ภายหลังจากที่เจ้าตัวได้ทิ้งบ้านที่เป็นเหมือนนรกนั่นมาใช้ชีวิตอยู่ที่โซล สภาพของอีกคนดูจะดีขึ้นมาก จึงทำให้ทุกคนชะล่าใจ ไม่กี่ปีที่ผ่านมาเกิดเรื่องนี้เรื่องนั้นขึ้นบ้าง แต่เมื่อเปรียบเทียบกับเมื่อก่อนแล้ว อีกคนดูเป็นผู้เป็นคนกว่าที่คิด จึงคิดว่าคงจะไม่เป็นไร แต่ดูเหมือนว่านั้นจะเป็นความคิดที่ผิดมหันต์ ดงฮยอนที่มักจะมีรอยยิ้มสดใสประดับอยู่บนใบหน้าเสมอ กลับเปลี่ยนเป็นแข็งกร้าวขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว
สภาพของจองอูกลับทรุดโทรมลงไปอย่างมากโดยไม่คาดคิด อาการนอนไม่หลับและภาวะหวาดระแวงที่เป็นมาตลอด และไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่อีกคนเริ่มมีปัญหาเกี่ยวกับอาการหูแว่ว เพราะเหตุนั้นจองอูจึงได้มาบอกเขาก่อนที่จะสายไป
ดงฮยอนที่ไม่สามารถเพิกเฉยต่อเพื่อนที่ค่อยๆ ถูกกัดกินเข้าไปภายในจิตใจ ด้วยโรคร้ายที่ไม่อาจรักษาให้หายได้แม้จะพาไปรักษาที่โรงพยาบาลแล้วก็ตาม เขาจึงได้พาจองอูมาทิ้งไว้ที่ห้องชุดแห่งนี้ในระหว่างที่ซองจูออกไปพบซองฮี ด้วยคิดว่าหากอีกคนได้ลองเปลี่ยนสภาพแวดล้อมดูบ้าง อาการอาจจะดีขึ้นก็ได้
แต่ว่า ไม่ใช่ไม่รู้ว่าอีกคนก็แค่เอาแต่ทำเพลงอยู่ในห้อง
ยิ่งจองอูเป็นคนที่ความรู้สึกไวอยู่แล้ว ย่อมดูออกว่าซองจูเป็นพวกหัวรั้น ไม่ค่อยมีความอดทน ถึงแม้จะเป็นแบบนั้น แต่จองอูก็ยังอยู่ในช่วงที่ต้องคอยเฝ้าระวัง แล้วหน้าที่นั้นก็เป็นซองจูที่ต้องรับไป
ถึงแม้บางทีเรื่องอย่างนั้นอาจจะไม่เกิดขึ้น แต่จนกว่าจองอูจะไม่แสดงท่าทีที่น่าเป็นห่วง ก็ยังจำเป็นต้องมีคนคอยดูแลอยู่ แม้ว่าซองจูจะเป็นพวกความรู้สึกไวเช่นกันและยังหุนหันพลันแล่น แต่ก็เป็นคนที่มีความรับผิดชอบ และค่อนข้างใจกว้าง ในใจลึกๆ แล้วเจ้าตัวเองก็มอบความเชื่อใจกับแขกที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน ตั้งแต่แรกที่อีกฝ่ายเข้ามาอยู่ที่นี่แล้ว
แผนการของดงฮยอนคือซ่อนจองอูเอาไว้ในห้องของซองจู จนกว่าจะแน่ใจว่าอีกฝ่ายอยู่ในเกณฑ์ที่ปลอดภัยแล้วแน่นอน
