ซองจูได้แต่นิ่งเงียบอย่างไม่อาจโต้เถียงได้ ก้มหน้ารับฟังคำตำหนิติเตียนจากซองฮีที่ระเบิดอารมณ์ออกมาอย่างต่อเนื่อง ทุกคำของซองฮีไม่มีตรงไหนที่ผิดไปเลยสักนิด แม้มันจะน่าหงุดหงิดใจแค่ไหน แต่ทุกคำมันก็คือความจริงทั้งหมดอยู่ดี
พอได้เห็นซองจูทำหน้าเคร่งขรึม ไม่ได้ทำหน้าน่าหมั่นไส้อย่างทุกทีแล้ว ซองฮีก็พ่นลมหายใจหนักหน่วงออกมา
“เฮ้อ นายน่ะ หลังจากวันนั้นนายได้ติดต่อไปหาเซจองบ้างหรือเปล่า”
“…เกี่ยวอะไรด้วยล่ะ”
“ก็แค่อยากรู้เรื่องของไอ้เวรที่บอกว่าตัวเองคือพี่ชายก็แค่นั้น มีปัญหา?”
ซองฮีส่งสายตาที่ราวกับมีประกายไฟของความโมโหลุกพรึ่บอยู่ในนั้นมาที่เขา ทำเอาขนลุกอย่างบอกไม่ถูก ซองจูระบายลมหายใจออกมาแผ่วเบา ก่อนจะเปิดปากตอบ
“ก็เจอหน้าอยู่ไม่กี่ครั้ง ตอนที่ไปต่างประเทศครั้งนึง แล้วก็ตอนกลับมาเกาหลีครั้งนึง”
“เซจองคงไม่มีทางติดต่อมาก่อนแน่ๆ นายเป็นคนนัดให้มาเจอกันใช่ไหม”
“หยุดซักไซ้สักทีเหอะ ทำไมตอนนี้ถึงวกมาที่ประเด็นนี้ซะล่ะ”
ตอนนี้ความคิดของซองจูกำลังตีกันจนยุ่งเหยิงไปหมด ไม่รู้ว่าซองฮีมีเจตนาอะไรกันแน่ ตอนแรกยังแสดงท่าทีไม่พอใจเรื่องการแต่งงานอยู่เลย พอมาตอนนี้ กลับขุดคุ้ยเรื่องคนรักเก่าของเขาขึ้นมาพูดเสียอย่างนั้น แต่เพราะประเด็นนั้นมันเลยทำให้พายุโมโหที่พัดถล่มเมื่อครู่เริ่มสงบลงบ้าง อย่างน้อยก็เบาใจไปได้เรื่องนึง ซองจูถอนหายใจออกมาแผ่วเบา พร้อมกับเงยหน้าขึ้นทอดสายตามองไปที่เพดานห้อง
“ถึงฉันติดต่อเด็กนั่นไป มันจะมีอะไรดีขึ้นมาหรือไง มีแต่จะทำให้ลำบากใจกันทั้งสองฝ่าย”
“ก็รู้อยู่แล้วนี่”
ซองจูไม่ได้ใส่ใจกับท่าทางน่าหมั่นไส้ของซองฮีอีกต่อไป เขาคว้าซองบุหรี่ที่วางอยู่บนโต๊ะมาถือไว้ ไม่ได้สนใจว่าใครเป็นเจ้าของ เพราะตอนนี้มันเป็นสิ่งดึงดูดใจเขามากๆ
“ที่นี่ห้ามสูบ”
“หา?”
