“คิมจองอูติดต่อมาบ้างหรือยัง?”
“ซองจู”
“แค่บอกมาว่า ติดต่อมาแล้ว หรือยังไม่ติดต่อมา?”
“ไม่ได้ติดต่อมา ขอร้องล่ะนะ มีสติหน่อย มันเรื่องอะไรกันแน่? กับจองอูน่ะมีเรื่องอะไรกันแน่? ตอนนี้นายดูไม่เหมือนตัวนายเองเลยรู้ไหม?”
“เงียบซะ หยุดพล่าม แล้วบอกมาเดี๋ยวนี้ว่าไอ้บ้านั่นอยู่ไหน!”
ดงฮยอนดึงโทรศัพท์ออกห่างตัวครู่หนึ่ง แล้วถอนหายใจออกมา
จองอูหายตัวไปได้เดือนหนึ่งแล้ว หลังจากวันนั้นแล้ว ภาพรองเท้าผ้าใบคู่เก่าของจองอู ที่เคยวางระเกะระกะอยู่หน้าประตูทางเข้าห้องของซองจูก็ไม่เคยปรากฎขึ้นมาอีกเลย
ยิ่งวันเวลาที่จองอูไม่ยอมปรากฏตัวออกมานั้นยาวนานมากเท่าไหร่ สภาพของซองจูก็ยิ่งย่ำแย่ลงไปเช่นกัน หลังจากที่กลายเป็นดารา เขาก็มักใช้มันเป็นข้ออ้างว่าต้องคอยดูแลตัวเอง จึงได้ห่างจากเหล้าและบุหรี่ แต่ตอนนี้เขาเริ่มกลับมาแตะต้องมันอีกครั้ง แม้ว่าด้วยอาชีพดาราจะทำให้เขาต้องคอยรักษาชื่อเสียงและมักตกเป็นเป้าสายตาอยู่ตลอด ทำให้เขาไม่มีโอกาสเดินออกไปซื้อของพวกนั้นด้วยมือของตัวเองได้ แต่ว่าหากไม่ยอมซื้อมาให้แล้วล่ะก็ เขาก็จะใช้ความโหดร้ายทั้งหมดที่มี ทำให้มินซิกต้องไปนอนหยอดน้ำข้าวต้ม
ในตอนแรก เขาพยายามถามหาร่องรอยของจองอูราวกับคนบ้า ในตอนนั้น เขาคิดว่าคงไม่มีปัญหาอะไร หากบอกให้รอ เขาก็จะรอ แม้จะสบถออกมาด้วยความกังวล แต่เขาก็ยังมีสติครบถ้วน แต่ว่ายิ่งจองอูหายไปนานเท่าไหร่ ซองจูก็ยิ่งสติหลุดมากขึ้นเท่านั้น นิสัยชอบกัดเล็บนิ้วหัวแม่มือที่เข้าใจว่าหายไปตั้งแต่โตขึ้น กลายเป็นว่าตอนนี้เพิ่มขึ้นมาเป็นนิ้วทั้งสิบ อาการกระตุกเกร็งที่เริ่มตั้งแต่คางลามไปทั้งตัว ทำให้เขาสั่นเทาจนดูเหมือนคนติดยา และกำลังอยากยาอย่างมาก รู้อยู่แล้วว่าต้องเป็นแบบนี้ แต่มันก็ทำให้ใช้ชีวิตประจำวันอย่างปกติไม่ได้เลย พอเมาเหล้า เขาก็จะด่าทอออกมา ทั้งหมดนั่นเป็นเพราะเรื่องของจองอูคนเดียว
เมื่อพฤติกรรมผิดปกติของซองจูหนักข้อขึ้นเรื่อยๆ สิ่งแรกสุดที่ดงฮยอนทำก็คือการเปลี่ยนผู้จัดการของซองจู เขาสั่งย้ายมินซิกไปดูแลศิลปินคนอื่นแทน
คิดไม่ถึงว่า กลับเป็นมินซิกที่คัดค้านการกระทำนั้นของดงฮยอน ด้วยไม่สามารถทิ้งซองจูที่มีสภาพแบบนั้นไปได้ และบอกว่าตัวเองจะดูแลซองจูต่อไป แต่ว่าดงฮยอนไม่ยอมรับฟังคำพูดพวกนั้น และยังประกาศว่าจะเป็นคนดูแลซองจูด้วยตัวเองไปสักระยะหนึ่ง สุดท้าย เมื่อมินซิกได้รับคำตอบที่แน่ชัดว่าหากซองจูมีสภาพที่ดีขึ้นมาเมื่อไหร่ จะเรียกตัวให้กลับมารับหน้าที่เดิม เจ้าตัวจึงได้ยอมถอยจากตำแหน่งผู้จัดการของซองจูไป
“ก็กำลังตามหาอยู่ ช่วยทนอีกหน่อยได้ไหมล่ะ? แล้วก็หยุดดื่มเหล้าได้แล้ว ขนาดในโทรศัพท์ยังรู้สึกได้ถึงกลิ่นเหล้าเลย นายทำแบบนี้จะทำให้กลายเป็นคนติดเหล้านะ หืม?”
