เรื่องที่เขาอยากจะถามยังเหลืออีกตั้งเป็นกอง แต่ดงฮยอนดันรีบชิ่งวางสายหนีไปอย่างรวดเร็ว เหมือนวิ่งหนีข้าศึกเสียอย่างนั้น ทำเอาเส้นเลือดบนหน้าผากของซองจูเต้นตุบๆ ขึ้นมาอีกครั้ง โทรศัพท์ที่เคยถืออยู่ในมือ ถูกเขวี้ยงลงไปที่เตียงอีกหน ซองจูสูดหายใจเข้าออกอย่างหนักอีกรอบอย่างคนพยายามอดกลั้น เสียงปึงปังของประตูห้องนอนดังขึ้น พร้อมกับซองจูที่เดินออกมาด้านนอก
ปัง!
ไม่มีการเคาะประตูแต่อย่างใด ทันทีที่ประตูห้องพักแขกที่อยู่ห่างจากห้องนอนของเขาคนละโยชน์ถูกเปิดออกอย่างถือวิสาสะ ซองจูก็เผลอสูดหายใจเข้าเฮือกหนึ่ง ภาพแผ่นหลังกว้างของผู้ชายคนหนึ่งที่ยืนนิ่งอยู่กลางห้องซึ่งกำลังทอดสายตามองไปยังหน้าต่างบานกระจก ปรากฏชัดขึ้นในกรอบสายตาของซองจู
ภายในห้องที่ปิดไฟมืดสนิท ร่างสูงใหญ่ที่ติดจะผอมไปสักหน่อย ช่างดูกลมกลืนเหลือเกินกับฉากหลังที่เป็นแสงดวงอาทิตย์ในยามตะวันตกดิน
หลังหน้าต่างบานกระจกขนาดใหญ่ตรงระเบียงกว้าง ปรากฏภาพท้องฟ้าสีแดงดุจสีเลือดของช่วงตะวันตกดินและแผ่นหลังกว้างของชายผู้มีเส้นผมสีดำสนิท ดูกลมกลืนกันเสียจนน่าพิศวง ใบหน้าที่ค่อยๆ หันกลับมาทางด้านหลังของผู้ชายคนนั้นมีประกายของความหมองหม่นพาดผ่าน ดวงตาสีเข้มคู่นั้นก็มีร่องรอยของความโศกเศร้าฝังลึกอยู่ภายใน
หม่นหมอง นั่นแหละคือผู้ชายคนนั้น
ซองจูเผลอกลืนน้ำลายอึกนึง พร้อมก้าวถอยหลังไปอย่างไม่รู้ตัว
“เออ นายน่ะ…มาคุยกันหน่อยสิ”
คำพูดที่ไม่สามารถปะติดปะต่อกันให้สมบูรณ์ได้ ถูกเอ่ยออกมาอย่างตะกุกตะกุก ผู้ชายคนนั้นเพียงพยักหน้าที่เรียบเฉยไร้ความรู้สึกตอบกลับมา
“ที่นี่คงไม่เหมาะ ไปที่ห้องนั่งเล่นเถอะ”
ทันทีที่พูดจบ ซองจูก็หมุนตัวกลับ เดินไปทางห้องนั่งเล่นด้วยสีหน้าคลางแคลงใจ
“ฟู่ว ค่อยยังชั่ว…”
สองขาก้าวเดินออกมาอย่างรวดเร็ว แล้วมาหยุดยืนอยู่ที่กลางห้องนั่งเล่น ทันใดนั้นซองจูก็สูดหายใจเข้าลึก ก่อนพรูลมหายใจเฮือกใหญ่ออกมาทางปาก