“ในห้องซ้อมอุปกรณ์ตรวจจับความร้อนมันค่อนข้างอ่อนไหว ถ้าจะสูบก็ออกไปสูบที่ระเบียงนู่น”
ไม่ใช่ว่าซองฮีจะไม่เห็นอาการที่แสดงถึงความดื้อดึงของอีกฝ่าย เขาพยักพเยิดหน้าให้อีกฝ่ายมองไปทางระเบียง แล้วซองจูก็ได้เห็นป้ายห้ามสูบบุหรี่ติดอยู่ คิ้วของเจ้าตัวก็ขมวดมุ่นในทันที
“ช่างเถอะ สกปรกแถมยังทำให้ตายไวอีก ไม่สงไม่สูบมันแล้ว”
พอพูดออกมาแบบนั้นแล้ว ซองจูก็โยนซองบุหรี่ไปให้พ้นมือ ตระหนักได้ว่า ไม่ว่าจะทำอย่างไรเขาก็ไม่สามารถเอาชนะซองฮีได้ จึงได้แต่ล้มเลิกความตั้งใจพวกนั้นไปเสีย
“ยังไงซะ ฉันก็ไม่ไปร่วมตกลงเรื่องงานแต่งงานหรอกนะ ให้คนที่เพิ่งโดนถอนหมั้นมาหมาดๆ ไปที่นั่นด้วย มันคงไม่ใช่มารยาทที่ดีนักหรอก”
“อือ”
สองพี่น้องที่ดูเหมือนจะไม่มีอะไรให้พูดกันต่อแล้ว ต่างเบือนสายตาหลบเลี่ยงกันไปคนละทาง ถึงอย่างไรระหว่างพวกเขาทั้งคู่ต่างฝ่ายต่างก็ไม่ได้มีความสนิทสนมอะไรกันนักอยู่แล้ว ซองจูถอนหายใจออกมาเล็กน้อยก่อนจะลุกขึ้นยืน
“เข้าใจแล้วก็ไปบอกพวกท่านด้วยนะ พ่อน่ะไม่เท่าไรหรอก แต่กับแม่ฉันไม่คิดว่าจะเกลี้ยกล่อมท่านได้”
“เข้าใจแล้ว ฉันจะบอกให้พวกท่านเข้าใจเอง นายก็แค่อย่าไปพล่ามเพ้อเจ้อก็พอ”
“…ไปละ”
ซองจูที่ไม่ได้แสดงการร่ำลาอะไรให้เป็นเรื่องเป็นราว เดินออกจากห้องซ้อมดนตรีของซองฮีไปเสียเฉยๆ
“ให้ตาย เหนื่อยชะมัด…”
ในที่สุดสงครามน้ำลายระหว่างสองพี่น้องก็เป็นอันสิ้นสุดลง แต่ว่าซองจูเองก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรกับความจริงข้อนั้นนัก ถึงอย่างไรมันก็ไม่มีเหตุผลที่ต้องแสดงออกว่าระหว่างเขากับซองฮีนั้นมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน แต่สิ่งที่ทำให้เขาเหนื่อยหน่ายใจแบบนี้ มันเกิดจากตอนที่ไอ้บ้านั่นพูดชื่อคนรักเก่าของเขาออกมาต่างหาก
มุนเซจอง
ชื่อที่แม้ว่าอยากจะลืมก็ลืมไม่ได้ จึงทำให้ซองจูรู้สึกอึดอัดใจแบบนี้ เขาทำอย่างที่ซองฮีพูด ตัวเขาทอดทิ้งเด็กคนนั้น เหมือนเวลาที่โยนรองเท้าคู่เก่าๆ ทิ้ง ความจริงนั้นมันทำให้เขาได้แต่แค่นเสียงหัวเราะออกมา ซองจูส่ายหัวไปมาเพื่อปัดไล่ความคิดฟุ้งซ่านพวกนั้นทิ้งไป ก่อนจะตรงไปยังประตูทางเข้าห้องชุดสุดหรู
ติ๊ด ติ๊ดดด
เสียงระบบล็อกอัตโนมัติที่น่ารำคาญดังขึ้น พร้อมกับเสียงแกร๊กในตอนที่ประตูเปิดออก ภายในตัวห้องเปิดไฟสว่างโร่เอาไว้อยู่แล้ว ขัดกับอารมณ์ของซองจูที่ตอนนี้เหมือนมีเมฆหมอกปกคลุมอยู่ทั่ว สีหน้าจึงเปลี่ยนเป็นบูดบึ้ง
‘ไอ้เจ้ามินซิก ก็บอกแล้วไงว่าวันนี้ห้ามกลับมาอีก นี่ไม่ฟังกันบ้างรึไง’
คนที่รู้รหัสเข้าห้องชุดนี้ ตอนนี้ก็มีแค่ไอ้ผู้จัดการมินซิก แล้วก็ท่านประธานบริษัทที่เป็นเจ้าของตัวจริงของห้องชุดนี้เท่านั้น แล้วไอ้คุณท่านประธานก็ดูจะไม่มีเหตุอะไรให้ต้องถ่อมาถึงที่นี่ด้วย ดังนั้นคนที่เข้ามาต้องเป็นไอ้มินซิกอย่างแน่นอน ซองจูเผยสีหน้าไม่พอใจอย่างที่สุดออกมา ก่อนจะก้าวฉับๆ ตรงเข้าไปภายในตัวห้องทันที
“นี่ ไอ้มินซิก นายกล้าขัดคำสั่งฉันเหรอ ก็บอกแล้วว่าวันนี้ห้ามมาที่นี่อีก ไอ้บ้าเอ๊ย”
ส่งเสียงตะโกนร้องเรียกอีกฝ่ายด้วยความโมโหสุดขีด มันต้องอยู่ในบ้านนี่แหละ แต่กลับไม่ยอมขานรับกลับมา ปกติแล้วมินซิกไม่เคยขัดคำสั่งเขามาก่อน ซองจูพยามยามขบคิดว่านี่มันเรื่องอะไรกันแน่ ในขณะที่สองขาก็ก้าวเดินไปยังทิศทางของห้องนั่งเล่น
“มินซิก นี่ คิมมินซิก! นายอยู่ไหน!”