แต่ว่าโทรศัพท์ที่ได้รับจากจองอูเมื่อสักครู่นั้น อีกฝ่ายเหมือนต้องการจะบอกกับเขาว่าอยากจะอยู่ที่ห้องนี้ต่อไปเรื่อยๆ นั่นก็ทำเอาดงฮยอนถึงกับกระอักกระอ่วนขึ้นมา แม้เจ้าตัวคิดว่าซองจูคงจะทนไม่ได้ แต่ถึงอย่างนั้นการได้ทำงานอยู่ที่นี่ก็ไม่เลวเท่าไร ตอนที่ได้ยินประโยคนั้น เล่นเอาดงฮยอนตกใจจนเกือบตกเก้าอี้ ดูเหมือนทุกอย่างมันจะต่างจากที่เขาคิดไปไกลแล้ว
เขาพยายามยั้งตัวเองที่เอาแต่ถอนหายใจทิ้งอยู่เรื่อยๆ ก่อนจะเปิดปากพูดต่อ
“ไม่ใช่อย่างนั้น เจ้านั่นไม่ได้พูดออกมาจากปากแบบนั้นซะทีเดียว”
“อะไรนะ จะบอกว่าไม่ได้พูดแต่แสดงออกมาเลยงั้นเหรอ”
ดงฮยอนได้แต่เกาหัวแกรกๆ กับการเอะอะโวยวายของซองจู ก่อนจะเริ่มรวบรวมสติที่กระเจิดกระเจิงกลับมาอีกครั้ง
จองอูหวาดกลัวการเผชิญหน้ากับคนแปลกหน้า ดังนั้นเพื่อปกป้องตัวเอง เจ้านั่นก็เลยแกล้งทำเป็นมองไม่เห็นสิ่งสำคัญนั้น มันเป็นวิธีการหนีแบบหนึ่ง
ทั้งที่ตัวเองก็ยังไม่ยอมเปิดใจ แต่ทำไมถึงได้บอกว่าจะพักอยู่ที่ห้องนี้ต่อไปกันนะ หากเป็นคิมจองอูที่เขารู้จัก หมอนั่นเป็นประเภทที่ไม่อยากจะเผชิญหน้ากับสถานการณ์ที่ตัวเองไม่คุ้นเคยนี่นา ดงฮยอนพยายามจะทำความเข้าใจในสิ่งที่จองอูกำลังคิด ซึ่งมันไม่ง่ายเลยสักนิด เล่นเอาปวดหัวไปหมด พยายามจะเข้าใจแค่ไหนแต่เขาก็ไม่อาจจะเข้าใจมันได้เลย
“เฮ้อ ปวดหัวชะมัด ไอ้พวกนี้นี่”
“อะไร ทำไมอยู่ๆ มาว่าผมอย่างนี้ล่ะ”
คำพูดที่คำรามออกมาด้วยน้ำเสียงน่าขนลุกของซองจู ทำเอาดงฮยอนที่ได้ยินเช่นนั้น ยิ่งรู้สึกกลัดกลุ้มมากกว่าเดิม ดูเหมือนการรอให้จองอูเปลี่ยนใจ ยังจะเป็นไปได้มากกว่าการหวังให้ซองจูกับจองอูสนิทสนมกัน แม้ว่าหนทางนี้จะไม่ได้ง่ายอย่างที่คิดก็ตาม ดงฮยอนใช้มือกดๆ นวดๆ บริเวณดวงตาที่ปวดเกร็งไปหมด พร้อมเอ่ยปากพูดต่อ
“ทำไมถึงได้จงเกลียดจงชังจองอูนัก เจ้านั่นไม่ใช่พวกที่ชอบสร้างความเดือดร้อนให้ใครสักหน่อย”
“ไอ้นั่น เรียกผมว่าพวกเต้นกินรำกิน”
“แล้วนายไม่ได้เป็นพวกเต้นกินรำกินรึไง”
“โธ่เว้ย ผมเป็นนักแสดงนะ!”
“จะนักแสดง หรือนักดนตรี ก็เรียกว่าเต้นกินรำกินเหมือนกันนั่นแหละ”
“อย่ามาพูดดูถูกอาชีพคนอื่นแบบนั้นนะ!”
