เวลาล่วงเลยไปหลายชั่วโมง กระทั่งเขาอาบน้ำเสร็จเรียบร้อยแล้ว จองอูก็ยังไม่กลับมา เส้นผมที่ยังไม่ทันแห้งสนิทดี มีหยดน้ำเกาะพราวอยู่ จนมันหยดลงมาบนผ้าขนหนูซึ่งพาดอยู่ที่ไหล่ ซองจูทำเพียงใช้ผ้าเช็ดไปมาอย่างลวกๆ แล้วชำเลืองมองไปที่นี่ทีที่โน่นที ด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความสงสัย
“อะไรกันเนี่ย มีนัดงั้นเหรอ”
แล้วเจ้าตัวก็บ่นพึมพำออกมาอีกครั้ง
หมอนั่นก็เป็นคนนี่นะ ก็คงต้องมีคนรู้จักกันบ้างแหละ ทุกวันนี้ก็ได้แต่ถูกขังให้อยู่แต่ในห้องเท่านั้น อาจจะมีเรื่องด่วนให้ต้องออกไปข้างนอกบ้างก็ได้ แต่เขาก็แค่ไม่พอใจ ที่ทำไมมันจะต้องเป็นวันนี้ด้วยก็ไม่รู้ ซองจูเบะปาก ก่อนเขวี้ยงผ้าขนหนูลงไปที่ตะกร้า
“โธ่เว้ย อุตส่าห์รีบกลับมา รู้อย่างนี้น่าจะคุยกับไอ้ซองฮีต่อก็ดี”
บ่นพึมพำพร้อมกับนึกไปถึงสีหน้าของซองฮีที่เหมือนกับมีอะไรจะพูดออกมาสักอย่าง แน่นอนว่าเขาก็แค่พูดไปอย่างนั้น ให้ตายอย่างไร เขาก็ไม่มีทางเป็นฝ่ายเริ่มต้นเข้าไปถามซองฮีว่ามีเรื่องอะไรก่อนแน่นอน และมันก็แน่นอนอยู่แล้วว่าตัวเขาเองก็รู้ความจริงข้อนั้นดี
“อะไรเนี่ย ออกไปเวลานี้ ก็ควรจะต้องรีบๆ กลับมาไม่ใช่รึไง”
เอ่ยออกมา ก่อนจะค่อยๆ ก้าวเท้าไปทางห้องนอนของตัวเอง
เคยชินเสียแล้วกับการต้องนอนคนเดียว แม้ในตอนที่ยังคบหากับเซจอง รวมถึงตอนที่ร่วมรักกับจองอูก็ด้วย หลังผ่านช่วงเวลาอันเร่าร้อนไปแล้ว พอจัดการทำความสะอาดล้างเนื้อล้างตัวเปลี่ยนชุดเสร็จ เขาก็จะกลับเข้ามานอนคนเดียว วันนี้มันก็แค่ไม่มีการพูดคุยด้วยร่างกายอย่างที่คุ้นเคยก็เท่านั้น นอกเหนือจากนั้นแล้ว เขาก็คิดว่ามันก็ไม่ได้มีอะไรแตกต่างไปจากคืนอื่นๆ แน่นอนว่ามันก็ต้องเป็นเช่นนั้น แล้วมันก็เป็นได้แค่แบบนี้เท่านั้น ซองจูคิดว่ามันไม่มีความจำเป็น และก็ไม่ใช่หน้าที่ที่ตัวเขาจะต้องมานั่งเฝ้าคนที่ทิ้งเขาไว้แบบนี้ แล้วก็ออกไปข้างนอกอย่างไอ้บ้านั่น จึงได้ตัดสินใจปิดประตูห้องนอนลงอย่างเงียบๆ
แต่ว่าซองจูก็คิดผิดไป
“บ้าเอ๊ย นี่มันเรื่องอะไรอีกแล้วเนี่ย”
ซองจูกวาดสายตามองไปจนทั่วห้องชุด ด้วยท่าทางที่ยังไม่ตื่นเต็มที่นัก พร้อมกับใบหน้าที่มีแต่ความว้าวุ่นกังวลใจฉายชัดออกมา
