเจอ แล้วก็ระบายความโกรธทั้งหมดลงที่เขาเสมอ เธอเริ่มต้นทุบตีเขาด้วยมือกับรองเท้าแตะ แล้วก็เปลี่ยนไปเป็นที่ช้อนรองเท้า เหล็กเขี่ยไฟ หรือไม้กวาดบ้าง แล้วจากนั้นจึงขยับเปลี่ยนไปเป็นพวกของมีคมอย่างมีดทำครัว และก้นบุหรี่ติดไฟ บาดแผลเล็กๆ น้อยๆ บนร่างกายตอนนี้ คือร่องรอยจากการถูกทารุณนับครั้งไม่ถ้วนนั่นเอง
ถ้างั้นแล้วรอยแผลบนดวงแต่นี่ละคืออะไรกัน นิ้วมือของจองอูยังคงลูบลงบนรอยแผลขรุขระอันเป็นร่องรอยของความล้มเหลว
หลังจากหลบหนีมาอยู่ที่บ้านเกิดของแม่ในชนบท พ่อก็เริ่มติดเหล้าและการพนันอย่างหนัก ตอนที่ยังมีสติดีอยู่ บางครั้งก็ยังคอยไปช่วยงานเล็กๆ น้อยๆ ของทางบ้านแม่ แต่เพราะโตมาในเมือง ตลอดชีวิตก็เป็นสายวิชาการ เคยจับแต่พวกดินสอปากกามาตลอด เมื่อต้องมาใช้แรงงานทำงานจึงทำมันออกมาได้แย่มาก สุดท้ายก็ถูกพวกญาติๆ ตราหน้าว่าเป็น ไอ้ตัวไร้ประโยชน์ ดังนั้นพ่อจึงเก็บรวบรวมเศษเงินเล็กๆ น้อยๆ เท่าหางหนูไปเล่นพนันในตลาด ตอนได้ก็ได้มาก ตอนเสียก็เสียจนหมดตัว แล้วยังต้องมาจ่ายค่าเหล้าอีก อย่างไรเสีย มันก็มีแต่ทำให้ติดลบมากขึ้นเท่านั้น สุดท้ายแล้วก็วนกลับมาทำร้ายร่างกายคนในครอบครัว
ในวันนั้นก็เช่นกัน พ่อที่เมาได้ที่กลับมาบ้าน พอเข้ามาในบ้านก็เริ่มทุบตีแม่ ไม่รู้ว่าไปได้ยินอะไรมาจากที่ตลาดอีก ถึงได้พูดออกมาว่าเป็นเพราะแกชีวิตฉันถึงได้พังพินาศแบบนี้ แล้วก็เข้ามาคว้าตัวแม่เอาไว้ จองอูที่เห็นเช่นนั้นก็ร้องไห้ออกมา พร้อมกับพยายามห้ามปรามพ่อ
เด็กน้อยที่ร้องไห้ออกมา พยายามหยุดยั้งอีกฝ่ายด้วยท่าทางอย่างคนโง่เขลา ในสายตาของคนเป็นพ่อที่สิ้นเนื้อประดาตัว กระทั่งก้อนเนื้อที่มีสายเลือดของตัวก็ยังดูแลไม่ได้ สุดท้ายแล้ว ความอับอายที่ไม่สามารถให้การศึกษากับลูกได้ ก็ทำให้แม่ถูกทุบตีหนักขึ้นเป็นเท่าตัว จากนั้นพ่อก็กลับออกไปดื่มเหล้าอีกครั้ง แม่จึงเริ่มไล่ล่าเขาเหมือนไล่ล่าหนู
เสียงร้องเรียกให้ออกมา มันเหมือนกับเสียงของปีศาจ คำสบถด่าว่าเป็นตัวไร้ค่าชั้นต่ำ ร่างกายเล็กๆ ของจองอูผู้ไร้ความผิด ถูกแรงเตะของแม่กระแทกจนล้มกลิ้งไปกับลานบ้าน แล้วก็ถูกหินที่โผล่ขึ้นบาดลงบนใบหน้า ตัวเขาร้องไห้ออกมาอย่างหนัก แต่คนทำนั้นเพียงถ่มน้ำลายใส่ พร้อมกับกนด่าออกมาเท่านั้น
