(Yaoi) พักใจกับนายรูมเมท – ตอนที่ 4-3

ตอนที่ 4-3 ข้ามผ่าน

 

 

 

 

“มีแผนการอะไรถึงได้ลากมาที่แบบนี้กันล่ะ” 

 

 

แม้จะพูดจาเหน็บแนมอีกฝ่ายออกไป แต่ดงฮยอนก็ยังคงมองมายังซองจูด้วยท่าทางนิ่งเฉยเช่นเดิม 

 

 

“อะไร?” 

 

 

“คนอย่างชินดงฮยอนน่ะ ไม่มีความจำเป็นอะไรที่ต้องลากกันมาถึงที่นี่หรอกมั้ง ถ้ามีอะไรจะคุยละก็ คุยที่บริษัทไม่ปลอดภัยกว่ารึไง จากที่ดู นี่คงจะสั่งให้พี่ยองอุกเรียกตัวมินซิกไปด้วยสินะ มีเรื่องอะไรกันแน่? ปัญหาเร่งด่วนรึไง?” 

 

 

ซองจูพูดออกมาเช่นนั้นพร้อมกับมองดงฮยอนด้วยท่าทางลำบากใจ ดงฮยอนที่เห็นท่าทางเช่นนั้นของซองจูก็ถึงกับหลุดขำออกมา ก่อนจะส่ายหน้าไปมา 

 

 

“ยังความรู้สึกไวเหมือนเดิมเลยนะ อีกเดี๋ยวก็รู้เองนั่นแหละ ไอ้เจ้านี่” 

 

 

ดงฮยอนพูดออกมาเช่นนั้น พร้อมกับสังเกตซองจูไปด้วย 

 

 

สีหน้ากลับมาดีขึ้นมากแล้ว แต่ทว่าน้ำหนักยังดูห่างไกลจากแต่ก่อนอยู่มาก มันไม่ใช่ปัญหาใหญ่โตอะไร ถ้าจะถือเสียว่านี่เป็นการไดเอตของเจ้าตัว แต่ทว่าถ้าคิดถึงเรื่องของสุขภาพก็ควรจะเพิ่มน้ำหนักอีกสัก หนึ่งกิโลหรือไม่ก็สักสองกิโล แต่ก็นะเทียบกับการลดน้ำหนักแล้ว เพิ่มน้ำหนักดูจะง่ายกว่าเป็นไหนๆ เขาจึงไม่ได้กังวลอะไรมากนัก เรื่องที่เร่งด่วนกว่านั้น คือเรื่องของสภาพจิตใจต่างหาก 

 

 

แม้จะดูฟื้นฟูกลับมามากแล้ว แต่ก็ยังไม่อาจแก้ไขสาเหตุที่ทำให้จิตใจได้รับการกระทบกระเทือนเช่นนี้ได้เลย แล้วเรื่องนั้นก็ไม่ใช่เรื่องที่จะแก้ไขได้ง่ายๆ ด้วยการพาไปหาจองอู ปัญหาเรื่องสภาพจิตใจของซองจูนั้น มันเป็นปัญหาที่ฝังลึกมากกว่านั้น ซึ่งเจ้าตัวเองก็รู้ดีกว่าใคร 

 

 

ปัญหาที่เกี่ยวกับพ่อแม่และน้องชาย ตอนนี้อีกคนก็กำลังปรับแก้มันอยู่ กับปัญหาเรื่องคนรักเก่านั้น ไม่ได้แก้ไขได้ด้วยการปรึกษากับใครสักคน มันเป็นปัญหาที่พึ่งพาคนอื่นไม่ได้ ซองจูผู้โชคร้ายในเรื่องพวกนี้อยู่เสมอ ก็ไม่ได้มีใจที่คิดอยากจะได้รับคำปรึกษาจากใคร สุดท้ายมันก็ไม่มีทางอื่นนอกจากเอาชนะด้วยตัวเอง วันนี้ดงฮยอนจึงพาซองจูมาที่นี่ ก็เพื่อให้อีกคนได้ลองเผชิญหน้าดู 

 

 

“อะไรเนี่ย ขนลุกชะมัด มองกวาดขึ้นลงแบบนั้นทำไม?” 