ความเหน็ดเหนื่อยสาหัสที่ได้รับจากคนเป็นแม่ ทำให้เขายกเลิกตารางการออกกำลังกาย แล้วมาตื่นนอนเอาในช่วงสายของอีกวัน แต่ทว่าสิ่งที่รอคอยซองจูอยู่ ยังคงมีแค่เพียงห้องกว้างที่ว่างเปล่าเท่านั้น ซองจูยืนเคว้งคว้างอยู่ตรงนั้นด้วยความงงงันครู่หนึ่ง ก่อนจะกัดฟันกรอด และเริ่มเดินพล่านไปทั่วห้องนั่งเล่น
“ไอ้บ้าเอ๊ย คงไม่ใช่เมาจนไปนอนเรี่ยราดข้างทางที่ไหนก็ไม่รู้หรอกนะ”
ซองจูพูดออกมาพร้อมกับเริ่มยกนิ้วโป้งของตัวเองขึ้นมากัด ไม่ว่าจะคิดอย่างไรมันก็แปลกเอามากๆ หลายเดือนที่ผ่านมาจองอูไม่เคยออกไปข้างนอกเกินหนึ่งชั่วโมงเลยด้วยซ้ำ หากจะไปที่ไหนก็มักจะบอกซองจูก่อนเสมอ แม้เขาจะแกล้งทำเป็นไม่สนใจฟังก็ตาม แต่นี่มันน่าแปลกที่จองอูผู้ตรงไปตรงมาคนนั้น ออกไปข้างนอกโดยที่ไม่บอกอะไรซองจูเลยสักนิด มันไม่ใช่เรื่องปกติเลย เมื่อตระหนักได้ถึงความจริงข้อนั้นแล้ว ซองจูที่ขมวดคิ้วมุ่นก็พุ่งตรงไปที่ห้องของจองอูเป็นอันดับแรก
“นี่ นายไม่ได้แกล้งทำเป็นไม่อยู่ ทั้งๆ ที่ยังอยู่ในห้องหรอกใช่ไหม”
เขาจงใจพูดออกไปด้วยน้ำเสียงที่สูงขึ้นกว่าปกติ เสียงปังดังขึ้นพร้อมกับประตูห้องที่ถูกซองจูผลักเปิดออก ในตอนนั้นเองตัวเขาก็ถึงกับนิ่งค้างราวกับกลายเป็นหินไปแล้ว
ในห้องของจองอูนั้นว่างเปล่า
ห้องนอนแขกที่ถูกรีโนเวทใหม่ให้เป็นห้องทำงาน ในห้องของอีกคนที่เคยมีคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ที่เขาไม่รู้จักจัดเตรียมเอาไว้ แต่ทว่าในตอนนี้ มันกลับไม่มีอะไรแบบนั้นหลงเหลืออยู่เลย นอกจากอุปกรณ์และแผ่นซับเสียงที่เตรียมไว้สำหรับทำห้องเก็บเสียง และเตียงเดี่ยวที่ตั้งอยู่นั่น ที่เหลือมันก็คือความว่างเปล่า มีสภาพไม่ต่างไปจากเมื่อก่อนเลยสักนิดเดียว
“นี่มัน อะไรกัน…”
ซองจูกะพริบตาทั้งคู่ซ้ำๆ อย่างไม่อาจเชื่อในสายตาของตัวเอง ความง่วงงุนที่เคยมีในแววตาก่อนหน้านี้ บัดนี้มันได้สลายหายไปจนหมด
“โทรศัพท์ โทรศัพท์อยู่ไหน”
ซองจูควานหาโทรศัพท์ไปทั่วทั้งตัว แต่ทว่าเขาวางมันทิ้งไว้บนโต๊ะข้างเตียง จึงไม่มีทางเลยที่จะมีโทรศัพท์โผล่ออกมาตอนนี้ ไม่เพียงเท่านั้น ในเวลาเช่นนี้ ซองจูยังได้หลงลืมความจริงที่สำคัญอีกข้อหนึ่งไป