แม้จะเห็นสภาพใบหน้าที่มีเลือดไหลอาบออกมาเป็นสาย แต่กลับไม่มีใครเอ่ยถามด้วยความห่วงใยออกมาเลย สุดท้ายจองอูก็ถูกปล่อยทิ้งเอาไว้เช่นนั้น ตัวเขาเป็นไข้ตัวร้อน เนื่องจากความทรมานที่ได้รับจากบาดแผลบนใบหน้าที่เริ่มบวมปูด นั่นทำให้เขาไม่สามารถไปโรงเรียนอย่างที่ชอบไปได้ แม้ไข้จะเริ่มลดลงแล้ว แต่บาดแผลที่เต็มไปด้วยน้ำเหลืองและหนองกลับไม่มีท่าทีว่าจะหายไปเลย จองอูเร่ร่อนไปตามลำพังแถวละแวกบ้านด้วยหน้าตาที่ดูอัปลักษณ์นั่น จนกระทั่งได้รับความช่วยเหลือจากคนในหมู่บ้านที่เป็นย่านธุรกิจแห่งหนึ่ง เขาได้รับการรักษาจนมันเกือบหายดี แต่มันก็สายเกินไปเสียแล้ว สุดท้ายความอัปยศในวันนั้น ก็ยังคงเหลือเป็นรอยแผลเป็นอยู่บนใบหน้าหล่อเหลาเช่นนี้ สำหรับจองอู สิ่งนั้นเหมือนเป็นตราประทับที่ได้รับจากขุมนรก
ใครที่ได้เห็นต่างก็แสดงท่าทีรังเกียจมัน แม้จะได้รับส่วนที่ดีมาจากหน้าตาของทั้งพ่อและแม่ ทำให้เขามีหน้าตาที่พอใช้ได้ แต่ทว่าเพราะมีรอยแผลนี้อยู่ ข้อดีพวกนั้นมันจึงไม่เกิดประโยชน์อะไรเลย จองอูต้องเผชิญกับสายตาขยะแขยงของคนส่วนใหญ่ที่ได้เห็นบาดแผลนี้ และนั่นก็ยิ่งทำให้มีบาดแผลเพิ่มขึ้นมาในใจของเขา
จองอูที่ทนกับการทารุณกรรมของคนในครอบครัวและทนต่อสายตาของผู้คนรอบข้างไม่ไหว สุดท้ายเมื่อจบม.ต้น เขาก็หนีออกจากบ้าน และนั่งรถบัสเข้าโซลด้วยเงินที่แอบรวบรวมเอาไว้ ที่ที่เขาเชื่อมั่นก็คือเบอร์โทรศัพท์ในกระดาษโน้ตที่ยับยู่ยี่
เมื่อเดินทางมาถึงที่สถานีขนส่ง เขาก็ตามหาตู้โทรศัพท์สาธารณะ เพื่อจะโทรไปหาคนที่เป็นเหมือนชูชีพที่เขาคว้าเอาไว้ได้ ตอนนั้นยังคงเป็นฤดูหนาวที่ทำเอาจองอูแทบหนาวตาย ตรงตู้โทรศัพท์หน้าสถานีขนส่ง เขายืนเป่าลมร้อนใส่มือขณะที่ต่อสายโทรศัพท์อย่างไม่ละความพยามยาม เขายังจำมันได้ดี ครู่ต่อมา เสียงสัญญาณก็ตัดไป พร้อมกับน้ำเสียงคุ้นหูก็ดังมาให้ได้ยิน นั่นทำเอาดวงตาทั้งคู่ถึงกับเอ่อคลอด้วยหยาดน้ำตา อีกคนมาหาเขาทันทีโดยไม่มีเงื่อนไขใดๆ พร้อมกับให้ความช่วยเหลือเขาทุกอย่างด้วยตัวเอง
คนที่ช่วยเขาออกมาจากการขุมนรก พาเขาหลบหนีจากการถูกพ่อแม่ทารุณกรรม ให้จองอูได้ออกมาจากบ้านหลังนั้น เบอร์โทรศัพท์นั้นคือเบอร์ของดงฮยอน ดังนั้นสำหรับจองอูแล้ว ดงฮยอนจึงไม่ต่างอะไรกับผู้ปกครองของเขา
