เมื่อหลายปีก่อนมีคำเชิญให้ลองมาแคสติ้งจากผู้กำกับสูงวัยคนหนึ่ง ที่ติดต่อส่งบทมาให้เขาอยู่เรื่อยๆ ผู้กำกับที่โด่งดังจากภาพยนตร์แนวอาร์ต ซึ่งเป็นเรื่องราวชีวิตที่ถูกนำมาเล่าอย่างง่ายๆ โดยการถ่ายทอดผ่านมุมมองและความรู้สึกซึ่งผสมผสานออกมาอย่างลงตัว ด้วยความสามารถที่ยอดเยี่ยมทำให้ผู้กำกับคนนั้นได้รับการยอมรับเป็นอย่างมากในเวทีระดับโลก นับเป็นการตัดสินใจที่เหมาะกับการหวนคืนของซองจู หลังจากหยุดพักไปเกือบหนึ่งปี เมื่อซองจูได้ลองอ่านบทดูแล้ว เจ้าตัวก็ตอบโอเคกลับไปในทันที และไม่มีข้อสัญญาใดๆ ที่ต้องปรับเปลี่ยนอีก ตอนนี้จึงได้ประทับตราลงในสัญญาเป็นที่เรียบร้อย ดงฮยอนที่มองดูซองจูที่มีสีหน้าสบายใจเช่นนั้น จึงได้เอ่ยปากพูดออกมา
“นี่ จะกลับไปที่บริษัทเลยงั้นเหรอ”
“แล้วมีอะไรต้องทำอีกเหรอ”
“เปล่า ไม่ใช่แบบนั้นหรอก”
ซองจูที่ได้ฟังคำตอบของดงฮยอนก็เกิดสงสัยอะไรขึ้นมา ก่อนจะสะบัดหัวไปมา
“งั้นก็ขอกลับบ้านไปพักก็แล้วกัน ไม่ได้ใช้ความพยายามแบบนี้นานแล้วเลยเพลียๆ น่ะ”
“งั้นเหรอ งั้นฉันกลับกับยองอุกก็แล้วกัน”
“อือ มีอะไรก็โทรมานะ”
“อื้ม”
เมื่อซองจูพูดจบ ดงฮยอนก็เรียกหายองอุกในทันที ก่อนจะพยักหน้าให้อย่างรู้กัน เขามองตามหลังยองอุกที่เดินตามหลังดงฮยอนออกไปอย่างรีบเร่ง ขณะนั้นมินซิกก็พูดออกมาด้วยน้ำเสียงงอนๆ
“ทำไม คุณยองอุกแกล้งแต่ผมคนเดียวล่ะครับ”
“พูดอะไรอีกล่ะนั่น”
“ก็อย่างนั้นนั่นแหละครับ เอาแต่ทำให้ผมอยู่ไม่เป็นสุขสักวันเลย ถ้าผมอยากกินอะไร ก็จะแย่งเอาไป แล้วก็เอาอย่างอื่นมาแทน แล้วก็ยังคอยว่าว่าผมแต่งตัวเชยทุกวันเลยด้วย”
“ก็นายมันเป็นพวกที่น่ารังแกอยู่แล้วนี่ ทนๆ ไปเถอะ พี่ยองอุกน่ะ เป็นปีศาจสำหรับทุกคนนั่นแหละ”
“พี่อยู่ข้างใครกันครับ?”
“ข้างตัวเองสิ”
“พี่…”
มินซิกถูกปล่อยให้สะอึกสะอื้นอยู่เช่นนั้น เพราะไม่มีใครเข้าข้างตัวเองเลยสักคนเดียว ซองจูเห็นแบบนั้นก็ได้แต่หลุดขำออกมา ตั้งแต่ที่ถูกเปลี่ยนผู้จัดการตอนนั้น เขารู้ดีว่ายองอุกตั้งใจเอามินซิกมาปล่อยทิ้งไว้ข้างตัวเขา แต่ว่าก็ไม่คิดว่าอีกคนจะมีมุมน่ารักแบบนี้ด้วย ซองจูแลบลิ้นใส่อีกคน ก่อนจะปล่อยมินซิกไว้แล้วก้าวไปข้างหน้าอย่างไม่รีบร้อน
“อ้าว? พี่ครับ! พี่จะไปไหนน่ะครับ! รอผมด้วย!”
