ก่อนที่จะไปเข้ากรม ตัวเขาก็ทำงานนี้ในการหาเลี้ยงตัวเอง มันก็ถือว่าเป็นงานที่ไม่เลวเลย สำหรับการเลี้ยงดูตัวเองลำพัง แต่ว่ามันก็ไม่ใช่งานที่ได้เงินมากมายอะไรนัก ดังนั้นหลังจากออกจากกรมมาแล้ว เขาจึงได้มองหางานอื่นๆ ดู เพราะอยากจะเก็บเงินสักก้อน แต่ทว่ามือของเขาก็มาได้รับบาดเจ็บเสียก่อน จึงไม่สามารถทำตามที่ตั้งใจได้ เงินที่เก็บหอมรอมริบมาพักหนึ่งก็หมดไปกับค่ารักษา หลังจากนั้นเขาจึงได้กลับมาเป็นบาริสต้าอีกครั้ง
เพราะส่วนที่ได้รับบาดเจ็บคือนิ้วก้อยข้างซ้าย จึงไม่ได้ทำให้ลำบากในการทำงานอะไรนัก ก่อนที่เขาจะได้ก้าวเข้ามาทำงานในแวดวงที่เกี่ยวกับดนตรี เขาก็ทำงานเป็นบาริสต้ามาตลอด ซึ่งมันก็ไม่ใช่งานที่เหน็ดเหนื่อยอะไรเท่าไหร่
ตอนนี้เขาก็คอยมาช่วยงานที่คาเฟ่ในช่วงกลางวัน ตอนเย็นที่พอมีเวลาว่าง เขาก็ใช้เวลานั้นทำเพลงบ้าง เครื่องไม้เครื่องมือที่เขาเคยย้ายไปไว้ในห้องของซองจู เขาได้ส่งกลับไปที่ห้องทำงานเก่าของตัวเองแล้ว ตอนนี้จึงค่อยๆ ทำงานด้วยเครื่องมือที่พอมีอยู่อย่างค่อยเป็นค่อยไป แล้วก็พอใจกับอะไรแบบนั้น กว่าจะมาได้ถึงขนาดนี้ จองอูเองก็ใช้เวลาอยู่นานเช่นกัน
แม้จะได้รับคำสารภาพในตอนนี้ แต่ก่อนหน้านี้การต้องรับมือกับความรู้สึกที่ว่าซองจูไม่ได้มีความรู้สึกใดๆ ต่อกันนั้น มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลย แล้วยังการที่ต้องคอยอดทนไปวันๆ กับความรู้สึกที่เป็นบุญคุณกับการไปรบกวนอาศัยอยู่ในที่ของคนอื่นแบบนั้นอีก
กลางวันก็สวมหน้ากากคอยต้อนรับลูกค้า และต้องอดทนผ่านค่ำคืนอันยาวนานด้วยสภาพไม่ต่างจากคนป่วยใกล้ตาย ตลอดเวลานั้นความรู้สึกที่มีต่อซองจูมันก็ไม่เคยลดน้อยถอยลงเลยแม้สักนิด เมื่อไม่อาจทนต่อความรู้สึกคิดถึง ความรู้สึกเสียใจ และความรู้สึกผิดที่มีต่ออีกคนได้ เขาก็ทำได้แค่เพียงยอมรับมัน แล้วอาการนอนไม่หลับและอาการหูแว่วที่ทำให้เหมือนตกอยู่ในนรกนั่น ก็ค่อยๆ หายไป
กระทั่งตอนนี้เขาก็ยังคงคิดถึง