เขาไม่มีเบอร์โทรศัพท์ของจองอู
ถึงอยากจะโทรหา แต่ก็พึ่งตระหนักได้ว่ามันเปล่าประโยชน์ เพราะเขาไม่รู้กระทั่งเบอร์โทรศัพท์ของอีกคน
“บ้าเอ๊ย แกมันไม่ได้เรื่อง โง่ชะมัด…”
บ่นพึมพำออกมาเสียงเบาท่ามกลางห้องกว้างที่เงียบสงัด ซองจูตระหนักได้แล้วว่าความสัมพันธ์ของเขากับจองอูมันผิดปกติเอามากๆ
ทันทีที่นึกถึงภาพใบหน้าของจองอูที่เคยเย็นชา เมินเฉย และเรียบนิ่งอยู่เสมอ แววตาคู่นั้นที่ยังคงเหม่อลอยไร้จุดหมายก็ค่อยๆ ปรากฎหยาดน้ำตาเอ่อคลอออกมา ตอนนี้เขารู้แล้วว่าจองอูได้จากที่นี่ไปเรียบร้อยแล้ว ไม่เคยคิดฝันมาก่อนเลยว่าสุดท้ายแล้วมันจะกลายมาเป็นแบบนี้ คิมจองอูคนที่เขารู้สึกไม่ชอบขี้หน้าตั้งแต่แรกเห็นนั่น ไม่รู้ว่าตัวเองไปเอาความมั่นใจมาจากไหน ถึงได้คิดไปว่าระหว่างเขาและอีกคนเราสนิทกันแล้ว เขารู้สึกสับสนไปหมด ไม่รู้ว่าตอนนี้ตัวเองควรต้องรู้สึกโกรธหรือควรจะต้องรู้สึกดีใจกันแน่ ซองจูได้แต่ยืนนิ่งค้างอยู่ที่เดิม พร้อมกลอกตาไปมาอย่างคนสับสน และทันใดนั้นเอง เจ้าตัวก็ตัดสินใจหันหลัง และวิ่งกลับไปทางห้องนอนของตัวเอง เมื่อฉุกคิดขึ้นมาได้ว่า คนที่เขาจะสามารถพึ่งพาได้ในตอนนี้มีแค่คนๆ นั้นเท่านั้น
“เวรเอ๊ย รับโทรศัพท์สิวะ ไอ้นี่!”
ทันทีที่มาถึงห้องนอน ซองจูก็คว้าโทรศัพท์ตัวเองขึ้นมาด้วยมืออันสั่นเทา กดไปที่หมายเลขหนึ่งบนหน้าจอพร้อมกับหลับตาลงอย่างรอคอย โล่งอกที่อีกฝ่ายรับโทรศัพท์แทบจะในทันที
“อะไรกัน นี่โทรมาหาฉันก่อนเหรอเนี่ย”
คนที่รับสายก็คือดงฮยอนนั่นเอง อีกคนเอ่ยขึ้นด้วยนำเสียงที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความสงสัยใคร่รู้ ราวกับมีลางสังหรณ์ว่ามันต้องมีเรื่องอะไรเกิดขึ้น ซองจูตะคอกกลับไปด้วยความโมโหต่อท่าทางไม่สะทกสะท้านอะไรของอีกคน
“คิมจองอูไปไหน!”
ดงฮยอนชะงักไปทันทีกับเสียงตะโกนถาม และไม่ได้พูดตอบอะไรออกมา
“พี่รู้ใช่ไหม ไอ้บ้านั่นไปที่ไหนบอกมาเดี๋ยวนี้”
ดงฮยอนค่อยๆ เอ่ยตอบซองจูที่ยังคงตะโกนแผดเสียงออกมาอยู่เรื่อยๆ
“ฮันซองจู ตอนนี้ฉันงงไปหมดแล้วนะ ค่อยๆ พูดหน่อยสิ พูดมาดีๆ จองอูทำไมนะ?”