การใช้ชีวิตในโซลก็ไม่ได้แย่ ด้วยความช่วยเหลือของดงฮยอนทำให้เขาผ่านการสอบเทียบวุฒิการศึกษา และได้เรียนเกี่ยวกับการชงกาแฟ เมื่ออีกคนได้ยินว่าเขาสนใจเรื่องดนตรี ดงฮยอนก็จัดการซื้อเครื่องดนตรีและอุปกรณ์มาให้เขา เขาไว้ผมยาวเพื่อซ่อนรอยแผลนั่นเอาไว้ และใช้ชีวิตโดยการไม่เอ่ยถึงเรื่องราวในวัยเด็กอีก ก่อนที่จองอูจะเข้ากรม เขาก็ได้รับความช่วยเหลือจากดงฮยอน แล้วจึงค่อยๆ เริ่มพึ่งพาตัวเองได้
เป็นเวลากว่าสิบห้าปีแล้วที่เขาใช้ชีวิตโดยการทิ้งอดีตในบ้านเกิดไว้เบื้องหลังเช่นนั้น ใช้ชีวิตต่อไปเหมือนไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้นมาก่อน จนมันเกือบเป็นเหมือนความสามารถเฉพาะตัวของเขาไปแล้ว แล้วซองจูก็ขุดคุ้ยมันออกมาอีกครั้ง
จองอูละสายตาออกมาจากหน้ากระจกอย่างช้าๆ ก่อนจะทรุดตัวลงนั่งบนเตียง ร่างกายที่ยังคงเปลือยเปล่าเริ่มมีหยาดเหงื่อซึมออกมา
เมื่อได้อยู่กับซองจู เขารู้สึกเหมือนกับตัวเองได้กลับไปสู่ช่วงเวลาที่อ่อนแอนั้นอีกครั้ง
เขาปิดกั้นความรู้สึก ทำเหมือนว่าไม่เป็นอะไร นั่นก็พอจะแก้ไขให้มันผ่านพ้นไปได้โดยไม่มีปัญหาใดๆ และนั่นก็เป็นความทระนงตนในแบบหนึ่ง แต่ทว่าต่อหน้าฮันซองจูแล้ว สิ่งเหล่านั้นมันกลับไม่มีประโยชน์อะไรเลย ทุกสิ่งที่ทำเพื่อให้ตัวเองอยู่มาได้จนถึงตอนนี้ น่าแปลกที่ต่อหน้าฮันซองจูมันกลับกลายเป็นเพียงสิ่งไร้ค่า
หากรู้ว่าจะเป็นแบบนี้ เขาจะไม่เอาตัวเข้าไปใกล้ชิดกับอีกคนเด็ดขาด เขาจะไม่ทักทาย และไม่มีทางมอบหัวใจให้อีกคนอย่างแน่นอน ถึงอย่างไร มันก็เป็นความสัมพันธ์ที่บิดเบี้ยวมาตั้งแต่ต้น เขาจะไม่ยอมจับมือของอีกฝ่าย โดยที่ไม่อาจรู้ได้ว่าความสัมพันธ์นี้มันจะพังลงเมื่อไหร่
จนตอนนี้ที่เราแนบชิดกันแบบเนื้อแนบเนื้อ มันก็แค่ความผูกพันทางกายเท่านั้น เหมือนดั่งเช่นพ่อและแม่ของจองอู มันเสี่ยงและไม่อาจรู้ได้ว่าเมื่อไหร่ที่ความต้องการนั้นจะสลายไป
ซองจูไม่ได้ชอบจองอู อีกคนทำมันเพื่อให้ตัวเองได้ลืมคนรักเก่า จึงยอมรับและทำตามวิธีการที่จองอูเสนอให้ก็เท่านั้น คงมีเพียงเขาที่หมกมุ่นกับมัน หากเมื่อไหร่ซองจูแสดงท่าทีเย็นชากลับมา ความสัมพันธ์ของพวกเขาคงจะพังทลายลง ความสัมพันธ์ที่เหมือนกับภาพลวงตานี้สักวันมันก็ต้องจางหายไป จองอูค่อยๆ สูดหายใจเข้าลึก