เสียงมินซิกตะโกนไล่หลังมา พร้อมกับเสียงฝีเท้าที่วิ่งไล่ตามมา ทำให้ซองจูค่อยๆ ผ่อนฝีเท้าให้ช้าลง พร้อมกับหันมองไปรอบๆ
“คอแห้งจัง ไม่มีคาเฟ่เลยรึไง”
“พี่อยากดื่มอะไรครับ”
“แค่กาแฟสักแก้วก็พอ…เอ๊ะ ตรงนั้นมีคาเฟ่นี่ ไปหาอะไรดื่มที่นั่นกัน”
ซองจูที่มองไปรอบๆ อยู่พักหนึ่ง สายตาก็พลันเหลือบไปเห็นคาเฟ่เล็กๆ แห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่ตรงมุมถนนนั่นเข้าให้ เจ้าตัวผลักประตูเข้าไปในคาเฟ่ที่ดูเก่าอยู่หน่อยๆ ร้านยังเปิดอยู่หรือปิดแล้วเขาก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่เพราะเห็นว่าไฟยังเปิดอยู่จึงได้เดินเข้ามา คงจะพอทำกาแฟสักแก้วให้ได้อยู่ล่ะมั้ง เจ้าตัวคิดเช่นนั้น แล้วจึงได้ก้าวเท้าไปทางคาเฟ่แห่งนั้น ในตอนนั้นเองมินซิกก็เอ่ยห้ามเอาไว้
“เดี๋ยวผมไปซื้อให้เอง พี่ไปรอที่รถเถอะครับ”
“ไม่เอา ฉันไม่ชอบกินบนรถแบบนั้น ก็เข้าไปกินที่นั้นด้วยกันนั่นแหละ”
“ครับ? เอ่อ แบบนั้นจะดีเหรอครับ? พี่ครับ! เดี๋ยวก่อน รอด้วยครับ!”
มินซิกที่ถูกทิ้งไว้เช่นนั้น รีบเร่งวิ่งตามหลังซองจูที่ก้าวฉับๆ ไปข้างหน้า
ที่ด้านบนของประตูร้านมีป้ายชื่อร้านที่ทำจากไม้แขวนเอาไว้อยู่ บนป้ายนั้นเขียนเอาไว้ว่า ‘day, after, tomorrow’
กริ๊ง-
เมื่อเปิดประตูออก เสียงกริ่งอัตโนมัติก็ดังขึ้นภายในร้าน ซองจูถึงกับขมวดคิ้วให้กับเสียงกริ่งที่ดูไม่ได้มีความเข้ากันกับบรรยากาศร้านคาเฟ่เลยสักนิด เจ้าของร้านที่กำลังวุ่นวายอยู่ที่หลังเคาน์เตอร์ เมื่อได้ยินเสียงกริ่งก็รีบเงยหน้าขึ้นมาในทันที
“เอ่อ เชิญเลยครับ! เอ่อ ตอนนี้ร้านเราปิดแล้วนะครับ ทำไม…”
ซองจูที่ได้ยินคำพูดนั้น จึงได้หันชำเลืองมองไปทางประตูร้าน ที่ตรงนั้นมีป้ายที่เอาไว้แจ้งให้รู้ว่าร้านเปิดหรือปิดแขวนอยู่
“ป้ายที่ประตูบอกว่าเปิดอยู่นะครับ”
“เอ่อ งะ งั้นเหรอครับ อ่า ความผิดผมเอง…คือ ยังไงซะ ในเมื่อเข้ามาแล้ว จะทานอะไรก็สั่งได้เลยนะครับ”
“ไม่ต้องก็ได้ครับ ไม่เป็นไร ต้องขอโทษด้วยนะครับ”
“มะ ไม่ได้สิครับ! เมื่อกี้ผมออกไปส่งของเลยไม่ได้เปลี่ยนป้าย เอ่อ ไม่สิ ไม่ใช่อย่างนั้น ก็แบบ คืออย่างงั้น…รับอะไรดีครับ?”