เขาตะโกนเรียกหาอีกฝ่ายลั่นห้องด้วยความหงุดหงิดที่เอ่อล้น ตามหาทุกซอกทุกมุมทั่วทั้งห้องชุด ก็ยังไม่มีวี่แววหรือเสียงขานรับกลับ ทันใดนั้นเอง ซองจูก็เกิดรู้สึกเสียวสันหลังวาบขึ้นมา
“อะไรกัน หรือว่าจะเป็นพวกหัวขโมย”
แม้ว่าข้อสันนิษฐานว่ามีขโมยเข้ามาขโมยของในนี้แทบจะเป็นไปไม่ได้เลย แต่มันก็มีพวกที่ชอบแอบมาหยิบฉวยเฉพาะของสำคัญด้วยเหมือนกัน สถานการณ์แบบนี้จะประมาทไม่ได้ ความตื่นตระหนกที่จู่โจมเข้ามาทำให้มือของซองจูมีเหงื่อซึมจนเปียกโดยไม่รู้ตัว เสียงแกร๊กดังขึ้นเมื่อเขาผลักเปิดประตูห้องนอนตัวเองออก
“หืม ที่นี่ก็ปกติดี…”
นอกจากสภาพบนเตียงที่ยังไม่ได้จัดเก็บให้เรียบร้อย ภายในห้องนอนก็ไม่มีส่วนไหนที่ผิดไปจากปกติ เมื่อสำรวจจนพอใจแล้ว ซองจูก็ย้ายตัวเองไปยังส่วนของห้องอ่านหนังสือต่อ เขาเปิดประตูห้องนั้นเข้าไป แต่กลับพบว่าภายในนั้นไม่ได้มีร่องรอยผิดแปลกอะไร เหลือประตูบานสุดท้ายแล้ว เขาสูดหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะผลักเปิดประตูออก ในห้องนั้นก็ไม่มีอะไรอีกเช่นกัน ตอนนี้ก็เหลือแค่ห้องพักสำหรับแขกเท่านั้น
“เฮ้อ… นี่มันบ้าอะไรกันเนี่ย”
เขาพึมพำออกมาเบาๆ ถูมือที่ชุ่มเหงื่อไปบนหน้าขา ก่อนจะเอื้อมไปจับที่ลูกบิดของประตูบานนั้น แล้วผลักเปิดมันออก
โครม!
ทันทีที่ประตูถูกเปิดออก ใบหน้าของซองจูก็เคร่งเครียดขึ้นมาทันที
“…นายเป็นใคร?”