ภาพของผู้ชายคนนั้นที่เขาได้เห็นเมื่อครู่ติดตาเสียจนไม่สามารถสลัดออกไปได้ เขาได้แต่ยืนเหม่ออยู่กลางห้องที่แสงไฟสว่างเจิดจ้า ภาพแสงอาทิตย์ยามตะวันตกดิน แดงฉานดุจเปลวเพลิงซึ่งกำลังลุกโชน รวมเข้ากับแผ่นหลังกว้าง มันช่างยากที่จะบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้ ซองจูรู้สึกเพียงว่าเงาร่างที่ทอดยาวนั่นดูแข็งแกร่ง แต่ในขณะเดียวกันก็ดูอ่อนแอราวกับจะพังครืนลงเสียตรงนั้น แล้วยังความรู้สึกสั่นไหวที่เกิดขึ้นภายในใจเขาอย่างไร้เหตุผลนั่นอีก
เป็นคนที่แปลกเสียจริง สวมเสื้อผ้าสีดำไปทั้งตัว แล้วยังเส้นผมหยักศกที่ยาวปิดบังใบหน้าไปกว่า ครึ่งนั่นอีก ชายหนุ่มที่มีบรรยากาศแปลกประหลาดกระจายอยู่รอบตัวนั่นยิ่งทำให้เขาดูแตกต่าง ดวงตาสีน้ำตาลเข้มเป็นประกายคู่นั้น ผิวที่ซีดขาวท่ามกลางสีดำมืดทั่วทั้งตัว เมื่อประกอบกันแล้วกลับลงตัวอย่างมาก ยามที่ได้สบมองกับดวงตาเปล่งประกายคู่นั้น เขารู้สึกราวกับถูกสาป ทั่วทั้งร่างชะงักค้างไม่เว้นแม้กระทั่งหัวใจของเขา
เป็นครั้งแรกที่เขาเกิดความรู้สึกแบบนี้ เขาไม่เคยรู้สึกว่าทำตัวไม่ถูกเช่นนี้มาก่อนเลย แม้กระทั่งในเวลาที่ต้องสวมบทบาทแสดงเป็นคนอื่นก็ตาม
“บ้าเอ๊ย…”
ช่วงเวลาเดียวกันกับที่เขาสบถออกมาอย่างหงุดหงิด เขาก็รับรู้ได้ถึงใครอีกคนที่กำลังเดินเข้ามาทางด้านหลัง ซองจูหันขวับกลับไปทันทีด้วยสีหน้าเงอะงะ ช่างไม่สมกับเป็นเขาเอาเสียเลย
วินาทีที่ดวงตาของทั้งคู่สบกัน ผู้ชายคนนั้นที่กำลังค่อยๆ เดินเขามาภายในห้องนั่งเล่นก็มองมาที่ซองจูก่อนจะหยุดฝีเท้าลง
บนทางเดินที่แสงไฟส่องสว่าง พวกเขาทั้งคู่ต่างประสานสายตากัน
ในแววตาที่ไม่อาจหลอกลวงได้นั้น มีภาพใบหน้าอ่อนเยาว์ของเขาสะท้อนอยู่ มันเป็นความรู้สึกที่ไม่คุ้นเคยเอาเสียเลย ซองจูรู้สึกเหมือนตัวตนของเขาถูกกลืนกินด้วยกลิ่นอายที่กระจายออกมาจากผู้ชายตรงหน้า เขาเบือนหน้าหลบสายตาไปก่อน และเลือกนั่งลงบนโซฟาอย่างช้าๆ
“นั่งลงก่อนสิ”