“อยู่ที่นี่ไม่ได้แล้ว”
เขาพึมพำออกมาพร้อมกับยกสองมือขยุ้มลงไปบนหัวของตัวเอง แม้จะพูดออกมาเช่นนั้น แต่การจะให้ยอมแพ้กับความอบอุ่นของซองจูที่เคยชินไปแล้ว มันไม่ใช่เรื่องที่เขาเตรียมพร้อมเอาไว้เลย
แต่ว่า เขาก็ไม่สามารถอยู่ร่วมกับซองจูแบบนี้ได้อีกต่อไป
อาจจะพังทลาย
สติที่ยังคงหลงเหลืออยู่น้อยนิดของเขา มันบอกว่ากำลังรู้สึกเจ็บปวด
หนีไป
ต้องหนีไป
เสียงกระซิบแผ่วเบาที่ดังอยู่ข้างหูกำลังดึงดูดความสนใจของจองอู
การหนีก็ไม่ใช่เรื่องเลวร้าย ที่จริงแล้วชีวิตของจองอูก็เป็นเพียงแค่การหนีไปเรื่อยๆ อย่างไม่มีที่สิ้นสุดก็เท่านั้น
“นั่นสิ หนีไปเพื่อมีชีวิตอยู่ต่อ มันเลวร้ายตรงไหนกัน? เมื่ออยู่แบบนี้ต่อไปไม่ได้ ก็ต้องหนีไปเท่านั้น”
จองอูพึมพำออกมา ก่อนจะหยุดมือที่ทึ้งหัวตัวเอง
ก่อนที่ตัวเขาจะพังทลาย เขาต้องหาหนทางเพื่อมีชีวิตอยู่ต่อไป ก่อนที่จะถลำลึกกับซองจูไปมากกว่านี้ เขาต้องปล่อยมือแล้วจากไปเสีย ทำอย่างนั้นเขาจึงจะสามารถมีตัวตนอยู่ในความทรงจำของอีกคนในแบบที่ยังคงหลงเหลือความเป็นคนอยู่
จองอูยิ้มออกมา เขายังอยากให้ตัวเองดูดีอยู่ในความทรงจำของซองจู ไม่ว่าจะเมื่อไหร่ ใครๆ ต่างก็หวังที่จะดูดีในสายตาคนอื่นทั้งนั้น อย่างไรก็ตาม แม้จะห่างไกลจากสายตา ก็ไม่แน่ว่าจะห่างไกลจากความคิดไปด้วย ทำไมเขาถึงต้องยึดติดกับเรื่องแบบนี้ด้วยก็ไม่รู้
คนที่ฮันซองจูชอบ ก็คือผู้ชายที่หน้าตาเหมือนเด็กหนุ่มเจ้าสำอางแสนบอบบางคนนั้นต่างหาก ไม่ใช่คิมจองอูคนนี้ เขาย้ำมันกับตัวเองซ้ำๆ พร้อมกับฝืนกลืนน้ำลายลงคอ นับเป็นความโชคร้ายที่เขาไม่รู้จักการประมาณความสัมพันธ์ระหว่างคนอื่น ความรู้สึกที่เขามีให้กับซองจู หากเขาเก็บรักษามันไว้ไม่ได้ ก็ไม่รู้ว่าวันข้างหน้าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง ที่จริงแล้วเมื่อไม่นานมานี้ จองอูเผชิญหน้ากับฝันร้ายอีกครั้ง
เขาไม่อยากเป็นคนไร้ค่าในสายตาของซองจู หลายวันมานี้เขาไม่สามารถหลับได้สนิทเลยสักคืน เขาต้องทุกข์ทรมานจากอาการหูแว่วและฝันร้าย จะมีใครที่ยอมรับคนที่มีสภาพเช่นนี้ได้กันล่ะ ก่อนที่เขาจะกลับไปสู่สภาพที่เคยเป็นมาก่อนที่จะมาที่นี่ เขาต้องจากไปเสีย ทั้งที่ยังคงเป็นปกติอยู่
ถ้างั้น เมื่อไหร่กันล่ะ? จะหนีไปเมื่อไหร่กัน?