“อย่ามาแกล้งทำเป็นไม่รู้ ถ้าพี่ไม่รู้แล้วใครมันจะรู้ คิมจองอูไปไหน ผมถามว่าไอ้บ้านั่นไปซ่อนตัวอยู่ที่ไหน!”
“เดี๋ยวนะ ซองจู นายถามว่าจองอูไปไหนงั้นเหรอ นั่นมันคำถามบ้าอะไรกัน เจ้านั่นไม่ได้อยู่ที่ห้องรึไง”
น้ำเสียงของดงฮยอนที่ดังกลับมาให้ได้ยินทางโทรศัพท์ ติดจะสั่นไหวอยู่เล็กน้อย ชินดงฮยอนเองก็คงไม่รู้สินะ เมื่อความคิดนี้วาบขึ้นมา ขาของซองจูก็พาลหมดแรงเอาเสียดื้อๆ เขาทรุดตัวลงนั่งบนเตียงทันที พร้อมกับพึมพำถามดงฮยอนออกมา
“อะไรกัน พี่ไม่รู้เหรอ? ไม่รู้จริงๆ เหรอ?”
คนที่อยู่อีกฝากของโทรศัพท์ถึงกับสูดหายใจเข้าลึก เมื่อได้ยินน้ำเสียงพึมพำเหมือนคนสติหลุดนั่น ดงฮยอนไม่รู้เรื่องจริงๆ
“ไอ้บ้านั่นไม่ยอมบอกกันเลย หายไปไหนกัน…”
เขาพึมพำออกมาด้วยน้ำเสียงที่อ่อนแรง ยกมือข้างหนึ่งขึ้นปิดใบหน้าเอาไว้ มันคือเรื่องจริง คิมจองอูหายไปแล้ว หายไปโดยไม่บอกอะไรเขาเลยสักคำ นั่นคือเหตุผลว่าทำไมอีกคนถึงต้องแอบออกไปในระหว่างที่เขาไม่อยู่ ซองจูถอนหายใจออกมา และกำลังจะกดตัดสายไป ในตอนนั้นเองดงฮยอนก็รีบเอ่ยเรียกซองจูเอาไว้อย่างร้อนรน
“เดี๋ยว ซองจู เดี๋ยวก่อน!”
“ทำไม”
ซองจูชะงักนิ้วที่เตรียมจะกดตัดสายลง แล้วจึงตอบรับออกไปสั้นๆ เขาไม่มีอะไรจะต้องพูดกับชินดงฮยอนผู้ไม่รู้ร่องรอยของจองอูอีกต่อไปแล้ว
“นายทะเลาะกับจองอูเหรอ”
“เปล่า ผมจะไปทะเลาะกับหมอนั่นทำไม”
“งั้นเหรอ? ไม่ใช่ว่า นายเผลอไปพูดไม่ดี หรือทำอะไรไม่ดีกับจองอูแบบนั้นหรือเปล่า”
คำพูดของดงฮยอน ทำให้ซองจูถึงกับระเบิดอารมณ์ออกมา พร้อมตวาดด่าอีกคนในทันที คำพูดอื่นเขายังพอทน แต่แบบนี้เขาคงไม่สามารถจะทนได้อีกต่อไป ซองจูที่เสียการควบคุมเริ่มระเบิดถ้อยคำหยาบคายออกมาอย่างต่อเนื่อง
“นี่ ไอ้พี่เวร พี่เป็นคนเอาไอ้พวกเต้นกินรำกินที่ผมเกลียดที่สุดนั่นมาทิ้งไว้ที่ห้องผมยังไม่พอ นี่ยังจะมาพูดหมาๆ แบบนี้อีกเหรอ มันยังไงกัน? พี่หวังจะให้ผมกับไอ้บ้านั่นสนิทสนมกันผมก็ทำให้แล้วไง แทนที่จะขอบคุณกัน กลับมากล่าวหาว่าผมเป็นคนผิด แล้วจะให้ผมทนอารมณ์ดีอยู่ได้งั้นเหรอ? ตอนนี้คิมจองอูหายตัวไป คนที่ควรตกใจที่สุดมันต้องเป็นผมไม่ใช่รึไง? บ้าเอ๊ย ผมก็ตามใจยอมให้อยู่ที่นี่แล้วไง แต่นี่พอผมออกไปข้างนอก ก็มาเก็บข้าวของแล้วแอบหนีออกไปเลยเนี่ยนะ พูดมาดีๆ เลยดีกว่า พี่รู้เห็นด้วยใช่ไหม คนอื่นอาจจะไม่รู้ แต่มันต้องยกเว้นพี่ไว้คนนึงล่ะ หรือไม่ใช่? ใช่สินะ เรียกมันมาเดี๋ยวนี้ คิมจองอูหนีไปไหนไปเรียกมันมาเดี๋ยวนี้!”