 

 

“นายเนี่ยพูดเพราะขึ้นนะ” 

 

 

“พี่รู้เหรอว่าอะไรคือพูดเพราะน่ะ?” 

 

 

“ปัดโธ่ เอาล่ะ เข้าใจแล้ว ไอ้เราก็นึกว่านิสัยแบบนั้นตายไปแล้ว ที่แท้ก็เหมือนเดิม” 

 

 

“ก็ต้องงั้นสิ สันดานเนี่ยจะให้เปลี่ยนยังไงเล่า ถึงจะน่ารำคาญ แต่ก็ไม่มีแรงจะสู้ด้วยหรอกถึงได้ทนแบบนี้” 

 

 

ซองจูที่ทำเสียงเฮอะใส่คำพูดของเขา เห็นเช่นนั้นดงฮยอนก็ได้แต่หลุดขำออกมา หากเป็นเจ้าคนที่ทำท่าหมดอาลัยตายอยากเมื่อก่อนนั้น แค่พูดตอบโต้ออกมาแบบนี้ก็รู้สึกขอบคุณมากแล้ว แต่ทว่าก็คงแกล้งทำเป็นไม่รับรู้กับสถานการณ์ตรงหน้าไม่ได้ อย่างไรเสียจะตีเหล็กก็ต้องตีตอนร้อนๆ นี่แหละ เขาคิดเช่นนั้น ก่อนจะดูเวลาจากนาฬิกาข้อมือที่ใส่อยู่ 

 

 

“ได้เวลาแล้วนี่” 

 

 

“กำลังรอใครอยู่กันแน่?” 

 

 

“เดี๋ยวก็มาแล้ว โอ๊ะ มาแล้วสินะ” 

 

 

เมื่อดงฮยอนมองเห็นเงาตะคุ่มๆ แถวประตู ก็ขยับขาที่ไขว่ห้างอยู่ลง ในตอนนั้นเองประตูห้องประชุมก็ค่อยๆ เปิดออก 

 

 

“ร้านเราให้บริการตัวเองนะครับ ครั้งหน้าช่วยไปยกมาเองด้วยนะครับ รุ่นพี่” 

 

 

ทันทีที่ได้ยินน้ำเสียงคุ้นเคยที่เต็มไปด้วยความหงุดหงิดนั่น สีหน้าของซองจูก็พลันเคร่งเครียดขึ้นมา 

 

 

“มุนเซจอง?” 

 

 

เขาขยับเปลี่ยนท่านั่งสบายๆ ของตัวเอง พร้อมกับมองตรงไปยังประตูที่ถูกเปิดออก 

 

 

เซจองยืนอยู่ตรงนั้น ในมือถือถาดที่เต็มไปด้วยของกิน 

 

 

“อะไรเนี่ย รุ่นพี่ก็มาด้วยเหรอ?” 

 

 

เซจองพูดแบบนั้นออกมา ก่อนจะเดินเข้ามาด้านในห้อง พร้อมกับปิดประตูลง 

 

 

“ทำไมถึงได้ไปขอร้องเถ้าแก่เอาเองแบบนั้น คิดจะมาขโมยเวลาทำงานกันรึไง…” 

 

 

เซจองบ่นพึมพำเสียงเบา พร้อมกับวางถาดลงตรงหน้าคนทั้งสอง 

 

 

“อเมริกาโน่เย็นนี่ของรุ่นพี่สินะ? ยังกินเหมือนเดิมเลย” 

 

 

“โธ่เอ๊ย พอเถอะ เดี๋ยวเราจัดการเองได้ นายมานั่งก่อนเถอะ นี่ไม่ได้เรียกให้มาทำอะไรแบบนี้สักหน่อย” 