เขาหยุดความคิดไว้เพียงเท่านี้ ริมฝีปากของจองอูเริ่มแห้งผาก
รอให้ถึงเวลานั้น เวลาที่ข่าวลือทุกอย่างสงบลง อาศัยช่วงที่ซองจูออกไปข้างนอก แล้วค่อยหนีไป ครั้งนี้เขาจะพึ่งพาดงฮยอนไม่ได้อีกแล้ว ทุกอย่างต้องเป็นความลับ และมันต้องสำเร็จเท่านั้น
การหนีมันคงเป็นนิสัยของเขาไปแล้ว เสียงกระซิบยังคงดังมาให้ได้ยิน จองอูค่อยๆ ล้มตัวลงนอนบนเตียง การร่วมรักที่ยาวนานและความไม่สบายใจทั้งหลายทำให้ร่างกายมาถึงขีดจำกัด เขาหลับตาลงอย่างช้าๆ ภาวนาให้ตัวเองไม่ฝันร้าย ขออย่าให้เรื่องในอดีตหวนกลับมาทำร้ายเขาอีกเลย
* * *
“ซองจู ช่วงนี้เป็นยังไงบ้าง มีคนมาถามแม่ใหญ่เลยว่าช่วงนี้ไม่ค่อยได้เห็นหน้าลูกชายคนโตของแม่ในทีวีเลยนะ”
“ช่วงนี้ผมพักงานอยู่น่ะครับ พักดูแลตัวเอง แล้วรอจนกว่าจะมีผลงานเรื่องใหม่ออกมา ผมสบายดีครับ ไม่ต้องเป็นห่วงไปนะครับแม่”
“คุณนี่จริงๆ เลย ซองจูเขาจัดการได้อยู่แล้ว เจ้าลูกคนนี้เคยต้องพึ่งเราสักครั้งรึไง”
“แหม แต่ว่าคนรอบตัวคอยมาถามแบบนั้น ฉันก็แค่สงสัยขึ้นมาบ้างน่ะสิ ในปีนึงมันก็ควรจะมีผลงานออกมาบ้างสักชิ้นสองชิ้น แต่ปีนี้กลับไม่มีข่าวคราวอะไรเลย จะไม่ให้ไม่สงสัยได้ยังไงกันคะ”
“ถ้ามีข่าวดีอะไร แน่นอนว่าผมต้องบอกทั้งสองคนก่อนแน่ๆ อยู่แล้ว อย่าพูดอย่างนั้นเลยนะครับแม่”
ในสถานการณ์ที่ครอบครัวมารวมตัวกัน ซองจูก็ต้องกลับมาสวมบทบาทเป็น ‘ลูกชายคนโตผู้แสนดี’
รอยยิ้มเต็มเปี่ยมบนใบหน้า พร้อมกับสายตาที่จ้องมองไปยังผู้เป็นแม่ที่ไม่ได้พบกันมานาน การแสดงท่าทีเป็นลูกชายคนโตตัวอย่างแบบนี้ เหนื่อยกว่าที่คิดไว้เสียอีก เพราะแบบนั้นตอนนี้ภายในใจของซองจูจึงรู้สึกราวกับจะตายเสียให้ได้
ที่มันเป็นแบบนี้ก็เพราะการแต่งงานของซองฮี มันทำให้แม่ยิ่งใฝ่ฝันถึงครอบครัวที่สมบูรณ์แบบมากยิ่งขึ้นไปอีก
แม่ที่ปรารถนาให้ครอบครัวตัวเองได้เป็นครอบครัวตัวอย่างเสมอมา เพราะแบบนั้นทั้งซองจูหรือซองฮีที่ต้องเสียสละทั้งชีวิตตัวเองไปก็ได้แต่ขนลุกอยู่ภายในใจ แต่ก็ยังคงพยายามทำให้ได้ตามที่แม่ต้องการ การใช้ชีวิตแบบที่ทำให้ใครสบายใจนั้น เขารู้ดียิ่งกว่าใคร
หลังจากได้ลูกสะใภ้ที่พอใจ แม่ก็ไม่ลืมที่จะติดต่อมา เรียกให้ทุกคนมารวมตัวทานอาหารร่วมกัน หรือไม่ก็ชวนไปเที่ยวที่ไหนสักที่ มันเป็นการแสดงความดื้อดึงในแบบของแม่ ซึ่งก็ทำให้ครอบครัวต้องวุ่นวายกันเสมอ โดยเฉพาะซองฮีที่แสดงสีหน้าว่าไม่ชอบใจออกมา ด้วยเพราะมีตารางการเตรียมการแสดง และเตรียมอัลบั้มใหม่ที่ยุ่งวุ่นวาย เจ้าตัวจัดแบ่งเวลาไปกับงานแต่งงานและการฮันนีมูน พอกลับมาจึงคิดจะโฟกัสไปที่งานทันที แต่กลับถูกขัดขวางไว้ด้วยความต้องการของแม่
แม้เรื่องราวจะไม่ได้ดำเนินไปตามใจคิดสักเท่าไหร่ แต่เพราะความตื่นเต้นของแม่จึงช่วยคลายความโกรธของซองจูลงไปบ้าง หากแม่รับรู้เรื่องข่าวลือที่เพิ่งสงบลงไปได้ไม่นาน ซองจูคิดว่าแม่คงไม่ยอมมองหน้าเขา แล้วก็เอาแต่ตำหนิให้เขาได้อารมณ์เสียออกมาแน่
“ช่วงนี้มีบทละครดีๆ เข้ามา ตอนนี้ก็กำลังช่วยกันตรวจคัดเลือกกับทางบริษัทอยู่น่ะครับ อีกไม่นานก็คงจะมีข่าวดีออกมาแล้ว”