สุดท้ายแล้วก็ไม่มีใครสามารถหยุดยั้งซองจูที่ระเบิดอารมณ์ทุกอย่างออกมาได้ ดงฮยอนรับฟังคำต่อว่าของซองจูอยู่ที่อีกฟากนึงของโทรศัพท์ สูดหายใจเข้าลึกก่อนจะผ่อนออกมา ใช่แล้ว ทั้งหมดล้วนเป็นความผิดของเขา ในที่สุดก็ตระหนักได้ว่านิสัยเดิมของเจ้านั่นกลับมาอีกแล้ว หากเมื่อไหร่จองอูเผชิญกับสถานการณ์ที่ไม่อาจรับมือได้ เจ้านั่นก็จะหนีไปเสีย
ทุกครั้งที่ถามว่ากับซองจูนั้นราบรื่นดีหรือเปล่า จองอูจะหลุดหัวเราะออกมา แล้วตอบกลับมาว่าสบายดี และเขาก็เชื่อมั่นในคำตอบนั้น แล้วตัวซองจูเองก็ไม่ได้แสดงท่าทีไม่พอใจเกี่ยวกับจองอูออกมาอีก ทั้งหมดนั่นมันทำให้ตัวเขาเชื่อมั่นและวางใจ เขาเชื่อมั่นในตัวสองคนนั้น ถึงได้ไม่เอะใจหรือสงสัยอะไรเลย สุดท้ายแล้ว ดงฮยอนก็รู้ดีว่า อย่างไรเสีย มันก็เป็นหน้าที่ของเขาที่ต้องจัดการกับเรื่องนี้ จึงได้ถอนหายใจออกมา ก่อนจะเปิดปากพูด
“ซองจู เดี๋ยวฉันไปหา ตอนนี้นายก็ใจเย็นลงก่อนนะ ตอนนี้อยู่ที่ห้องใช่ไหม อย่าเพิ่งออกไปไหน ยังไงก็อยู่ที่นั่นก่อน นะ? ไม่สิ เดี๋ยวฉันจะส่งมินซิกไปก่อน อดทนไว้ก่อนอย่าเพิ่งอาละวาดทำลายข้าวของเข้าใจไหม ถือว่าขอร้องล่ะ หืม?”
“หนวกหนูน่า เรื่องอื่นผมไม่สน ไปตามหาคิมจองอูมาเดี๋ยวนี้ ไอ้บ้านั่นอยู่ที่ไหน พี่ก็รู้อยู่แล้วไม่ใช่เหรอ รีบไปพาตัวมาเร็วๆ เลย…”
น้ำเสียงของซองจูที่จู่ๆ ก็เบาลงไปแบบนั้น ยิ่งทำให้เรื่องมันดูไม่ปกติมากกว่าเดิม ดงฮยอนถึงกับทำตัวไม่ถูกกับเหตุการณ์ที่คาดไม่ถึงตรงหน้า น้ำเสียงสะอึกสะอื้นดังสะท้อนกลับมาให้ได้ยิน มันทำให้เขาแทบไม่เชื่อหูตัวเอง ถ้าเขาเดาไม่ผิด ตอนนี้ซองจูคงกำลังร้องไห้อยู่ ดงฮยอนถึงกับงงเป็นไก่ตาแตก สรรหาคำพูดอยู่ตั้งนาน กว่าจะเอ่ยถามซองจูกลับไปได้
“เอ่อ คือ นี่ ซอง…จู? ฮันซองจู ทำไมถึงเป็นแบบนี้ล่ะ จริงๆ แล้วพวกนายมีเรื่องอะไรกันแน่?”