 

 

“ช่างเถอะ ยังไงผมก็เป็นพนักงานที่นี่อยู่แล้ว” 

 

 

 แม้ดงฮยอนจะแสดงท่าทางห้ามปรามออกมา แต่เซจองก็ยังคงจัดการวางเครื่องดื่มลงตรงหน้าแต่ละคน พอเอาแก้วอเมริกาโน่มาวางให้เขาแล้วจึงได้นั่งลง 

 

 

“แล้วมีเหตุผลอะไรถึงได้มารวมตัวกันอยู่ที่นี่ได้ครับ” 

 

 

เจ้าตัวมองสลับไปมาระหว่างดงฮยอนและซองจู ซองจูที่ได้เห็นเซจองซึ่งมีท่าทีเช่นนั้น สีหน้าของเจ้าตัวก็ยังเรียบเฉยเช่นเดิม ไม่ได้ดูผิดแปลกไป 

 

 

“ไม่มีอะไรหรอก ก็แค่เห็นว่านานแล้วที่เราสามคนไม่ได้รวมตัวนั่งพูดคุยกันน่ะ” 

 

 

คำพูดของดงฮยอนทำเอาเซจองหน้ามุ่ยยิ่งกว่าเดิม 

 

 

“รุ่นพี่ ผมเป็นพนักงานที่นี่นะครับ ถ้าผมมัวแต่มานั่งคุยเล่นอยู่แบบนี้ พนักงานคนอื่นได้ลำบากตายเลย พี่ตั้งใจจะทำอะไรกันแน่?” 

 

 

“โธ่ กลัวแล้วจ้า อันนั้นฉันก็ต้องขอโทษด้วยแล้วกัน แต่ถ้าไม่ทำแบบนี้ นายก็จะไม่ยอมออกมาเจอซองจูนี่นา” 

 

 

เจ้าตัวยกมือสองข้างขึ้น พร้อมทั้งทำสีหน้าชวนให้ขำ คำพูดตัดฉับของดงฮยอนนั้นทำเอาเซจองไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก การเงียบก็เท่ากับเป็นการยอมรับ ทั้งหมดที่อยู่ที่นี่ต่างก็รู้แก่ใจดี 

 

 

“ถึงประธานคิมจะบอกว่าไม่เป็นไร แต่การจัดการกับเรื่องความสัมพันธ์แบบนั้น มันออกจะไร้มารยาทไปสักหน่อยไหม นายเองก็ไม่ใช่เด็กๆ แล้ว เซจองเด็กที่เรียบร้อยและฉลาดเฉลียวที่พี่รู้จักคนนั้น ทำไมถึงเป็นแบบนั้นไปได้ จะไม่ให้สงสัยเลยได้เหรอ” 

 

 

“พี่บ้าบออะไรกัน” ดงฮยอนยังคงยิ้มแย้มออกมา อีกทั้งยังทำเป็นเมินเฉยต่อเสียงพึมพำนั้นของซองจู เซจองที่เห็นเช่นนั้นก็ได้แต่ถอนหายใจออกมา 

 

 

“เฮ้อ…รุ่นพี่เนี่ยไม่เคยจะอ่อนข้อให้เลยนะ ถึงจะแกล้งทำเป็นไม่ใช่ แต่ที่จริงก็เข้าข้างพี่ซองจูตลอด” 

 

 

เซจองส่ายหน้าอย่างระอากับคำพูดนั้นของดงฮยอน ก่อนจะเอนตัวพิงกับเก้าอี้ 

 

 

“ไม่ใช่ว่าผมไม่ได้คิดที่จะเข้าไปบอกด้วยตัวเองหรอกนะ อันที่จริงแล้วผมไม่มีความมั่นใจเลย ตอนงานแต่งงานก็ด้วย ผมเองเอาแต่กังวลอยู่ตลอด เพราะก็ไม่รู้จะพูดอะไรกับรุ่นพี่ดี แล้วคุณจีฮุนเขาก็ไม่ชอบใจที่ผมไปเจอรุ่นพี่ เลยออกตัวว่าจะไปจัดการแทนเอง” 

