ทุกๆ สองวัน ดงฮยอนจะคอยมาหาเพื่อเช็กสภาพของซองจูสักครั้งหนึ่ง เดี๋ยวนี้ดงฮยอนเก็บซ่อนสีหน้าที่เต็มไปด้วยความห่วงใยไว้ไม่มิดเลย
“กินอะไรบ้างเถอะ คงไม่ใช่ว่าไม่ชอบที่เตรียมให้ แต่ไม่ยอมพูดออกมาหรอกใช่ไหม”
“รู้แล้วน่า กลับไปเถอะ”
“ซองจู นายทำไมทำแบบนี้ล่ะ แบบนี้มันไม่สมเป็นตัวนายเลยนะ”
“บอกให้ไปไง”
กระทั่งท่าทางที่เอ่ยปากไล่เขาให้รีบๆ ออกไป ก็ดูแทบจะไม่มีเรี่ยวแรงอยู่แล้ว ดงฮยอนที่ตอนนี้เต็มไปด้วยความห่วงใย ยืนพิงอยู่ตรงกรอบประตูห้อง โดยที่ไม่ได้ขยับออกห่างไปไหนแม้แต่นิด คอยจับตาเฝ้ามองท่าทางของซองจูอยู่เช่นนั้น
“นายไปโรงพยาบาลกับฉันดีไหม? ยังไงสภาพนี้ก็ควรจะไปตรวจร่างกายดูบ้าง…”
“ให้ออกไปทั้งสภาพนี้งั้นเหรอ? พี่เสียสติไปแล้วเหรอ?”
ดงฮยอนจ้องมองซองจูที่ทำท่าทางหัวเราะเยาะเย้ยตัวเอง แล้วจึงได้แต่ถอนหายใจออกมา ถ้ารู้ว่าอีกคนมีสภาพอย่างไร จะสนใจบ้างไหมนะ ดงฮยอนได้แต่กล้ำกลืนคำพูดนั้นกลับไปอย่างไม่กล้าเอ่ยออกมา พร้อมกับสีหน้าที่ดูเคร่งเครียดขึ้น ช่วงนี้เขาดูจะถอนหายใจบ่อยเสียเหลือเกิน
“เฮ้อ…ไม่งั้น ฉันพาหมอมาที่นี่ก็ได้”
“ไม่ต้อง ถ้าว่างมากขนาดนั้น ก็ไปทำเรื่องที่ควรทำซะเถอะ มีอะไรที่สำคัญกว่าเรื่องนั้นอีกตั้งเยอะไม่ใช่รึไง?”
ซองจูพูดออกมาเช่นนั้น พร้อมแสดงท่าทีต่อต้านด้วยการหยิบหูฟังขึ้นมาสวม ดงฮยอนที่เห็นการแสดงท่าทางต่อต้านไม่ต้องการพูดคุยอะไรอีกต่อไปแล้วของอีกคน จึงได้แต่ถอยกลับไปโดยที่ไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก
ปัง
เมื่อเสียงปิดประตูดังออกมา ก็ทำให้ความสงบสุขกลับเข้ามาเยือนภายในห้องชุดอันกว้างขวางนี้อีกครั้ง
หากเป็นเมื่อครึ่งปีก่อนล่ะก็ ไม่มีทางที่เขาจะคิดว่าห้องชุดแห่งนี้มันกว้างเกินไป แต่ว่าตอนนี้กระทั่งในห้องนอนนี้ก็ยังดูกว้างเหลือเกิน เขาละทิ้งทุกอย่างที่เคยยึดติด เมื่อซองจูตระหนักได้แล้วว่าไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน ก็ไม่อาจช่วยเติมเต็มภายในจิตใจที่ว่างเปล่านี้ได้เลย
เหลือเพียงสิ่งเดียวที่เขายังคงยึดติดกับมัน
คิมจองอู
ซองจูยังคงไม่สามารถลบเลือนจองอูที่หายไปอย่างไร้ร่องรอยได้