ภายในห้องนั้นมีผู้ชายรูปร่างสูงใหญ่อีกคนยืนอยู่ เจ้าตัวหันกลับมามองเขาที่เบิกตาโพลงด้วยความตกใจอยู่ในตอนนี้ ซองจูหน้าซีดลงทุกขณะที่ได้สบตากับบุคคลแปลกหน้านั่น
* * *
“พี่เสียสติไปแล้วรึไง”
ซองจูตะโกนลั่นห้องนอนด้วยความโมโหสุดขีด ทว่าน้ำเสียงจากอีกฟากหนึ่งของโทรศัพท์กลับไม่ได้ยินดียินร้ายใดๆ ต่อน้ำเสียงเกรี้ยวกราดที่ได้ยิน เพียงตอบรับอย่างสุขุมกลับมา
“อะไร? อ๋อ เจอกันแล้วสินะ”
“อะไรนะ? เจอกันแล้ว? ชินดงฮยอน พี่เสียสติไปแล้วรึไงกัน”
“โตขึ้นเยอะเลยนี่ ฮันซองจู ถึงขนาดกล้าเรียกแค่ชื่อของรุ่นพี่ที่ควบตำแหน่งประธานใหญ่ออกมาได้เต็มปากเต็มคำแบบนี้”
“ผมไปทำแบบนั้นตอนกัน… หึ้ย นั่นมันไม่ใช่เรื่องสำคัญสำหรับตอนนี้ ไอ้นั่นมันอะไร ไอ้ที่อยู่ในห้องผมตอนนี้มันเรื่องอะไรกันแน่!”
“ใช้คำว่าไอ้เรียกคนอื่นเนี่ยนะ แล้วก็นะ นั่นห้องของฉันไม่ใช่ของนาย ต้องให้ฉันเตือนความจำไหมว่าเอกสารสิทธิ์ของห้องชุดนั้นน่ะ มันเป็นชื่อของใครกันแน่”
“ไอ้เว…จนได้สิน่า…”
มีแค่ไม่กี่คนบนโลกนี้ที่สามารถพูดตำหนิฮันซองจูผู้มีจุดเดือดทางอารมณ์ต่ำคนนี้ได้
และในบรรดาคนเหล่านั้นก็มีอยู่คนหนึ่งที่สามารถทำให้ซองจูรู้สึกเต้นตามอารมณ์ของอีกฝ่ายได้อย่างง่ายดาย จนแทบอยากจะบ้าตายให้รู้แล้วรู้รอด แล้วคนนั้นก็คือชินดงฮยอนคนนี้นี่แหละ
เขาคือรุ่นพี่ในชมรมสมัยที่ฮันซองจูยังเรียนอยู่มหาวิทยาลัย ณ ห้องชมรมที่ตั้งอยู่ในซอกหลืบของมหาวิทยาลัยแห่งนั้น เขาได้เรียนรู้ด้านการแสดง ผ่อนคลายจากความเครียด แล้วยังเป็นจุดเริ่มต้นที่พาให้เขาได้มาเป็นฮันซองจูดาราผู้โด่งดังอย่างทุกวันนี้ ด้วยความช่วยเหลือจากท่านประธาน ซึ่งเรื่องนี้มีแค่ไม่กี่คนเท่านั้นที่รับรู้
หากไม่ใช่เพราะคนๆ นี้ เขาคงไม่สามารถมีชื่อเสียงและโด่งดังขึ้นมาได้ขนาดนี้ เรื่องนี้ซองจูรู้ดีกว่าใคร ในทุกเรื่องสำคัญก็มักจะมีดงฮยอนคอยช่วยอยู่ตลอด ห้องชุดนี่ก็เช่นกัน ทันทีที่ตัวเขามีชื่อเสียงโด่งดังมากขึ้น ดงฮยอนก็ใช้งบบริษัทซื้อห้องชุดนี้ให้เขา
เขารู้ดีกว่าใครว่านี่เป็นสิ่งที่อีกฝ่ายยินดีช่วยเหลืออย่างจริงใจ ไม่ได้เพียงดูแลไปตามหน้าที่ นอกจากเรื่องนี้แล้ว ซองจูยังได้รับความช่วยเหลืออื่นๆ อีกมากจากดงฮยอน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็กหรือเรื่องใหญ่ พอลองคิดๆ ดูแล้ว แม้อีกคนจะรู้อยู่แก่ใจว่านิสัยของเขามันเลวร้ายเกินเยียวยาขนาดไหน แต่ก็ยังยอมรับในตัวเขา แถมยังคอยตามใจอีกด้วย ให้พูดจากใจ สำหรับเขาแล้ว ดงฮยอนถือเป็นคนหนึ่งที่มีความสำคัญกว่าใคร แน่นอนว่ามันเป็นเรื่องที่เขาเก็บไว้ในใจเท่านั้นแหละ
แต่ว่าเรื่องนั้นกับเรื่องนี้มันก็คนละเรื่องอยู่ดี อยู่ดีๆ ส่งใครก็ไม่รู้เข้ามาในห้องที่เขาพักอาศัยอยู่โดยที่ไม่บอกไม่กล่าวกันก่อนสักคำ แบบนี้มันใช้ได้ที่ไหน ซองจูตะเบ็งเสียงตะโกนลั่นห้องออกมาอีกครั้ง จนเส้นเลือดที่คอปูดโปนขึ้นมา
“ถึงยังไง การให้คนอื่นเข้ามาแบบนี้ก็ควรจะได้รับความเห็นชอบจากผมก่อนไม่ใช่หรือไง! จู่ๆ จะให้มาใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับใครที่ไหนก็ไม่รู้ มันใช่เรื่องเหรอไง!”