 

 

“ถ้าอย่างนั้นก็น่าจะมาด้วยกันซะก็สิ้นเรื่อง นายก็รู้ดีนี่ว่าซองจูก็ไม่ได้รู้สึกดีกับสถานการณ์ตอนนั้น แล้วก็ยังมีเรื่องบาดหมางกับประธานคิมไปด้วย” 

 

 

“ก็เขาบอกคุยกันด้วยดีแล้ว ไม่ใช่อย่างนั้นเหรอครับ” 

 

 

ในตอนนั้นเซจองก็หันไปจ้องซองจู ใบหน้างดงามนั้นเกิดรอยยับย่นขึ้นมาเล็กน้อย 

 

 

“ก็นะ มันไม่ได้มีอะไรหรอก ถึงฉันกับหมอนั่นจะเถียงกันก็จริง แต่ก็ไม่ได้ถึงกับลงไม้ลงมือหรอก” 

 

 

เขายักไหล่อย่างไม่ยี่หระออกมา เซจองที่เห็นท่าทางที่บอกว่ามันไม่ได้มีเรื่องร้ายแรงอะไรแบบนั้นของซองจูแล้ว จึงได้คลายความกังวลลง 

 

 

“ก็ ถ้ารุ่นพี่ว่าอย่างนั้น ก็ต้องเป็นอย่างนั้น” 

 

 

ดงฮยอนมองไปทางเซจองที่พูดแบบนั้นออกมา แล้วจึงได้หยิบแซนด์วิชที่วางอยู่ตรงหน้าขึ้นมายัดใส่ปากชิ้นหนึ่ง ก่อนจะบ่นพึมพำออกมา 

 

 

“แซนด์วิชอีกแล้ว เดี๋ยวนี้ฉันได้กินแต่เศษขนมปัง หิวจะตายแล้วเนี่ย ไม่มีเมนูอาหารอย่างอื่นแล้วรึไง?” 

 

 

“ก็นั่นล่ะอาหาร เคยเห็นคาเฟ่เสิร์ฟอาหารเป็นชุดรึไงครับ? ถ้าอยากกินข้าวก็ไม่ต้องมาที่นี่” 

 

 

“ไม่ใช่ซะหน่อย แบบพวกอาหารของพนักงานน่ะ ไม่มีบ้างรึไง? มีชีวิตโดยไม่กินข้าวกันเหรอ?” 

 

 

สายตาของเซจองเปลี่ยนเป็นแข็งกร้าวขึ้น เมื่อได้เห็นท่าทางของดงฮยอนที่บ่นอะไรไม่รู้จักคิดแบบนั้นออกมา เจ้าตัวจึงได้ดึงถาดที่วางตรงหน้าดงฮยอน ขยับเลื่อนไปทางซองจูแทน 

 

 

“นี่ให้รุ่นพี่กินเถอะ ถ้าอยากกินข้าวนักก็เชิญออกไปหากินข้างนอก” 

 

 

“สมเป็นมุนเซจอง ไม่เคยจะยอมกันเลยนะ นี่ ช่วงนี้ฉันได้กินแต่พวกขนมปัง ไม่อยู่ท้องเอาซะเลย งั้นเดี๋ยวฉันขอออกไปหาข้าวกินหน่อยก็แล้วกัน เอ้อ อย่างน้อยก็ขอไปหาแกงกิมจิกินสักหน่อยก็ยังดี พวกนายก็กินไอ้นี่ แล้วก็คุยกันไปนะ” 

 

 

“เดี๋ยวสิ พี่!” 