ไม่สิ เขาสามารถลืมมันไปได้ แต่ไม่รู้ทำไมหัวใจมันกลับไม่ยอมรับแม้แต่น้อย เขาได้แต่เวทนาตัวเองที่จมอยู่กับความสับสนกระวนกระวาย เขาค่อยๆ เปิดโน้ตบุ๊ก แล้วจึงได้สังเกตเห็นสัญลักษณ์แจ้งเตือนที่โฟลเดอร์ฮาร์ดดิส
เขาเปิดมันเพื่อเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต แล้วนั่งไล่ดูวิดีโอที่เกี่ยวข้องกับจองอู และเปิดฟังเพลงเท่านั้น แต่ไม่ได้ใส่ใจดูแลตัวเครื่องเลย
โน้ตบุ๊กนี้เขาใช้มันมานานมากแล้ว เพราะฉะนั้น นั่นอาจเป็นสัญญาณแจ้งเตือนก่อนที่มันจะระเบิดตัวเองก็เป็นได้ สัญลักษณ์แจ้งเตือนสีแดงที่ปรากฏขึ้นมานั้น แสดงให้รู้ว่าพื้นที่ความจุของฮาร์ดดิสเหลือน้อยแล้ว และยังสัญลักษณ์ป็อบอัพแจ้งเตือนให้เลื่อนการอัปเดตออกไปที่เด้งขึ้นมาตลอดเวลานั่นอีก มันทำให้เขาเริ่มโมโหออกมา
“โธ่เว้ย น่ารำคาญชะมัด”
ซองจูบ่นพึมพำออกมาพร้อมกับจัดการกับพื้นที่ในถังขยะ
เสียงแจ้งเตือนและสัญลักษณ์แจ้งเตือนที่เด้งขึ้นมาทันทีที่จัดการลบข้อมูลในถังขยะ เขาจึงได้เปิดเข้าไปดูในไดร์ฟดีที่มีแจ้งเตือนปริมาณพื้นที่ความจำเหลือน้อย ใช้โอกาสนี้จัดการกับไฟล์ที่ไม่จำเป็นทั้งหลายให้หมดเสีย
จัดการลบพวกบทละครที่ไม่จำเป็นต้องตรวจดูอีกต่อไป หรือจดหมายแนะนำตัวต่างๆ รวมถึงพวกข้อมูลที่ไม่มีความหมายอะไรสำหรับเขาแล้ว ย้ายเอกสารมากมายพวกนั้นลงถังขยะไปเสีย
แต่ว่าในบรรดาโฟลเดอร์ทั้งหมด โฟลเดอร์ที่กินพื้นที่เยอะที่สุดเห็นจะเป็นโฟลเดอร์ที่เก็บไฟล์วิดีโอเอาไว้ เพราะการไปโรงหนังมันไม่เป็นไปอย่างใจคิดนัก ว่างเมื่อไหร่เขาก็จะซื้อไฟล์ภาพยนตร์มาเก็บสะสมไว้ จนตอนนี้มันกองเท่าภูเขาแล้ว ในบรรดาโฟลเดอร์พวกนั้น เขาตั้งใจจะลบโฟลเดอร์ที่ไม่ประทับใจทิ้งไปเสีย จึงได้ดับเบิ้ลคลิกลงไปที่โฟลเดอร์แถวแรกที่มีเลขหนึ่งอยู่
มันเป็นโฟลเดอร์ที่เขาก็จำไม่ได้ด้วยซ้ำ ว่าตัวเองสร้างเอาไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่ เมื่อเปิดเข้าไปดูข้างใน เขาก็พบเอกสารไม่กี่อันอยู่ในนั้น ส่วนท้ายสุดเป็นวิดีโอที่ถ่ายเอาไว้ตอนช่วงที่ไปออกค่ายกับชมรมตอนสมัยยังเรียนอยู่มหาวิทยาลัย
“นี่เราเก็บของแบบนี้ไว้จนถึงตอนนี้เลยเหรอ? มันก็ไม่ได้มีอะไรสักหน่อย ทำไมไม่ลบทิ้งไปนะ?”