ตอนที่ได้ยินว่าซองจูนั้นมีสภาพไม่เป็นผู้เป็นคนเพราะตัวเอง เขาก็รู้สึกราวกับโลกถล่มลงตรงหน้า รู้สึกละอายใจเหลือเกินกับคำบอกเล่าที่ว่าอีกมีสภาพไม่ต่างอะไรกับผู้ป่วยใกล้ตาย การจะทำใจให้สงบลงได้ช่างเป็นเรื่องยากลำบาก ในตอนนี้อีกคนกลับมามีสภาพที่เกือบจะเป็นปกติดังเดิมแล้ว เขาคิดว่าการที่ตัวเองกลับไปเจออีกคน อาจจะเป็นการทำร้ายซองจูที่ฟื้นตัวกลับมาได้แล้วก็เป็นได้
ได้แต่คิดว่าจะสามารถกลับไปเจออีกคนได้หรือไม่ มันยิ่งทำให้อึดอัดและคิดถึง อยากจะวิ่งกลับไป แล้วกอดอีกคนเอาไว้ แบ่งปันความอบอุ่นให้แก่กัน แม้ว่าการอยู่ตัวคนเดียวจะทำให้สบายใจ แต่เขากลับโหยหาความอบอุ่นที่เคยมีอยู่ข้างกาย ได้แต่กังวลว่าหากเป็นแบบนี้ต่อไป ตัวเองจะทรุดลงไปอีกหรือเปล่า
ดังนั้นจึงได้พยายามโหมทำงานอย่างหนัก ใช้งานมาทำให้จิตใจที่ว้าวุ่นนั่นถูกพับเก็บไป เขาตรวจดูขนมหวานที่เอาออกมาวางไว้ ให้ตัวเองได้หลงลืมซองจูออกไปจากความคิดชั่วขณะหนึ่ง แต่ถึงอย่างไร กระทั่งในความฝันเราก็ยังได้พบกัน ดังนั้นเขาจึงใช้มันมาปลอบใจตัวเอง ก่อนจะฝืนยิ้มออกมา
* * *
“พี่ครับ วันนี้คงจะยุ่งหน่อย ถ้ายังไม่รีบเตรียมตัวตั้งแต่ตอนนี้ พี่จะสายเอานะครับ”
“รู้แล้วน่า รอแป๊บนึง”
มินซิกที่ทำตัววุ่นวายตั้งแต่เช้ายังคงบ่นไม่เลิก อีกฝ่ายถูกปล่อยทิ้งไว้ตรงหน้าประตู เอ่ยเร่งให้เขารีบเตรียมตัว ขณะที่ซองจูยังยืนอยู่หน้ากระจกค่อยๆ ส่องสำรวจตัวเอง
ผิวพรรณที่ดูมีเลือดฝาดมากกว่าเก่า น้ำหนักที่เพิ่มขึ้นมา ทำให้รูปร่างกลับมาดูดีอีกครั้ง จัดแต่งขนคิ้วและเส้นผมที่ตกลงมาปรกหน้าผากให้ออกมาดูดีด้วยท่าทางคล่องแคล่ว ต่ำลงมาคือดวงตาสีน้ำตาลใสกระจ่างและขนตาที่ถูกปัดให้ดูหนาขึ้นมา
ด้วยอากาศที่ยังคงเย็นอยู่เล็กน้อย เขาจึงสวมกางเกงยีนส์คู่กับเสื้อเชิ้ต และสวมทับด้วยเสื้อเทรนโค้ทบางๆ ซองจูดูสภาพตัวเองในกระจกอีกครั้ง ประมาณนี้ก็คงจะไม่ดูเหมือนคนป่วยในสายตาคนอื่นสักเท่าไหร่แล้วแหละ
“เอาล่ะ ไปกันรึยัง?”