ซองจูถึงกับทำตัวไม่ถูกตามเจ้าของร้านที่เอาแต่พูดจาวกไปวนมาแบบนั้น เขาคิดว่าแค่รีบๆ ดื่มกาแฟแล้วก็ไปเสียดีกว่า จึงได้หันกลับไปหามินซิกที่ยืนประหม่าอยู่ข้างหลัง
“มินซิก อยากกินอะไร”
“เอ่อ ผมขออะไรก็ได้ที่หวานๆ ครับ”
“ของชอบนายนี่มัน…เพราะอย่างงั้นไงนายถึงได้มีพุงน่ะ ผมขอไอซ์อเมริกาโน่กับคาเฟ่ลาเต้ ใส่ไซรัปสามปั้มครับ”
“ครับ รอสักครู่นะครับ แป๊บเดียวครับ ผมขอเปลี่ยนป้ายก่อน…”
เจ้าของร้านที่เร่งฝีเท้าอย่างลุกลี้ลุกลนไปทางประตูร้าน หมุนพลิกกลับป้ายด้านที่เขียนว่า open เป็นอีกด้านหนึ่งแทน จากนั้นจึงวิ่งกลับไปทางด้านในเคาน์เตอร์ มินซิกมองดูเจ้าของร้านที่มีท่าทางเช่นนั้นด้วยความรู้สึกไม่สบายใจ ก่อนตัดสินใจรีบพาซองจูไปนั่งที่โต๊ะ
“พี่ครับ นั่งก่อนนะครับ”
“อ่อ โอเค”
พวกเขานั่งลงที่โต๊ะแถวเคาน์เตอร์ ก่อนจะถอนหายใจออกมา
ร้านดูเล็กกว่าที่มองเห็นจากข้างนอกเสียอีก พอมองไปที่ด้านในเคาน์เตอร์แล้ว ข้างในนั้นดูจะใหญ่กว่าส่วนหน้าร้านมากๆ กลิ่นหอมของเมล็ดกาแฟที่ลอยคลุ้งออกมาจากภายในนั้น ส่งกลิ่นหอมออกมากระตุ้นประสาทสัมผัสอยู่เรื่อยๆ ในขณะที่ซองจูกำลังชำเลืองมองเจ้าของร้านที่กำลังเลือกเมล็ดกาแฟอย่างแข็งขันอยู่นั้น ก็เอ่ยปากถามกับมินซิกไปด้วย
“มินซิก วันนี้งานเสร็จหมดแล้วใช่ไหม”
“ครับ จะออกไปที่ไหนเหรอครับ?”
“เปล่า อยากจะพักหน่อยน่ะ พี่เขาก็บอกให้พักสักสองสามวัน”
“นั่นสิครับ พี่เพิ่งจะฟื้นฟูร่างกายกลับมาได้ไม่เท่าไหร่ หักโหมมากไปจะกลายเป็นเรื่องใหญ่เอาได้นะครับ จนกว่าบทฉบับสมบูรณ์จะเสร็จ ผมจะไม่รับงานอื่นเพิ่มแล้วกันนะครับ”
ซองจูหันไปยกยิ้มพรายให้กับมินซิก ที่นานๆ ทีจะมีท่าทีสมกับเป็นผู้จัดการออกมากับเขาบ้าง แล้วเจ้าตัวจึงพยักหน้ารับให้อีกฝ่าย เทียบกับเมื่อก่อน ท่าทางนั้นก็ถือว่าเพียงพอแล้ว
“คือ เพื่อเป็นการขอโทษ ผมเลยอัพไซส์ให้นะครับ แล้วนี่ก็เป็นเซอร์วิสของทางร้าน ฉะนั้นไม่ต้องเกรงใจ ทานได้ตามสบายเลยนะครับ”
ระหว่างนั้นเจ้าของร้านก็ถือถาดที่มีกาแฟกับคุ้กกี้เข้ามาให้ ซองจูส่งยิ้มกว้างให้กับเจ้าของร้านตัวสูง พร้อมกับยื่นมือไปรับถาดมาไว้ก่อน
“ขอบคุณมากเลยครับ ที่จริงไม่ต้องให้อะไรแบบนี้ก็ได้นะครับ”
“ไม่ได้หรอกครับ ผมเป็นพวกหัวช้า…ที่จริงมีน้องชายอีกคนที่มาคอยช่วยดูแลร้านให้ แต่ว่าตอนนี้เขาออกไปซื้อของน่ะครับ เอ่อ คือว่า ยังไงก็ทานให้อร่อยนะครับ…”