ซองจูบ่นพึมพำออกมา ก่อนจะกดเปิดวิดีโอนั้นขึ้นมา
ภาพที่ปรากฏบนหน้าจอ คือบรรยากาศของวงเหล้าที่เสียงดังเอะอะโวยวาย ไม่ว่าจะพยายามนึกดูเท่าไหร่ มันก็แค่วิดีโอที่ไม่มีอะไรพิเศษเลยสักนิด มันก็แค่วิดีโอที่ถ่ายภาพบรรยากาศวงเหล้าแบบลองช็อตเอาไว้ก็เท่านั้น สงสัยว่าด้วยเหตุผลอะไรเขาถึงยังเก็บมันเอาไว้ ซองจูที่ทำหน้านิ่วคิ้วขมวด เพ่งมองไปที่ภาพวิดีโอนั่นอยู่ครู่หนึ่ง แล้วเขาก็ค้นพบเหตุผลที่ตัวเองเก็บวิดีโอนี้เอาไว้ โดยที่ไม่ได้ลบมันทิ้งไป
สิ่งที่ปรากฏในสายตาของเขาก็คือ ภาพตัวเขาที่มีใบหน้าเรียบนิ่ง ในมือข้างหนึ่งถือแก้วเหล้าเอาไว้ และใบหน้าของเซจอง
จะเมื่อก่อนหรือตอนนี้ ซองจูผู้ไม่เคยสนุกสนานกับการดื่มร่วมกับคนอื่น จึงนั่งอยู่ตรงมุมด้านในสุดของห้องพัก กำลังตั้งใจฟังเรื่องที่ใครบางคนกำลังพูดออกมา คนๆ นั้นนั่งหันหลังอยู่ จึงไม่สามารถมองเห็นใบหน้าได้อย่างชัดเจน แต่ทว่าพอได้เห็นทรงผมที่ถูกย้อมเป็นสีน้ำตาลอ่อนๆ แบบนั้น คนที่กำลังพูดจ้ออยู่นั่น แน่นอนว่าต้องเป็นท่านดงฮยอนนั่นแหละ เมื่อเห็นสีหน้าของตัวเองที่ขมวดคิ้วแน่น และดูจริงจังแบบนั้นแล้ว ดูเหมือนคงจะกำลังคุยเรื่องที่จริงจังมากๆ กันอยู่อย่างแน่นอน
‘อาจจะกำลังคุยเรื่องเกี่ยวกับหนังกันอยู่ล่ะมั้ง’
เขายกยิ้มมุมปาก เมื่อพอจะคาดเดาเรื่องราวที่กำลังคุยกันอยู่ได้บ้าง แล้วก็นั่งดูวิดีโอต่อไป
แม้จะไม่ใช่สมาชิกที่ถูกต้องตามระเบียบ แต่เซจองก็มักจะโผล่มาร่วมกิจกรรมในชมรมของซองจูบ่อยๆ ส่วนดงฮยอนนั้น แม้จะเรียนต่อปริญญาโท แต่ก็เป็นพวกที่ขยันขันแข็งในการทำกิจกรรมของชมรมมากว่าจะสนใจเรียนเสียอีก
เซจองที่ทำตาเป็นประกาย ในขณะที่จ้องมองไปยังดงฮยอนที่กำลังขยับปากพูดอย่างออกรสอยู่นั้น ยังดูเด็กอยู่มาก แต่ทว่ามันก็เพียงแค่เท่านั้น ซองจูมองภาพตัวเองที่นั่งถัดจากเซจองแบบนั้นแล้ว ก็ไม่ได้เกิดความรู้สึกอะไรอื่นอีก
“เด็กมากๆ เลยนะ”
ดูสดใสดี จากสภาพดงฮยอนที่ดูแปลกประหลาด หรือตัวเขาเองที่ดูไม่ได้แบบนั้นแล้ว วิดีโอนี้คงเป็นช่วงที่เซจองเพิ่งจะปลดประจำการออกจากกรมมา แต่ว่าทั้งหมดมันก็มีเพียงเท่านั้น สดใสและยังเด็กอยู่มาก แค่เด็กวัยรุ่นที่ยังคงค้นหาตัวเองอยู่ เพียงแค่การกระทำแบบเด็กๆ ในวัยไร้เดียงสาที่เคยแสดงท่าทางเป็นรุ่นพี่ผู้มีประสบการณ์ก็เท่านั้น มันแค่ความรู้สึกแบบนั้นเท่านั้น ที่เขาสามารถรับรู้ได้ในเวลานี้
ช่างเป็นเรื่องน่าประหลาดใจ