เจ้าตัวยกยิ้มให้ตัวเองในกระจก ก่อนจะออกจากห้องไป
ตอนนี้ซองจูอยู่ในช่วงของการเตรียมตัวกลับสู่วงการอีกครั้ง
เขาปรับเปลี่ยนการออกกำลังกายและการกิน กลับมางดดื่มเหล้าและสูบบุหรี่อีกครั้ง แต่ร่างกายที่เสื่อมโทรมไปก็ดูจะไม่กลับคืนมาง่ายๆ โดยเฉพาะกล้ามเนื้อที่หายไป แม้จะปรับการออกกำลังกายเท่าไหร่ ก็ดูจะไม่มีวี่แววเลยสักนิด ได้แต่บอกคนอื่นไปว่าเขาป่วยหนัก และในความเป็นจริงมันก็ดูเป็นเช่นนั้น ซองจูแสดงออกมาว่าตัวเองไม่ได้เจ็บป่วยอะไรแล้ว
แต่ทว่าจิตใจที่อ่อนแอนั้นไม่ได้ดีขึ้นมาเลย เขายังคงคิดถึงสัมผัสที่อบอุ่นและเสียงกระซิบทุ้มต่ำนั่น ในช่วงเวลาเช่นนั้น ซองจูจะเข้าไปที่ห้องซ้อมของบริษัทและซ้อมการแสดง พูดตำหนิตัวเองออกมาด้วยแรงอารมณ์ ลองแสดงเป็นคนอื่นเช่นนั้น ก็พอจะช่วยให้ลืมความอ้างว้างและความรู้สึกสูญเสียพวกนั้นไปได้บ้าง
แต่หากคิดถึงจองอูขึ้นมาเมื่อไหร่ เขาก็จะฟังเพลงของอีกคน และเปิดดูภาพการแสดงของอีกคนที่ถูกถ่ายเอาไว้เช่นเมื่อก่อน หากคิดถึงความอบอุ่นของอีกคนขึ้นมา เขาก็ได้แต่กระวนวายใจอยู่เพียงลำพัง และจบแต่ละวันไปด้วยการร้องไห้
อาจดูเหมือนดีขึ้น แต่มันกลับไม่ดีขึ้นเลย แน่นอนว่าการยอมรับความจริงกับไม่ยอมรับความจริงนั้นมันแตกต่างกันอย่างมาก แต่ทว่าซองจูคิดว่าสภาพจิตใจของเขามันไม่ได้สมบูรณ์ดีขึ้นเลย
“มินซิก วันนี้ตารางงานมีอะไรบ้าง”
เมื่อซองจูขึ้นมาบนรถแล้ว เจ้าตัวจึงได้เอ่ยถามมินซิก เมื่อดูตารางงานแล้วก็มีแค่ไปบริษัทกับฟิตเนส แล้วก็ไปโรงพยาบาลเพียงเท่านั้น แต่ถึงอย่างนั้นการที่รู้ตัวว่าต้องทำอะไรกับการไม่รู้เลยนั้นก็ให้ความรู้สึกแตกต่างกันอย่างมาก คำถามของซองจูทำให้มินซิกหันกลับมามองข้างหลังแวบหนึ่ง ก่อนจะขับรถต่อไป
“เมื่อกี้เราไปออกกำลังกายมาแล้ว ที่เหลือก็แค่ไปตรวจร่างกายที่โรงพยาบาลครับ เอ้อ แล้วก็วันนี้ท่านประธานชวนให้ไปกินมื้อเที่ยงด้วยกันนะครับ”
“หา? แล้วทำไมมาบอกนายล่ะ ต้องมาบอกฉันโดยตรงไม่ใช่รึไง ที่ถูกก็ควรต้องบอกฉันนี่สิ”
“เอาอีกแล้วนะครับ ยังไงก็บอกไปแล้วว่าจะไป พี่ก็อย่าทำตัวแบบนั้นเลยนะครับ เพราะแบบนั้นคนเขาจะเข้าใจผิดเอาได้ว่าพี่ถูกทิ้งนะครับ”
“แล้วจะทำไมล่ะ?”
“ไม่ใช่แบบนั้นครับ…ยังไงซะพี่ก็เป็นคนดีมากๆ นะครับ ทิ้งคนแบบพี่ได้ต้องเป็นคนที่โง่มากๆ เลยแหละครับ”
“เดี๋ยวนี้นายชักจะเริ่มปีนเกลียวแล้วนะ”
“ผมทำแบบนั้นที่ไหนกัน!”