เพราะเจ้าของร้านที่พูดวกไปวนมา แล้วก็เอาแต่ก้มคำนับให้อยู่อย่างนั้น ซองจูที่พาลสับสนตามจึงได้เผลอตัวก้มคำนับตอบกลับไปด้วย ด้วยเหตุนั้น หลังจากที่เจ้าของร้านกลับเข้าไปหลังเคาน์เตอร์แล้ว ตัวเขาก็เลยมีสีหน้าราวกับคนสติหลุดอยู่เช่นนี้
“พี่นี่เปลี่ยนไปมากเลยนะครับ”
มินซิกรับกาแฟมาจากซองจู ก่อนจะพูดพึมพำออกมาเสียงเบา ซองจูที่ได้ยินคำพูดนั้น หันไปถามมินซิกด้วยสีหน้าไม่พอใจ
“อะไรอีกล่ะ”
“หลังจากที่หายป่วย พี่ก็ดูเปลี่ยนไปมากเลยครับ ถ้าเป็นเมื่อก่อน คงจะโมโหออกมาแล้ว แต่นี่กลับไม่โมโหเลยสักนิด”
“ฉันทำตัวแบบนั้นทุกที่เลยรึไง นิสัยที่ทำให้คนอื่นเหนื่อยใจแบบนั้นน่ะ ทำไม ฉันเปลี่ยนไป แล้วมันไม่ดีรึไง”
“เปล่าครับ ไม่ใช่อย่างงั้น…มันแค่แปลกๆ น่ะครับ”
มินซิกพูดเช่นนั้น ก่อนจะจิบกาแฟเข้าไปอึกหนึ่ง
การเผชิญหน้ากับฮันซองจูที่อารมณ์เย็นกว่าเก่ามันสบายใจกว่าก็จริง แต่เขาก็ยังรู้สึกว่ามีบางอย่างน่าเป็นห่วงอยู่ มินซิกรับรู้ได้ว่าความจริงแล้ว อีกคนเก็บกดความรู้สึกบางอย่างเอาไว้ ไม่ยอมแสดงออกมา หากว่าซองจูยังใช้ชีวิตแบบนี้ไปเรื่อยๆ เขากังวลว่ามันอาจจะเกิดผลที่ร้ายแรงกว่าเดิมก็ได้
“ไอ้เจ้านี่ เป็นแบบนี้ไปเรื่อยๆ เดี๋ยวนายก็ชินไปเองแหละน่า จะให้คนเราเหมือนเดิมทุกวันได้ยังไง”
ซองจูพูดเช่นนั้นออกมา ก่อนจะยกอเมริกาโน่ที่มีน้ำแข็งเต็มแก้วนั่นขึ้นมาดื่มอึกหนึ่ง แล้วดวงตาทั้งคู่ก็เบิกโพลงขึ้น กาแฟนี่อร่อยกว่าที่คิดอีก
“ดีกว่าที่คิดแฮะ”
“ใช่เลยครับ! อร่อยมาก”
แม้แต่มินซิกก็ยังเป็นไปด้วย อีกคนพยักหน้าหงึกหงักอย่างเห็นด้วยกับคำพูดของซองจู ทั้งคู่ค่อยๆ ดื่มด่ำกับรสชาติของกาแฟ พร้อมกับพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน
“ว่าแต่ พี่ครับ รับงานแบบนี้จะไม่เป็นไรเหรอครับ”
“งั้นจะให้พักไปเรื่อยๆ รึไง พักนานไปมันก็ไม่ดีหรอกนะ”
“ถึงงั้นก็เถอะครับ พี่ยังไม่ได้หายดีเต็มร้อยนี่…”
“เดี๋ยวนี้อะไรๆ มันก็รวดเร็วไปหมด ถ้าไม่ปรากฏตัวให้เห็นเลย นานเข้าคงได้ถูกลืมแน่ สำหรับนักแสดงน่ะ การถูกลืมก็ไม่ต่างอะไรกับตายเลยสักนิด ยังไงซะ เสร็จจากนี้แล้วค่อยพักก็ยังได้นี่ จัดการตารางงานให้พอดีๆ ก็ไม่น่ามีปัญหาแล้ว คิดในแง่ดีสิ โอกาสแบบนี้ไม่ได้หาง่ายๆ นะ”