“หนวกหูน่า! เรื่องพวกนั้นผมรู้อยู่แล้ว พี่แค่พาไอ้บ้านั่นมา ขอร้องล่ะ ผมขอร้อง…”
ท้ายเสียงของซองจูนั้นสั่นเครือ พร้อมกับเสียงสะอื้นไห้ที่เล็ดลอดออกมา ดงฮยอนที่ได้ยินเช่นนั้นก็ได้แต่พรูลมหายเฮือกใหญ่ออกมา
พฤติกรรมแปลกประหลาดของซองจูและการอ้อนวอนขอร้องที่นานๆ ทีจะหลุดออกมา เมื่อลองเอามารวมกันแล้ว ดงฮยอนก็ได้ข้อสรุปว่าเจ้าพวกนี้ต่างคนคงจะต่างก็ตกหลุมรักกันไปแล้ว
ตั้งแต่มีชีวิตอยู่มาจนป่านนี้ เขาไม่เคยคิดฝันว่าเรื่องแบบนี้มันจะเกิดขึ้น จองอูที่ไม่เคยสนใจใครเป็นพิเศษแบบนั้น การจะมอบหัวใจให้ใครสักคน ทำไมคนๆ นั้นถึงได้เป็นฮันซองจู นั่นเป็นเรื่องที่น่าตกใจอย่างมากแล้วซองจูที่เขาเคยคิดว่านอกจากเซจอง ตลอดชีวิตคงไม่อาจยอมรับใครไว้ในอ้อมกอดได้อีกแล้ว กลับมาตกหลุมรักจองอูแบบนี้ มันช่างไม่มีเหตุผลเอาเสียเลย
ทั้งสองคนคือคนที่ดงฮยอนรักเหมือนเป็นคนในครอบครัว ไม่สิ ไม่ว่าจะมุมไหนมันก็ถูกแล้วที่เขาต้องใส่ใจเจ้าพวกนี้มากยิ่งกว่าครอบครัวเสียด้วยซ้ำ แต่ว่าเรื่องที่ทั้งคู่คบกัน มันก็ไม่สามารถมองข้ามไปได้ คนที่ไม่มีความแน่นอนอะไรเลยสองคน ในช่วงระยะเวลาสั้นๆ กลับผูกพันกันมากขนาดนี้ หากคิดว่ามันเป็นผลดีกับทั้งคู่ มันก็ยิ่งต้องเป็นอย่างนั้น เหนือสิ่งอื่นใด หากเพียงมองจากสถานการณ์ในตอนนี้ จองอูที่หนีไป และซองจูที่แหลกสลาย ดงฮยอนคิดว่าไม่มีอะไรดีไปกว่าความคิดของเขาแล้ว ดงฮยอนจึงเอ่ยปากด้วยสีหน้ากระวนกระวายใจ
“ฉันกำลังตามหาอยู่ นายก็ช่วยรออยู่เงียบๆ เถอะนะ แล้วก็หยุดดื่มเสียที เข้าใจไหม?”