หากเป็นเมื่อไม่กี่เดือนก่อนหน้านี้ ตัวเขาในตอนนั้นที่ยังคงยึดติด และไม่อาจจัดการกับความรู้สึกที่มีต่อเซจองได้ แม้จะได้ดูวิดีโอซึ่งเป็นเรื่องราวในอดีตที่คิดถึงอย่างเช่นตอนนี้ เขาก็ไม่ได้มีความรู้สึกใดที่พิเศษไปจากเดิม ซองจูเพิ่งตระหนักว่าตัวเขาได้จัดการกับสายใยความรู้สึกบางๆ ที่เกี่ยวข้องเซจองได้นานแล้ว จึงได้ปิดวิดีโอไปด้วยสีหน้าที่ยังคงเรียบนิ่ง
ซองจูเพียงคิดว่าเขาควรต้องยอมรับในสิ่งที่ต้องยอมรับได้แล้ว
ในใจของเขามันไม่มีที่ว่างสำหรับเซจองมานานแล้ว คนที่มาแทนที่และเข้ามายึดครองทุกส่วนไปจนหมดนั้น มีเพียงแค่คิมจองอูเท่านั้น
ไอ้บ้าที่วิ่งหนีเขาไปด้วยตัวเองแบบนั้น เขาไม่เข้าใจเลยสักนิดเดียวว่า อีกคนมีอะไรดีขนาดนั้นกัน แต่ว่ามันก็เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้เสียแล้ว คนที่ตกหลุมรักก่อนไม่ใช่คนที่เป็นฝ่ายพ่ายแพ้หรอกนะ
ไม่เกี่ยวว่าเป็นมุนเซจองหรือใคร แม้ไม่รู้ว่าควรจะเรียกชื่อความสัมพันธ์แบบนั้นว่าอย่างไร มันก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงความจริงที่ว่าตัวเขาชอบจองอู ถึงจะมีความเป็นไปได้อย่างมากที่จองอูจะปฏิเสธความรู้สึกนั้น แม้ไม่รู้ว่าอีกคนทำอะไร อยู่ที่ไหนก็ตาม เขาตัดความเป็นไปได้ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้นี้ อาจจะคิดแค่ว่ามันเป็นแค่เรื่องน่าขำก็เท่านั้น
เรื่องง่ายๆ แค่นี้ จนตอนนี้ก็ยังคิดไม่ได้อีกหรือ ผลลัพธ์ของความโง่เขลาที่มาคิดได้ในเวลาที่มันสายไปแล้ว ก็คือหัวใจและร่างกายที่แหลกสลายเช่นนี้
หากยังคงเป็นเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆ เห็นทีว่าคงได้จัดงานศพให้ตัวเองแน่ๆ แม้จะไม่มีเรื่องเช่นนั้น แต่ถ้าหากวันนี้จองอูเกิดกลับมากะทันหันล่ะ? เขาไม่อยากให้อีกคนได้มาเห็นเขาในสภาพที่ดูไม่จืดแบบนี้ หากเป็นไปได้ เขาอยากมีสภาพที่ดูดีที่สุด ถึงนายจะไม่อยู่ ฉันก็ยังคงดูดีเช่นเดิม ยังคงเหมือนเดิมเสมอ และอยากจะหัวเราะเยาะใส่อีกฝ่าย แบบนั้นล่ะถึงเป็นฮันซองจู
เขาค่อยๆ ปิดพับฝาโน้ตบุ๊กลง ลุกออกมาจากที่นอน สองเท้าที่ไม่ได้สัมผัสลงบนพื้นห้องมาเนิ่นนานแล้ว จึงพาลให้เกิดความรู้สึกแปลกๆ อยู่บ้าง ซองจูก้าวไปทางห้องอาบน้ำอย่างช้าๆ
แอ๊ดด
เสียงบานพับประตูที่ดังเอี๊ยดอ๊าดออกมาเช่นนั้น ทำให้เกิดความคิดที่ว่าหากว่างเมื่อไหร่ เขาคงต้องหาน้ำมันมาหยอดเสียหน่อยแล้ว ก่อนเจ้าตัวจะก้าวเข้าไปภายในห้องอาบน้ำ
“โห”
วินาทีที่ได้เห็นเงาสะท้อนของตัวเองในกระจก ก็ทำเอาต้องส่งเสียงอุทานออกมา