พยักพเยิดปลายคางชี้ไปยังโซฟาฝั่งตรงข้าม ชายคนนั้นพยักหน้ารับ แล้วนั่งลงไปที่ตรงนั้นอย่างช้าๆ ซองจูหลบเลี่ยงไม่มองสบตาอีกฝ่ายที่นั่งตรงข้าม โดยเลือกที่จะก้มหน้าแล้วมองฝ่ามือของตัวเองแทน
“นายน่ะทำงานอะไร”
ทว่าอีกฝ่ายกลับไม่ยอมตอบคำถามของซองจูในทันที
เขาหงุดหงิดกับการที่ต้องคอยคาดเดาคำพูดของอีกฝ่ายเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว พอถูกเมินเฉยต่อคำถามที่ถามออกไป ก็ยิ่งทำให้รู้สึกเจ็บแค้นขึ้นมาอีก ซองจูเชิดใบหน้าที่เต็มไปด้วยความขุ่นเคืองขึ้น ก่อนจะกวาดสายตามองอีกฝ่ายที่กำลังจ้องมองพื้นห้องอยู่
“เหอะ นั่นคือคำตอบสำหรับคำถามงั้นเหรอ ดีจริง งั้นขอเปลี่ยนคำถามใหม่แล้วกัน นายกับพี่ดงฮยอนเกี่ยวข้องกันยังไง”
ทันทีที่เปลี่ยนคำถาม แพขนตาของอีกฝ่ายดูจะขยับไหวแสดงการตอบสนองกลับมาให้เห็น ซองจูเอนตัวพิงพนักโซฟา พร้อมกับยกแขนขึ้นกอดอก เปล่าประโยชน์ที่จะแสดงท่าทางอ่อนแอให้อีกฝ่ายเห็น เขาจึงเลือกแสดงท่าทางอวดดีออกมาเช่นเคย แสดงอาการให้อีกฝ่ายลองพูดอะไรออกมาสักหน่อย ทันทีที่เขาเชิดหน้าเชิดคางขึ้น อีกฝ่ายก็ค่อยๆ เริ่มเปิดปากตอบ
“ก็แค่พี่ที่รู้จักกัน”
“พี่ที่รู้จัก? คนแบบนั้นไม่ใช่พวกที่จะมาแสดงความใจดีพร่ำเพรื่อด้วยเหตุผลแค่นั้นหรอกนะ”
ซองจูท้วงออกมา เมื่อรู้สึกว่าคำตอบที่แท้จริงมันไม่ใช่แค่นั้น
ชินดงฮยอนที่เขารู้จักเป็นพวกเลือดเย็นไม่น้อยไปกว่าใครเลย ถ้าไม่ใช่เรื่องที่เห็นควรก็จะแสดงท่าทีเมินเฉยไม่คิดจะใส่ใจแม้แต่น้อย เพราะฉะนั้นแม้จะไม่มีประสบการณ์ในธุรกิจด้านบันเทิงที่มีแต่พวกชอบพูดเสแสร้งและต้องคอยสวมหน้ากากตีสองหน้าอยู่ตลอดเวลา แต่เจ้าตัวก็ยังสามารถเอาชนะอุปสรรคนำพาบริษัทก้าวมาอยู่ในแถวหน้าได้อย่างง่ายดาย ใบหน้าหมดจดของซองจูเริ่มขุ่นมัวขึ้น พร้อมกับเริ่มซักไซ้อีกครั้ง
“แค่พี่ที่รู้จักเท่านั้นเหรอ แล้วไปรู้จักกันได้ยังไง”
อีกฝ่ายตอบกลับความพากเพียรในการเค้นความจริงของเขาด้วยใบหน้าที่ไร้อารมณ์
“เป็นลูกพี่ลูกน้องของเพื่อน”
“หา?”