ทว่ากลับไม่มีการตอบรับกลับมา ดงฮยอนจ้องมองโทรศัพท์ที่มีเพียงเสียงสะอึกสะอื้นดังออกมาอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะแตะลงไปบนปุ่มยกเลิกการโทร แล้วถูหน้าด้วยมือทั้งสองข้างอย่างแรง
อีกด้านหนึ่ง ซองจูที่ไม่รู้กระทั่งว่าโทรศัพท์ได้ถูกตัดสายไปแล้ว และยังคงปล่อยให้น้ำตารินไหลออกมาเป็นสาย โทรศัพท์ที่ไม่มีเสียงใดๆ เล็ดลอดออกมาอีก ถูกกำเอาไว้ในมือแน่น ทั้งยังจ้องมองทะลุผ่านม่านน้ำตาเลยผ่านห้องนั่งเล่นไปยังทิศทางของประตูหน้าห้องอยู่เช่นนั้น
หลังจากที่จองอูหายไป ซองจูก็ได้ตระหนักว่าอีกคนเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตเขา โดยที่เขาเองก็ไม่รู้ตัว หลังจากที่เลิกรากับเซจองแล้ว ตัวเขาที่เหมือนมีบางส่วนขาดหายไปก็ได้จองอูเป็นคนมาเติมเต็มมัน พอจู่ๆ อีกคนกลับหายไป ก็ทำให้ซองจูพังทลายลงอย่างรวดเร็ว แม้จะกลับมาดื่มเหล้าที่เคยเลิกดื่มไป แม้จะเติมเต็มหัวใจที่ขาดหายด้วยบุหรี่ แต่หัวใจที่เป็นแผลฉกรรจ์กลับไม่มีทีท่าจะเติมเต็มกลับมาเลยแม้แต่น้อย กลับกันมันกลับยิ่งปวดร้าวมากขึ้น
เขามารู้สึกตัวเมื่อมันสายเกินไปแล้ว ซองจูไม่รู้ต้องทำอย่างไรกับความรู้สึกสูญเสียที่เพิ่งได้รับเป็นครั้งแรก เขาได้แต่ปล่อยให้ตัวเองพังทลายลงอย่างหมดหนทาง
แม้อยากตามหาจองอู แต่เพราะอีกคนไม่เหลือเบาะแสอะไรไว้เลย เขาจึงไม่สามารถทำอะไรได้ อย่างน้อยหากรู้เบอร์ติดต่อ เรื่องราวมันจะต่างไปจากเดิมหรือเปล่า แต่ว่าจากคำพูดของดงฮยอนอีกคนยกเลิกเบอร์ไปแล้ว ทำให้เขาได้แต่ผิดหวังอีกครั้ง วันแล้ววันเล่าที่เขาใช้ชีวิตจมอยู่กับเหล้า นานมากแล้วที่ซองจูไม่ได้พึ่งพาการดื่มจนเมาเพื่อให้ตัวเองนอนหลับได้ เขานั่งอยู่ที่ขอบเตียงขยุ้มหัวตัวเองอยู่อย่างนั้น จนกระทั่งเขานึกบางออกมาได้
ฮันซองฮี น้องชายของเขา ฮันซองฮีต้องรู้จักคิมจองอูแน่นอน
หากเชิญมาร่วมงานแต่งงานขนาดนั้น แน่นอนว่ามันต้องไม่ใช่แค่การรู้จักกันเพียงผิวเผินเท่านั้น สีหน้าของซองจูพลันสดใสขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว น้องชายที่ไม่เคยมีประโยชน์อะไรกับชีวิตเขาเลย ตอนนี้กลับกลายเป็นคนที่สามารถช่วยเหลือเขาได้ เมื่อตระหนักถึงความจริงข้อนี้ ซองจูก็ผุดลุกขึ้นมา แล้วจึงคว้าโทรศัพท์มาต่อสายหาอีกคนในทันที
“ว่าไง มีเรื่องอะไรล่ะ”
อีกฝ่ายรับโทรศัพท์เร็วกว่าที่คิดเสียอีก
แน่นอนว่ามันเป็นการโทรหาอีกคนโดยที่ยังไม่ทันได้คิดอะไรเลย หากเป็นเวลานี้ ปกติแล้วมันเป็นเวลาที่ซองฮีจะรวมตัวอยู่กับสมาชิกในวงที่ห้องซ้อม ตอนนี้ก็เช่นกัน เขาได้ยินเสียงเอะอะดังมาจากอีกฟากของโทรศัพท์ ซองจูเค้นเสียงที่แหบแห้งจากการดื่มเหล้าและสูบบุหรี่ พยายามส่งเสียงคำรามขู่ออกไป
“ตอนนี้นายอยู่ไหน”
“อยู่ไหนอะไร ห้องซ้อมน่ะสิ ร้อยวันพันปีไม่เคยคิดจะโทรมา นี่คิดจะส่งเสียงมาให้ตกใจรึไง? นอกจากบ้านแล้ว นายก็รู้นี่ว่าฉันจะไปไหนได้ นายคิดจะทำอะไรถึงโทรมาเวลานี้?”