คำพูดของซองจูนั้นถูกต้องแล้ว
ทุกทีเอาแต่ทำตัวเหมือนหมาบ้า จึงไม่คิดว่าซองจูจะพูดอะไรมีสาระแบบนี้ออกมาได้ด้วย เล่นเอามินซิกถึงกับน้ำตาคลอเบ้า หากเขาเผลอบอกความคิดนี้ออกไป มีหวังได้โดนโกรธแน่ๆ แต่ถึงอย่างนั้นมินซิกด็รู้สึกดีมากๆ ที่ได้ทำงานกับซองจู ช่วงหนึ่งที่เขาถูกย้ายไป ไม่ได้ดูแลซองจูนั้น ตอนนั้นเขารู้สึกเหมือนจะตาย การใช้ชีวิตหรือกระทั่งงานก็ดูหนักหนา แต่ว่าเมื่อไม่ใช่คนที่ใช่แล้ว เขาก็ไม่สามารถอดทนได้เลย ถ้าซองจูหรือดงฮยอนส่งเขาไปทำงานที่อื่นอีก เขาคิดว่าจะแกล้งป่วย ไม่ก็ชิงลาออกไปเสียเลย เจ้าตัวคิดกับตัวเองอย่างมุ่งมั่น พร้อมกับยกแก้วกาแฟขึ้นดื่มอึกหนึ่ง และในตอนนั้นเอง ประตูคาเฟ่ก็ถูกเปิดออก พร้อมกับเสียงกริ่งที่ดังระงมไปทั่วร้าน
กริ๊ง-
ไม่ว่าจะคิดอย่างไร เสียงนี้มันก็ไม่ได้เข้ากันกับบรรยากาศคาเฟ่เลยสักนิด เสียงนั้นทำให้ทั้งหมดในร้านพร้อมใจกันเงยหน้าขึ้นมามองไปทางประตูร้าน
“อ้าว จองอูมาแล้วเหรอ อ่า ไม่หนักเหรอนั่น โทษทีนะ ที่ใช้ให้ไปแทนแบบนั้น…”
เจ้าของร้านพูดออกมาแบบน้ำไหลไฟดับ ขณะที่เดินไปทางประตูหน้าร้าน เมื่อมองข้ามไหล่ของอีกคนไปก็เห็นผู้ชายตัวสูงที่ติดจะผอมไปสักหน่อย ในมือทั้งสองข้างถือถุงพลาสติก และกำลังยืนหันหลังให้กับแสงอาทิตย์ที่สาดส่องมา
วินาทีที่ได้เห็นภาพเงานั้น ทั้งซองจูและมินซิกต่างก็ตาเบิกโพลงขึ้นมาแทบจะพร้อมกัน โดยไม่อาจรู้ได้เลยว่าใครทำแบบนั้นขึ้นมาเป็นคนแรก
จองอูยืนอยู่ตรงนั้น
“จองอู ได้ของครบตามที่จดในกระดาษใช่ไหม ไม่ได้แพงไปใช่ไหม ทุกทีฉันต้องคอยตามไปด้วยตลอด แต่จู่ๆ เครื่องก็ดันมาเสียซะได้…โทษทีนะ เอ่อ นี่ลูกค้าน่ะ ฉันดันลืมเปลี่ยนป้ายน่ะสิ เพื่อเป็นการขอโทษก็เลยชงกาแฟให้ รู้ตัวแล้วว่าเป็นความผิดฉันเอง อย่าว่าอะไรกันเลยนะ…จองอู? จองอู ทำไมเป็นงี้ล่ะ? เฮ้?”
แม้ไม่มีใครตอบรับกลับมา เจ้าของร้านก็ยังคงพูดออกมาอย่างกระตือรือร้น และเหมือนเจ้าตัวจะสังหรณ์ใจได้ถึงอะไรบางอย่าง จึงได้ยอมเงียบไปในที่สุด
จองอูยืนนิ่งอยู่หน้าประตู ส่วนซองจูและมินซิกที่นั่งนิ่งอยู่กับที่ต่างก็มีสภาพตื่นตกใจไม่ต่างกัน ต่างคนต่างก็ตกอยู่ในสภาวะที่ทำอะไรไม่ถูก เจ้าของร้านหันไปทางนั้นทีทางนี้ที มองดูคนทั้งสามซึ่งตกอยู่ในสภาพนั้นแล้วจึงได้คว้าถุงในมือของจองอูมาถือ ก่อนจะเดินไปทางเคาน์เตอร์