ไม่ใช่ความสัมพันธ์แบบที่รู้จักสนิทสนมกันดี แต่เป็นแค่ลูกพี่ลูกน้องของเพื่อนพี่เขาเนี่ยนะ? ซองจูได้แต่อ้าปากค้างอยู่อย่างนั้น ด้วยไม่รู้ว่าจะตอบรับอย่างไรกับคำตอบที่ได้รับ
“เหอะ! จริงๆ เลยไอ้…งั้นที่บอกว่า ให้คิดเสียว่าเป็นเพื่อนร่วมสังกัดเดียวกันล่ะ หมายความว่ายังไง? เขาเป็นคนพูดแบบนั้นกับฉันเองนะ”
“ถ้าเป็นเรื่องเซ็นสัญญากับเอสจี เอ็นเตอร์เทนเม้นนั่นก็ถูกต้องแล้ว”
“ไอ้นี่ นายพูดห้วนๆ ตั้งแต่เมื่อกี้แล้วนะ”
ซองจูทำหน้าบูดบึ้งพร้อมกับเริ่มหลุดนิสัยแท้จริงออกมา อีกฝ่ายเองก็เริ่มที่จะตอบโต้กลับมาอย่างมั่นอกมั่นใจมากกว่าเดิม
“นายเองก็พูดห้วนๆ เหมือนกัน”
“นี่พูดหรือเห่ากันแน่…”
อีกฝ่ายมองซองจูซึ่งกำลังสบถคำพูดไม่สมควรออกมา แล้วเริ่มตอบโต้กลับ
“ดูเหมือนนายจะไม่รู้เรื่องที่ฉันเข้ามาที่นี่สินะ”
“เออ ไม่รู้ ถ้าฉันรู้นายไม่มีทางได้เข้ามาแน่นอน”
อีกฝ่ายไม่ได้แสดงท่าทีอะไรเป็นพิเศษต่อพฤติกรรมน่าหมั่นไส้ซึ่งซองจูกำลังเผยออกมาอยู่เรื่อยๆ เขาเพียงแค่นั่งโน้มตัวมาด้านหน้าของโซฟา และจ้องมองมาที่ซองจูนิ่งๆ ก็เท่านั้น เห็นท่าทางแบบนั้นแล้ว มันทำให้ซองจูไม่สบอารมณ์เลยสักนิด เจ้าตัวส่งสายตาคมกริบกลับไปพร้อมกับยกขาขึ้นไขว่ห้าง
“ฉันไม่ได้มีเจตนาจะทำให้ตกใจ ยังไงก็ขอโทษด้วย ยังไงซะฉันก็ได้รับอนุญาตจากเจ้าของห้องให้เข้ามาที่นี่ได้ เพราะฉะนั้นเรื่องจะให้ออกไป เห็นทีคงจะเป็นไปไม่ได้ นายสบายใจได้ เพราะฉันไม่ได้คิดที่จะมาสร้างเรื่องเดือดร้อนอะไรให้อย่างแน่นอน”
เขาอุตส่าห์แสดงท่าทีน่ารังเกียจ พยายามกวนโมโหอีกฝ่ายถึงขนาดนี้ แทนที่จะขอออกไปอยู่ที่อื่นแต่กลับมาแสดงจุดยืนว่าให้ตายอย่างไรก็ไม่ออกไปจากห้องนี้เสียอย่างนั้น
ซองจูรู้สึกหงุดหงิดอย่างที่สุดกับสถานการณ์ตรงหน้าที่ไม่เป็นไปตามใจคิด แค่อีกคนไม่ได้พูดว่าจะหาที่อยู่ใหม่ แถมยังบอกให้มาอยู่ร่วมกันอย่างสันติ แค่นี้มันก็ทำให้เขารู้สึกว่าตัวเองเป็นฝ่ายแพ้เสียแล้ว
‘กล้ำกลืนอย่างที่สุด’
ซองจูจิ๊ปากอย่างหงุดหงิด แล้วเอนตัวพิงพนักโซฟายิ่งกว่าเดิม
“นายชื่ออะไร”
เชิดคางขึ้นถามอีกครั้ง อีกฝ่ายชำเลืองมามองเขาก่อนจะเอ่ยตอบ
“จำเป็นต้องรู้เรื่องนั้นด้วยเหรอ”
“งั้นจะให้เรียกนายนิรนามรึไง”
ทั้งที่ถูกซองจูรวนกลับ แต่อีกฝ่ายทำเพียงพยักหน้ารับเท่านั้น