ซองฮีโต้กลับด้วยการถามว่าเขากำลังทำเรื่องบ้าอะไร แต่ว่า ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะมาต่อล้อต่อเถียงกับอีกคน ซองจูที่กำลังจะเอ่ยปากออกไปว่าเขาจะไปหาให้รออยู่ก่อนก็ถึงกับต้องหยุดชะงักไป เมื่อนึกได้ว่าไม่นานมานี้ซองฮีจัดการกับห้องซ้อมเดิมที่ใช้มานานแล้ว ก่อนจะย้ายไปที่ใหม่ เขาจิ๊ปากเบาๆ ก่อนจะเอ่ยออกมา
“พูดมาก รีบบอกที่อยู่ห้องซ้อมนายมาเดี๋ยวนี้”
“หา? นี่ อะไรของนายเนี่ย? บ้าไปแล้วเหรอ? นายจะมาที่นี่เนี่ยนะ? ตอนที่พวกนั้นมันอยู่กันครบหมดแบบนี้เนี่ยนะ?”
“เลิกพล่ามสักที แล้วส่งที่อยู่มาทางข้อความนะ จะได้เอาไปใส่ในจีพีเอส”
ซองจูทิ้งท้ายไว้เท่านั้นก่อนจะตัดสายไป ซองฮีได้แต่จ้องมองโทรศัพท์ที่ถูกตัดสายไปด้วยสีหน้างุนงงอย่างที่สุด เซจุนที่เป็นทั้งเพื่อนร่วมวงและเพื่อนสนิทของเขาจึงมองมาทางเขา แล้วค่อยๆ เดินเข้ามาใกล้
“อะไรเหรอ มีเรื่องอะไรรึไง?”
อีกคนยื่นหน้ามาดู ก็เห็นเพียงโทรศัพท์ที่หน้าจอดับไปแล้ว หน้าจอที่มืดสนิทก็เหมือนกับใจของซองฮีที่ดำมืดอยู่ตอนนี้ ซองฮีตอบคำถามของเซจุนกลับไปด้วยสีหน้าว่างเปล่า
“เปล่า พี่น่ะ…”
เมื่อได้ยินคำตอบนั้น ใบหน้าดูดีของเซจุนก็ปรากฏความยุ่งยากออกมา
“พี่? พี่ซองจู? นี่ อะไรเนี่ย ทำไมไอ้พี่นั่นถึงโทรมาหานายก่อนได้ล่ะ? นายไปทำอะไรผิดไว้รึไง?”
“เปล่า จู่ๆ ก็โทรมาถามว่าอยู่ที่ไหน สั่งให้ฉันส่งที่อยู่ห้องซ้อมไปให้ แล้วก็วางสายไปเลย”
เซจุนที่เห็นซองฮียังคงเอาแต่จ้องมองไปที่โทรศัพท์ด้วยสีหน้ามึนงงอยู่เช่นนั้น ก็พลอยมีสีหน้ากังวลตามไปด้วย
“ที่อยู่ห้องซ้อม…? จะรู้ไปทำไมกัน?”
ซองฮุนหัวหน้าวงผู้เป็นดังศูนย์กลางของวงขมวดคิ้วมุ่น ขณะจ้องมองไปที่อีกสองคนซึ่งมีสีหน้าวุ่นวายใจ ก่อนจะเอ่ยปากพูดออกมา
“ส่งที่อยู่ห้องซ้อมไปซะ ก่อนมันจะเป็นปัญหามากกว่าเดิม”
ซองฮีที่ได้ยินประโยคนั้น ก็ค่อยๆ หันหน้าไปหาซองฮุน
“ส่งที่อยู่ไปให้แบบนั้น ไม่คิดว่ามันอาจจะกลายเป็นปัญหาใหญ่ยิ่งกว่าเดิมรึไง?”