ซองจูหลุดยิ้มออกมา ก่อนจะหัวเราะให้กับการหยอกเย้ามินซิก
ช่วงนี้บรรยากาศรอบตัวซองจูเปลี่ยนไป
หากเป็นเมื่อก่อน แม้จะเป็นคนของเขา ถ้าเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นเจ้าตัวก็จะหัวร้อนออกมาทุกครั้ง ทว่าช่วงนี้กลับหลุดเสียงหัวเราะและมีรอยยิ้มมากขึ้น แล้วยังหยอกมินซิกกลับด้วย
คนที่ดูมีประโยชน์ที่สุดในช่วงเวลาที่แสนสาหัสแบบนี้ ก็คือมินซิกนี่แหละ อีกคนต้องตัวติดกับซองจูตลอดทั้งวัน จึงช่วยให้ได้ผ่อนคลายจากความเครียด แล้วยังทำให้พลอยสดใสไปด้วย
เรื่องดีๆ มันก็คือเรื่องดีๆ ซองจูมองสำรวจใบหน้าที่ยิ้มพรายของมินซิก ก่อนจะค่อยๆ หันหน้าออกไปมองนอกหน้าต่าง
“แล้วนี่จะไปไหนล่ะ”
“ไปเจอท่านประธานครับ”
“งั้นฉันขอพักสายตาสักแป๊บ ถ้าถึงแล้วก็ปลุกด้วยล่ะ”
“ครับ”
ซองจูที่ไม่อยากจะคิดอะไรอีกต่อไป ค่อยๆ หลับตาลง
“อะไรเนี่ย สีหน้าดูดีขึ้นเยอะเลยนี่”
“งั้นเหรอ”
“ดีแล้วสินะ ตอนนี้ค่อยดูเหมือนคนขึ้นมาหน่อย”
“งั้นก่อนหน้านี้ไม่ใช่คนหรือไง คำพูดคำพูดจานี่มัน…”
เสียงที่ดังปลุกทำให้เขาค่อยๆ ลืมตาขึ้นมาช้าๆ แล้วใบหน้ายิ้มแย้มของดงฮยอนก็ปรากฏสู่สายตาเป็นสิ่งแรก นั่นทำให้รู้สึกไม่พอใจสักเท่าไหร่ สีหน้าจึงพาลบูดบึ้ง จนเกิดบทสนาทนาเมื่อครู่นั่นแหละ สถานการณ์ที่ดูไม่ได้น่ายินดีเลยสักนิด ทำให้ตอบโต้กลับไปอย่างไม่ใส่ใจ และก็เพราะดงฮยอนที่เอาแต่คอยจับผิดคำพูด จึงยิ่งทำให้สีหน้าเขาบูดบึ้ง
ดงฮยอนที่ได้เห็นซองจูที่มีสภาพจิตใจเช่นนั้น อีกทั้งยังแสดงสีหน้าไม่พอใจออกมา ก็ทำเอาเจ้าตัวไม่สามารถหุบยิ้มลงได้เลย
เพราะก่อนหน้านี้อีกคนมีสภาพราวกับจะตายเสียให้ได้ ตอนนี้พอมีสภาพที่ดูเป็นผู้เป็นคนขึ้นมา และยังนิสัยเดิมที่เผยออกมา มันก็ทำให้เขาใจชื้นขึ้นมาได้บ้าง หากอยู่ในสภาพนี้ การปล่อยสองคนเอาไว้ด้วยกันก็คงไม่ทำให้จองอูหนักใจเท่าไหร่มั้ง เขาคิดเช่นนั้นก่อนจะหลุดขำออกมา
“นี่ ทำไมจู่ๆ ก็ยิ้มน่าเกลียดแบบนั้น ขนลุกชะมัด”
“มีเรื่องให้อารมณ์ดีก็ต้องยิ้มออกมาสิ นี่ ไปดื่มกาแฟกันเถอะ”
“กาแฟเหรอ? ไม่ใช่ข้าว?”
“ก็มันไม่มีเวลาพอให้ไปนั่งกินข้าวนี่ ไปหาอะไรง่ายๆ กินที่นั่นเอาก็แล้วกัน”
“ประสาท ไม่อร่อยละน่าดู”
แม้บุคลิกเดิมจะตายไป แต่ฝีปากจัดจ้านก็ยังคงไม่หายไปไหน พอสะกิดให้หงุดหงิดเข้าหน่อย ก็ขู่คำรามกลับมาเสียแล้ว ซองจูที่เป็นเช่นนั้นได้แต่ทิ้งดงฮยอนที่เอาแต่หัวเราะคิกคักไว้ตรงนั้น
ร้านคาเฟ่เล็กๆ ในละแวกใกล้กับที่ตั้งของบริษัท ให้บรรยากาศเรียบง่ายและดูทันสมัยอยู่ในที ทันทีที่เปิดประตูเข้ามา น้ำเสียงที่เอ่ยต้อนรับออกมาด้วยความยินดีก็ดังจากมาทุกทิศทาง นี่คงไม่ใช่ครั้งแรกที่มาที่นี่ ดงฮยอนเดินนำไปทางส่วนด้านในของร้านที่จัดเป็นห้องส่วนตัวเอาไว้
“โอ้ ท่านประธาน ไม่ได้มานานเลยนะครับ”
ชายวัยกลางคนคนหนึ่ง รีบตรงดิ่งเข้ามาทางพวกเขาทันทีที่สังเกตเห็นดงฮยอน
“อ้า เถ้าแก่ ไม่เจอกันนานเลยนะครับ พวกเราขอใช้ห้องประชุมหน่อยจะได้ไหมครับ”
“แน่นอนครับ จะใช้นานเท่าไหร่ก็ตามสบายเลยครับ ว่าแต่ คุณคนนี้…คุณฮันซองจูใช่ไหมครับเนี่ย?”