ทว่ากลับไม่มีคำตอบใดๆ สำหรับคำถามนั้น ดงฮยอนแทบไม่อยากจะเชื่อ และพอซองจูเริ่มส่งเสียงร้องไห้ฮือๆ ออกมา เขาก็รีบวางสาย พร้อมกับต่อสายไปหามินซิกในทันที
“ท่านประธาน? วันหยุดแบบนี้มีเรื่องอะไรเหรอครับ?”
มินซิกที่ยังไม่รู้ว่ามีเรื่องอะไรเกิดขึ้น รับสายของเขาด้วยน้ำเสียงร่าเริง ดงฮยอนถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ก่อนจะเอ่ยปากพูดด้วยสีหน้ากระวนกระวายใจ
“มินซิก โทษทีนะ แต่มีเหตุฉุกเฉินน่ะ ตอนนี้รีบไปหาซองจูด่วนเลย”
“เหตุฉุกเฉินเหรอครับ? เรื่องอะไรกันครับ พี่เขาไม่สบายเหรอครับ?”
“ไม่ใช่หรอก ไม่ใช่แบบนั้น ยังไงก็รีบไปก่อนแล้วกัน นะ?”
“เอ่อ เข้าใจแล้วครับ ตอนนี้ผมอยู่ที่บ้านอาจจะใช้เวลาสักหน่อย”
“หยุดพูดมากแล้วรีบไปสักทีเถอะ!”
“…ครับ รับทราบครับ”
ก็บอกอยู่ว่าฉุกเฉิน สุดท้ายเขาเลยได้ระเบิดอารมณ์ใส่เจ้ามินซิกที่เอาแต่พูดพล่ามให้เสียเวลา แล้วจึงตัดสายไปในทันที เขารู้ดีว่าสถานการณ์ตอนนี้มันไม่ปกติเอามากๆ ดงฮยอนได้แต่พยายามระงับความวิตกกังวลที่มีเอาไว้ ก่อนจะกดโทรออกหาจองอู
[หมายเลขที่ท่านเรียก ไม่สามารถติดต่อได้ในขณะนี้]
“ไอ้เจ้านี่ ให้ตายเถอะ…”
สัญญาณที่นิ่งเงียบอยู่พักหนึ่งก็ตัดไป พร้อมข้อความอัตโนมัติที่ตอบกลับมาว่าไม่สามารถติดต่อได้ ดงฮยอนได้แต่กำโทรศัพท์เอาไว้แน่น พร้อมทั้งก้มหน้าลงต่ำ ถ้าลองเป็นแบบนี้แล้ว คงทำอะไรไม่ได้นอกจากรอจนกว่าจองอูจะอยากกลับมาเท่านั้น
แม้ว่าจองอูจะกลับมา แต่เพราะว่าอีกคนหนีซองจูไป แน่นอนว่าหากกลับมาอีกครั้งจริง ก็คงจะต้องหลบไปอยู่ในที่ที่ไกลจากซองจูอย่างแน่นอน
ปัญหาก็คือต้องบอกความจริงนี้กับซองจู และเขาก็ต้องรู้ให้ได้ด้วยว่า ระหว่างคนทั้งคู่มันมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นกันแน่ ทั้งยังต้องหาวิธีที่จะทำให้ซองจูที่กำลังคุกรุ่นอยู่ตอนนี้สงบลงด้วย ดงฮยอนยืนนิ่งคิดอยู่กลางห้อง แล้วถอนหายใจออกมาอย่างต่อเนื่อง ก่อนที่อะไรๆ มันจะสายไปกว่านี้ เขาต้องรีบไปเจอหน้าซองจูก่อน ว่าแล้วเจ้าตัวก็คว้าเอากุญแจรถที่วางอยู่บนโต๊ะขึ้นมา ก่อนจะวิ่งออกจากบ้านไปในทันที