“พี่นายเหมือนคนปกติรึไง จะส่งให้หรือไม่ส่งให้ คนพาลยังไงก็เป็นคนพาลอยู่วันยังค่ำ ฉะนั้นก็รีบๆ ส่งไปซะยังจะดีกว่า”
“ที่ซองฮุนพูดก็ถูกนะ…ส่งที่อยู่ไปให้อาจจะยังพอช่วยลดความเสียหายได้บ้างนิดหน่อย ดีกว่าไม่ส่งไปให้แล้วกลายเป็นสงครามแทน”
แม้แต่เซจุนก็ยังพูดแบบนั้น มันก็คงไม่มีทางเลือกอื่น ซองฮีถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ก่อนจะกดส่งที่อยู่ไปให้ แล้วจึงโยนโทรศัพท์ไปตรงซอกโซฟา ราวกับจับต้องโดนของแสลงเข้าให้
“เวรจริงๆ วันนี้จะเกิดอะไรขึ้นก็ไม่รู้ แต่ที่แน่ๆ มันต้องเป็นอะไรที่เลวร้ายสุดๆ”
เขาพึมพำออกมาเช่นนั้น ก่อนจะยกสองมือขึ้นปิดหน้าแล้วทิ้งตัวลงบนโซฟาไปทั้งอย่างนั้น เซจุนและซองฮุนมองท่าทางแบบนั้นของซองฮีด้วยความสงสาร แต่สีหน้าของทั้งคู่ก็ไม่ได้ดูดีไปกว่ากันนัก
“ให้หลบออกไปก่อนไหม รู้สึกขนลุกขึ้นมายังไงก็ไม่รู้”
เซจุนขยุ้มหัวตัวเองที่เริ่มจะปวดหนึบๆ ขึ้นมาแล้ว พร้อมกับเอ่ยถามซองฮี
กว่าสิบปีแล้วที่เป็นเพื่อนกับซองฮีมา สำหรับพวกเขา ซองจูที่น่าขนลุกนั่นไม่ใช่มนุษย์ปกติทั่วไป ในสายตาของพวกเขาที่ได้ฟังน้ำเสียงอันเป็นเอกลักษณ์หนึ่งเดียว แล้วยังยังรอดมาได้ มันช่างดูหนักหนามากเกินกว่าพี่น้องทั่วๆ ไป ก็นับว่ายังโชคดีที่ตอนนี้สองแฝดนรกแห่งวงคราฟท์อย่างฮยอนจินและแฮจินไม่อยู่ด้วย ถ้ามีพวกที่เหมือนอยู่ในมิติที่แปดนั่นอยู่ด้วยล่ะก็ ยากจะจินตนาการได้เลยว่ามันจะเกิดอะไรขึ้นตอนที่ซองจูบุกเข้ามา เซจุนและซองฮุนที่กำลังหมกมุ่นกับการคาดเดาเรื่องที่จะเกิด กลับได้รับคำตอบที่คาดไม่ถึงกลับมา
“ไม่ต้อง ช่างเถอะ ถ้าพวกนายอยู่มันก็คงรุนแรงน้อยหน่อย”
“…นายเชื่อใจพี่ชายตัวเองเหรอ?”
ซองฮีเองก็ไม่สามารถตอบอะไรได้กับคำถามที่เต็มไปด้วยความจริงใจของเซจุน ในความคิดของเขา ฮันซองจูที่ขาดสติเสียขนาดนั้นไม่สามารถคาดเดาได้เลยว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น
“โธ่เว้ย มันเรื่องบ้าอะไรกันวะ ไม่เคยติดต่อมากะทันหัน ไม่เคยแสดงท่าทีจะบุกมาที่นี่ ช่วงนี้ก็ไม่ได้ทำอะไรนี่? ได้เจอกันก็แค่ตอนที่นัดรวมครอบครัวเมื่อเดือนที่แล้วเท่านั้น หลังจากนั้นก็ไม่ได้ติดต่ออะไรเลยนี่หว่า”
ซองฮีขยุ้มหัวตัวเอง พร้อมกับพยายามคิดอย่างถี่ถ้วนว่าตัวเองไปทำความผิดอะไร เซจุนกับซองฮุนที่เคยมองดูด้วยความสงสาร ตอนนี้กลับเคลื่อนไหวไปมากันอย่างวุ่นวาย เริ่มจัดการย้ายอุปกรณ์ในห้องซ้อม
“พวกนายทำอะไร”
ซองฮุนทำหน้าหาเรื่องไปทางซองฮีที่จ้องมองเพื่อนอยู่สักครู่ ก่อนเอ่ยปากดุอีกคนด้วยเสียงดัง
“พี่นายกำลังหัวร้อนแบบนั้น อาจจะทำลายอุปกรณ์ของพวกเราก็ได้นี่ ฉะนั้นต้องจัดการเก็บกวาดซะก่อน ถ้ายังมีสำนึกอยู่บ้างก็เลิกขยำหัวตัวเองแล้วรีบมาช่วยกันซะ”
คำพูดนั้นทำให้ซองฮีโซเซลุกขึ้นมา เริ่มต้นจัดการกับกีต้าร์ที่โยนทิ้งไว้บนโซฟาและขาตั้งสำหรับวางโน้ตอย่างลวกๆ