“อ้า สวัสดีครับ”
เขาโค้งศีรษะเล็กน้อยให้กับเจ้าของร้านคาเฟ่ที่ดูจะรู้จักเขาด้วย สีหน้าของเถ้าแก่ดูเบิกบานอย่างมาก
“โอ้ ผมเป็นแฟนคลับคุณด้วยนะครับ ได้มาเจอตัวจริงแบบนี้ เป็นเกียรติมากเลยครับ”
“ผมสิครับที่ต้องรู้สึกเป็นเกียรติ ร้านดูดีมากเลยนะครับ”
“ขอบคุณครับ อ๊ะ ท่านประธาน จะให้จัดเมนูอะไรมาให้ดีครับ”
“ของผมเอากาแฟแบบเดิม กับไอซ์อเมริกาโน่แก้วนึงครับ แล้วก็ขอเป็นเมนูอะไรก็ได้ที่พอจะช่วยประทังหิวด้วยนะครับ เอ้อ มินซิกจะกินอะไรล่ะ?”
“ผมคงต้องเข้าไปที่บริษัทสักหน่อยน่ะครับ ผอ.เขาเรียกไปพบน่ะครับ…”
“ยองอุกน่ะเหรอ? เจ้านั่นไม่คิดจะพักบ้างเลยรึไงนะ ถ้าโดนรังแกละก็มาบอกฉันเลยนะ”
“ไม่หรอกครับ ผอ.ออกจะดีกับผมนะครับ ถ้าอย่างนั้นผมขอตัวก่อนนะครับ พี่ครับ ถ้าเสร็จธุระแล้ว ช่วยโทรหาผมด้วยนะครับ!”
“อื้อ แล้วเจอกัน”
ซองจูมองตามมินซิกที่รีบเร่งเดินจ้ำไปทางบริษัท แล้วจึงเดินตามดงฮยอนเข้าไปในห้องประชุมของคาเฟ่
“ดูดีเลยนะเนี่ย”
ซองจูมองสำรวจรอบๆ ห้องแคบ ก่อนจะนั่งลง
ส่วนมากแล้วร้านคาเฟ่ในละแวกบริษัทก็มักจะเป็นเช่นนี้ ที่นี่ถูกจัดไว้ให้คล้ายคลึงกับห้องประชุม มีสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ จัดเตรียมไว้สำหรับเหล่าพนักงานบริษัททั้งหลาย เพราะอย่างนั้นจึงสามารถหลบเลี่ยงจากสายตาอยากรู้อยากเห็นของคนอื่น แล้วมีความสุขกับการพักผ่อนได้ นั่นทำให้เขารู้สึกขอบคุณเป็นอย่างมาก
ด้วยความพิเศษของอาชีพนักแสดง จึงทำให้ไม่สามารถจะเมินเฉยต่อสายตาของคนอื่นๆ ได้ แต่ทว่าถึงจะบอกว่าเคยชินแล้ว แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องที่จะทำเป็นสบายอกสบายใจได้ โดยเฉพาะซองจูที่เพิ่งจะผ่านช่วงเวลาที่สาหัสมาได้ไม่เท่าไหร่ จึงยิ่งจำเป็นต้องอยู่ห่างๆ จากสายตาอยากรู้อยากเห็นของคนอื่นเข้าไว้ เขาเอนหลังพิงเข้ากับพนักของเก้าอี้อย่างช้าๆ แล้วมองไปยังดงฮยอนที่นั่งอยู่ก่อนแล้ว