สภาพที่ไม่ได้รับการดูแลตัวเองเลย รูปร่างซูบผอมลงอย่างเห็นได้ชัดจนดูน่าเกลียด ร่างกายที่ไม่ได้ออกกำลังกายเลยสักครั้งตลอดช่วงที่ผ่านมา น้ำหนักที่ลดฮวบลงจนเผยให้เห็นกระดูกซี่โครงชัดเจน กล้ามหน้าอกที่เคยมีก็หายไป กลายเป็นแบนราบ ทรวดทรงที่เคยมีก็ซูบตอบไปหมด แผ่นหลังที่เห็นเส้นกระดูกสันหลังปูดชัดออกมา เป็นสภาพที่ดูไม่ได้เอาเสียเลย ตำแหน่งบนสองแขนและสองขาที่เคยมีมัดกล้ามเนื้อก็หายไปจนหมด และยังใบหน้าที่หมองคล้ำ รวมถึงสองแก้มที่ซูบตอบ เส้นผมยาวและมีสภาพกระเซอะกระเซิง อย่างกับไม่เคยได้รับโอกาสให้สัมผัสกับสิ่งที่เรียกว่าหวีเลยสักครั้งหนึ่ง
เขาได้แต่หัวเราะเยาะให้กับสภาพที่ดูไม่ได้ของตัวเอง ในสภาพนี้ของฮันซองจู หากกลับไปเป็นนักแสดงคงจะได้รับทาบทามไปเล่นบทคนป่วยใกล้ตายอย่างแน่นอน
“สภาพนี้เนี่ยนะ? ชวนให้ไปโรงพยาบาล? ก่อนจะได้ไปโรงพยาบาล คงได้มีข่าวลือใหม่เกิดขึ้นมาก่อนน่ะสิ ไอ้บ้าเอ๊ย เป็นประธานประสาอะไร”
หลังจากตกตะลึงกับสภาพตัวเอง และได้พึมพำออกมาอย่างเจ็บแค้นแล้ว ซองจูก็ปิดประตูห้องอาบน้ำลง และได้เวลาที่เขาจะค่อยๆ สลัดการกระทำที่ผิดแปลกของตัวเองทิ้งเสียที
“ส่งผู้จัดการผมมา คืนมินซิกมาให้ผม”
เขาจัดการอาบน้ำจนสะอาดหมดจด เมื่อออกมาจากห้องอาบน้ำมาแล้ว ซองจูก็ต่อสายหาดงฮยอนในทันที ดงฮยอนที่รีบร้อนกดรับรับสายของอีกฝ่ายทั้งที่ยังไม่ทันจะพ้นสองวินาทีด้วยซ้ำ ก็ถึงกับตอบอะไรไม่ถูกกับคำพูดที่ไม่ได้คาดคิดมาก่อน
หลังจากนั้นจึงได้เอ่ยตอบกลับไปอย่างยากลำบาก
“นายเป็นบ้าไปแล้วรึไง?”
ซองจูหัวเราะเฮอะให้กับประโยคนั้น ก่อนจะตอบกลับไป
“ถ้าผมดีขึ้นแล้ว ก็จะคืนมินซิกให้ นั่นมันคำพูดของพี่ไม่ใช่รึไง”
“แล้วสภาพนายตอนนี้มันดีขึ้นเสียที่ไหน…เดี๋ยวนะ อะไรเนี่ย ตอนนี้นายตั้งสติได้แล้วเหรอ?”
“ผมมีสติอยู่ตลอดนั่นแหละ จะยังไงก็ช่าง รีบส่งมินซิกมาที่นี่ด่วนเลย พี่ไม่ได้มีหน้าที่คอยตามก้นผมสักหน่อย”
“นี่ พูดอะไรให้มันรู้เรื่องหน่อย คนตามก้นนายอะไรกัน”
“ช่างมันเถอะน่า รีบๆ ส่งตัวมาสักที คงต้องปรับเปลี่ยนเรื่องอาหารเพื่อเพิ่มน้ำหนักซะก่อน แล้วหลังจากนั้นค่อยไปโรงพยาบาล แล้วก็กลับไปออกกำลังกาย ส่งมินซิกมา เจ้านั่นจะได้จัดการตารางให้ผมได้ ถ้ายังชักช้าล่ะก็ ผมจะลืมๆ มันไปซะ”
คำพูดคำจาแบบนั้น ดูท่าซองจูคนเก่าคงจะกลับมาแล้วสินะ ดงฮยอนต้องรีบตอบกลับไปทันที เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสไป เจ้าตัวกลืนน้ำลายลงคออยู่หลายวินาที ก่อนจะเอ่ยปากตอบกลับไปอย่างยากลำบาก
“นี่นายจริงจังอยู่ใช่ไหม”
“เคยเห็นผมทำเรื่องไร้สาระเหรอ”
เมื่อดงฮยอนได้ฟังคำตอบของซองจูแล้ว เจ้าตัวก็ตาลุกวาวแล้วรีบตอบกลับไปทันที
“ได้เลย จะส่งมินซิกไปเดี๋ยวนี้ล่ะ”
เมื่อได้ยินประโยคนั้นซองจูก็วางสายจากอีกฝ่ายทันที พร้อมกระตุกยิ้มมุมปากออกมา มุมปากที่ไม่เคยยกยิ้มขึ้นมานานแล้วนั้น เป็นสัญญาณให้รู้ว่าเขาได้คืนชีพกลับมาแล้ว