ซองจูตะเบ็งเสียงตะโกนดังลั่นจนหน้าดำหน้าแดง ไม่สนแล้วว่าใครหน้าไหนจะมาได้ยินหรือไม่ แล้วเสียงของดงฮยอนก็ดังแทรกเสียงหอบหายใจอย่างหนักของเขากลับมา
“ถ้าบอกล่วงหน้า นายจะยอมรึไง”
เมื่อถูกถามกลับมาเช่นนั้น ใบหน้าของซองจูก็เปลี่ยนเป็นบูดบึ้งไปทันที
พูดแบบนั้นก็ถูก ถ้าอีกคนมาบอกว่าจะพาคนที่เขาไม่รู้จักเข้ามาพักอยู่ด้วยสักระยะหนึ่ง แน่นอนว่าเขาคงโกรธจนเลือดขึ้นหน้าอย่างแน่นอน ถึงจะอย่างนั้นก็เถอะ แต่นี่มันไม่ใช่เรื่องเลย ซองจูทำปากยืดปากยาวใส่อีกฝ่าย ทั้งที่อีกฝ่ายคงไม่มีทางได้เห็น
“ขอโทษแล้วกันที่ฉันไม่ได้บอกก่อน มันจำเป็นน่ะ ฉันเองก็ทำอะไรไม่ได้ ก็อย่างที่บอกฉันไม่มีที่อยู่อื่นที่พอจะให้เขาไปอยู่ได้แล้ว นายก็คิดซะว่าเขาเป็นเพื่อนร่วมสังกัด ทนๆ เอาหน่อยแค่ช่วงนึงเท่านั้นแหละ”
“ร่วมสังกัด? หมอนั่นเป็นนักแสดงเหรอ?”
เขาเองก็ตงิดใจอยู่ เพราะหน้าตาอีกคนมันก็ดูเข้าเค้าอยู่หรอกนะ แต่บุคลิกนี่สิ จะใช่นักแสดงงั้นเหรอ ซองจูพร่ำบ่นกับตัวเองในใจ ขณะที่ปล่อยให้เสียงของดงฮยอนผ่านเข้าหูซ้ายทะลุหูขวา
“ไม่ใช่นักแสดงหรอก รู้แค่นั้นก็พอ ยังไงก็ถือซะว่าฉันขอร้องก็แล้วกัน เขาค่อนข้างเป็นคนเงียบๆ คงไม่มีเรื่องให้มาปะทะคารมกับนายหรอก”
“ถ้างั้นก็ค่อยยังชั่วหน่อย ว่าแต่ว่าที่บอกว่าจำเป็นน่ะ มันเรื่องอะไรเหรอ”
น้ำเสียงที่เคยเต็มไปด้วยความเกรี้ยวกราด ตอนนี้เริ่มสงบลงบ้างแล้ว น้ำเสียงของดงฮยอนเองก็ฟังดูมีชีวิตชีวาขึ้นมาด้วยเช่นกัน
“อืม ไว้จะค่อยๆ เล่าให้ฟังทีหลังนะ ตอนนี้ฉันไม่สะดวกที่จะคุยโทรศัพท์นานๆ ยังไงก็อย่าไปกวนอารมณ์เขาแล้วกัน ค่อยๆ คุยกันดีๆ แค่นี้นะ!”
“หา? อะไรเนี่ย เดี๋ยวสิ!”