 

 

คนที่เพิ่งบอกว่าจะออกไปหาอะไรกินนั่น เพิ่งจะเขมือบวิปปิ้งครีมที่กองพูนเท่าภูเขาไปเองนะ แล้วก็ยังออกไปด้วยท่าทางร่าเริงจนน่าหมั่นไส้ ทำตัวน่าสงสัยซะจริง สีหน้าของซองจูที่มองตามแผ่นหลังของดงฮยอนไปนั้น เต็มไปด้วยความไม่พอใจ 

 

 

“ไอ้บ้านั่นมีแผนอะไรกันแน่ แค่กาแฟแก้วนั้น แคลอรี่ก็ปาไปสามเท่าของอาหารปกติแล้วด้วยซ้ำ กินของหวานเข้าไปตั้งขนาดนั้นแล้วยังจะต้องกินข้าวอีกรึไง” 

 

 

“รุ่นพี่ดงฮยอนก็เป็นแบบนั้นตลอดแหละครับ เขารู้กันหมดแล้วยังจะมาหลอกคนกันเองอีก ช่างไม่เคยเรียนรู้อะไรซะบ้างเลย” 

 

 

ไม่ว่าจะเมื่อก่อนหรือตอนนี้ เซจองก็ยังคงเป็นเช่นเดิม ซองจูจึงได้หลุดขำให้ท่าทางนั้น 

 

 

“ก็นั่นน่ะสิ สบายดีนะ? ไม่ยักรู้ว่านายทำงานที่นี่ด้วย” 

 

 

“ปกติรุ่นพี่เคยเข้าร้านแบบนี้ที่ไหนกันล่ะ” 

 

 

“คำพูดคำจาไม่ห้วนไปหน่อยรึไง?” 

 

 

“เมื่อก่อนผมเคยทำแบบนี้เหรอไงครับ” 

 

 

ไม่รู้เลยว่าพอสนิทใจแล้ว ก็ทำให้คุ้นเคยกับท่าทางที่ดูอวดดีแบบนี้ได้ ซองจูพอจะรู้สึกสบายใจขึ้นมาบ้าง 

 

 

“นายคิดอะไรของนาย ถึงได้ให้หมอนั่นเอาของนั่นมาคืนให้ฉัน” 

 

 

ซองจูเอ่ยคำถามที่ค้างคาอยู่ในใจออกไป เซจองจ้องมาทางซองจูครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดบางอย่างออกมา 

 

 

“ก็แค่คิดว่าถ้ารุ่นพี่ได้รับของนั้นแล้ว ก็คงพอจะเข้าใจคำพูดที่ผมอยากจะบอกเองน่ะครับ” 

 

 

“ฉันดูน่าเชื่อถือขนาดนั้นเลยเหรอ” 

 

 

“แล้วจะบอกว่าไม่เข้าใจหรือไงครับ” 

 

 

“ก็ ฉันก็พอจะเข้าใจอยู่หรอก แต่ฉันเองก็ไม่แน่ใจว่ามันตรงกับที่นายคิดไว้หรือเปล่า” 

 

 

คำพูดนั้นทำให้เซจองหลุดขำออกมา 

 

 

“ถ้าเข้าใจดีอยู่แล้ว ก็อย่าแกล้งทำเป็นไม่รู้เรื่องเลยครับ มันดูเหมือนพวกคนเจ้าเล่ห์น่ะ” 

 

 

คำพูดนั้นทำเอาซองจูหลุดยิ้มกว้างออกมา 

 

 

“ก็นะ นายไม่ได้เกลียดฉัน แค่นั้นก็ดีแล้ว แต่ว่านะนายคิดจะไม่เจอฉันไปตลอดชีวิตเลยรึไง?” 