“คิมจองอู”
“อายุล่ะ”
“สามสิบสอง”
“อะไรกัน เด็กกว่าฉันเหรอเนี่ย แล้วยังมีหน้ามาพูดห้วนๆ ตั้งแต่เมื่อกี้แล้วนะ”
“นายเองก็เหมือนกันนั่นแหละ แค่อายุมากกว่าแล้วจะพูดจาไม่สุภาพก็ได้งั้นเหรอ”
คำถามที่สวนมาทำให้ซองจูได้แต่หุบปากพล่อยๆ ของตัวเอง ไม่ว่าจะคิดทบทวนอย่างไร ไอ้หมอนี่มันไม่ใช่ธรรมดาๆ แน่นอน
ใบหน้าที่ดูดีเกินมนุษย์มนาทั่วไปนั่นจ้องเขม็งมายังซองจูซึ่งกำลังขมวดคิ้ว ก่อนเริ่มเปิดปากถามคำถามออกมาอีกครั้ง
“นายอายุเท่าไหร่”
ซองจูไม่มีใจอยากจะตอบคำถามนั้นสักเท่าไรนัก เพราะเขาไม่ชอบ มันรู้สึกเหมือนต้องตอบคำถามตามคำสั่ง ถึงเขาบอกอายุไป อย่างไรเสียอีกฝ่ายก็คงไม่เปลี่ยนท่าทีที่มีต่อเขาอย่างแน่นอน
“ถ้ารู้แล้วจะทำอะไร”
“ก็ตอบมาก่อนสิ”
“ไอ้เวรนี่ ให้ตายเหอะ!”
ซองจูเชิดหน้าขึ้นทันที ตอนนี้เขาหงุดหงิดและไม่สบอารมณ์เป็นอย่างมาก เพียงเพราะผู้ชายคนนี้ไม่ยอมเคลื่อนไหวตามความคิดของเขา
“ถึงยังไงฉันก็อายุมากกว่านาย”
“…”
“คงไม่เกินสี่สิบหรอก”
“นั่นก็ใช่ ทำไม”
“ทำตัวอย่างกับเด็ก ไม่ได้สุขุมสมวัยเลยสักนิด”
“อะไรนะ? ไอ้เด็กเวรนี่ จริงๆ เลย แม่งเอ๊ย!”
ซองจูแผดเสียงออกมาทันที เมื่อถูกจองอูพูดยั่วโมโหเข้าให้อย่างจัง เขากำมือตัวเองแน่นจนมันสั่นเทาอย่างคนพยายามอดกลั้น จองอูเพียงมองท่าทางเช่นนั้นของซองจูนิ่งเฉย คงไม่เหมาะที่เขาจะสนทนาต่อกับซองจูที่ยังคงไม่สามารถดับอารมณ์ที่กำลังเดือดพล่านได้
“คิมจองอู อายุสามสิบสอง อาชีพก็…เกี่ยวกับดนตรี ไม่จำเป็นต้องใส่ใจหรือสนใจอะไร ฉะนั้นก็เลิกหัวร้อนได้แล้ว โอเคไหม ไม่รู้เหมือนกันว่าจะต้องอยู่รบกวนไปจนถึงเมื่อไหร่ ตอนนี้คงไม่เหมาะที่จะคุยกันต่อ เอาเป็นว่าพวกเราค่อยๆ ปรับตัวกันไปทีละนิดแล้วกันนะ”
หลังจากที่จองอูทิ้งท้ายคำพูดเอาไว้แบบนั้น พร้อมกับทำท่าทางราวกับว่าตัวเองเป็นเจ้าของห้องชุดนี้ได้อย่างหน้าด้านๆ เรียบร้อยแล้ว ก็ค่อยๆ เดินกลับไปทางห้องของตัวเอง ซองจูยืนมองภาพแผ่นหลังที่ขยับไหวตามการก้าวเดิน จนกระทั่งเสียงปิดประตูดังขึ้น เขาก็ยกมือขึ้นทึ้งหัวตัวเองในทันที
“บ้าอะไรเนี่ย ไอ้เวรนั่น เป็นพวกเต้นกินรำกินด้วยงั้นเหรอ”
นึกถึงใบหน้าของอีกคน พร้อมกับพึมพำราวกับว่าตัวเองไม่ได้เป็นพวกเต้นกินรำกินเช่นอีกคน
* * *