 

 

“ยังไงซะ คนที่เรารู้จักก็พัวพันกันวุ่นไปหมด มันก็ทำแบบนั้นไม่ได้ตั้งแต่แรกอยู่แล้ว แต่ผมก็ไม่ได้คิดจะตามหาจุดยืนแบบนั้นอยู่แล้วด้วย ดูตอนนี้สิครับ แบบนี้ดีจะตายไป ให้มันเป็นแบบนี้ไปก็ดีแล้วครับ คุณจีฮุนเองก็ไม่ได้สนใจอะไรมากแล้ว” 

 

 

“เออใช่ ถ้าเป็นเมื่อก่อน ก็จะเรียกว่าพี่ด้วยใช่ไหม” 

 

 

“อื้อ แบบนี้ก็โอเค” 

 

 

ก็ไม่ได้เรียกแบบนั้นบ่อยนักหรอก ท่าทางของเซจองที่เอ่ยออกมาแบบนั้น มันช่างแปลกตาเสียจริง เป็นท่าทางที่ไม่เคยเห็นเลยแม้แต่ตอนที่ยังคบกันอยู่ ซองจูคิดว่าเซจองนั้นเปลี่ยนไปมาก และถึงจะได้เห็นท่าทางเช่นนั้นของเซจอง แต่ตัวเขาก็ไม่ได้รู้สึกอะไรอีกแล้ว 

 

 

หากเป็นเมื่อไม่กี่เดือนก่อน แน่นอนว่าถ้าได้เห็นท่าทางเช่นนี้ของเซจอง เขาคงจะแสดงความเกรี้ยวกราดและพูดจาเหน็บแนมอีกคนด้วยอารมณ์โกรธ แต่ทว่าเขากลับไม่ได้มีความคิดเช่นนั้นเลยสักนิด และแม้ว่าจะเป็นตัวเขาคนก่อน การได้มาเจอกับอีกคนที่เป็นเจ้าของใบหน้างดงามแบบนี้ มันก็ไม่ได้ทำให้รู้สึกอะไรเลยสักนิด เมื่อเขาแน่ใจกับสิ่งนั้นแล้ว จึงทำให้รู้สึกสบายใจมากขึ้น 

 

 

เลิกกันจริงๆ สักทีนะ 

 

 

ซองจูถอนหายใจออกมาด้วยความสบายใจ กับความรู้สึกที่เพิ่งค้นพบนี้ 

 

 

“ถอนหายใจทำไมกันครับ?” 

 

 

“ก็แค่คิดว่าฉันกับนายจบกันจริงๆ แล้วน่ะ” 

 

 

“เรื่องที่ผ่านมาตั้งหลายปีขนาดนั้น ยังต้องเก็บมาคิดอีกเหรอครับ?” 

 

 

“เพิ่งจะไม่กี่เดือนต่างหาก” 

 

 

เซจองถึงกับเงียบไป เมื่อได้ยินคำพูดนั้น 

(Yaoi) พักใจกับนายรูมเมท

(Yaoi) พักใจกับนายรูมเมท

ตอนที่ 1 – 5.5 (ตอนพิเศษ) อ่านนิยาย (จบ) ฮันซองจูนักแสดงหนุ่มชื่อดังโดนคู่หมั้นสาวถอนหมั้นอย่างไร้เยื่อใย แต่แล้ววันหนึ่งเจ้าของต้นสังกัดก็ส่งคิมจองอู ชายหนุ่มแปลกหน้าให้มาพักกับเขา จากที่คิดว่าอีกคนคงจะทนไม่ได้แล้วจากไป แต่กลับกลายเป็นว่าเขาก้าวเข้ามามีอิทธิพลต่อหัวใจฮันซองจูมากกว่าที่คิด ทำไมแค่มีอีกคนอยู่ข้างๆ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็รู้สึกดีขึ้นมาได้ ใครคนหนึ่งได้เข้ามาเปลี่ยนแปลงให้เขามี ‘ชีวิต’ ขึ้นมา แล้วแขกไม่ได้รับเชิญที่ชื่อคิมจองอู ก็ไม่ใช่แค่คนแปลกหน้าอีกต่อไป แสดงเพิ่มเติม

Options

not work with dark mode
Reset