ตัวเองไปดูถูกอาชีพคนอื่นเขาก่อนแท้ๆ แต่กลับมาโกรธเป็นฟืนเป็นไฟแบบนี้ เหลือเกินจริงๆ เลย ดงฮยอนได้แต่ส่งเสียงหัวเราะหึๆ
“นี่ ยังไงซะ อย่าไปแกล้งเจ้านั่นนักละ เขาก็เป็นคนมีอดีตเหมือนกับนายนั่นแหละ ไม่ได้ดีไปกว่ากันนักหรอก”
“อะไร? ก็ดูปกติดีนี่ เป็นโรคเด็กม.2[1] อย่างนั้นเหรอ”
“ไม่ใช่แบบนั้นหรอก ยังไงซะก็อย่าให้มันเกินไปละ ถ้าเกิดเจ้านั่นอาการทรุดขึ้นมา คนที่จะลำบากก็มีแค่นายกับฉันนั่นแหละ”
“เวร บ้าอะไรอีกน่ะ พูดอะไรที่มันฟังรู้เรื่องหน่อยสิ”
“ช่างเถอะ แกล้งทำเป็นว่าไม่ได้ยินไปก็แล้วกันนะ”
ซองจูรู้สึกอึดอัดใจขึ้นมาอีกครั้ง เพราะดงฮยอนพูดอะไรที่เขาไม่เข้าใจออกมา เขาจึงเริ่มส่งเสียงคำรามออกมา
“อะไรเนี่ย จริงๆ แล้วไอ้บ้านั่นเป็นยังไงกันแน่ ใช่พวกนักดนตรีแน่เหรอ”
“ก็ใช่น่ะสิ มีพรสวรรค์แบบที่ทำให้ขนลุกเลยละ เรียกว่าโอบกอดความโศกเศร้าจากก้นบึ้งหัวใจตัวเองเอาไว้ ประมาณนั้นล่ะมั้ง…”
“ให้ตาย บ้าอะไรน่ะ แค่ฟังก็เหมือนหัวจะระเบิดแล้ว ไม่ใช่ว่าที่ฟังแล้วรู้สึกขนลุกเพราะเหมือนจะมีผีโผล่ออกมาอะไรแบบนั้นหรอกเหรอ ว่าแต่ทำไมถึงเอาคนแบบนั้นมาปล่อยไว้ในห้องผมล่ะ ผมไปทำอะไรผิดกับพี่มารึไง? หา?”
“พูดกันแบบจริงจังเลยนะ ฮันซองจู นั่นไม่ใช่ห้องของนาย แต่เป็นของฉัน”
“เวรเถอะ อย่านอกเรื่องได้ไหม! ถามว่าทำไมถึงพาคนบ้าแบบนั้นเข้ามา!”
ดงฮยอนตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความเย้ยหยันให้ซองจูที่แผดเสียงถามด้วยอารมณ์โมโห
“ก็ถ้าเอาคนที่เป็นขั้วตรงข้ามแบบเจ้านั่นมาอยู่กับนาย มันจะได้เป็นเติมเต็มกันและกันไงละ”
“คำพูดหมาๆ นี่มัน…”
ซองจูส่ายหน้าพร้อมกับพึมพำอย่างอ่อนใจ ดูเหมือนว่าต่อให้พยายามเจรจาต่อไป มันก็ไม่ได้เกิดประโยชน์อะไรขึ้นมาเลย
“ช่างเถอะ เลิกพูดเรื่องนั้นดีกว่า ยังไงซะที่จะบอกก็คือไอ้บ้านั่นไม่ได้คิดจะออกไปจากที่นี่เร็วๆ นี้อย่างนั้นใช่ไหม”
“อือ คงงั้น อีกเดี๋ยวคงจะต้องรีโนเวทห้องนอนแขกให้เป็นห้องเก็บเสียงด้วย”
“หา? พูดเรื่องบ้าอะไรอีกเนี่ย?”
“ถึงจะเป็นช่วงพักผ่อน แต่ก็แค่วันสองวัน จองอูเองก็ต้องทำงานเหมือนกันไม่ใช่รึไง และเพื่อไม่ให้เป็นการรบกวนนาย ก็ต้องสร้างห้องเก็บเสียงน่ะสิ”
“สารพัดเรื่องดีจริง แค่นี้นะ”
ซองจูตัดสินใจวางสาย เมื่อรู้สึกได้ว่ามันไม่ค่าอะไรที่จะต้องทนฟังต่อไป แม้จะมีเสียงแจ้งเตือนข้อความเข้า ดังขึ้นอย่างบ้าคลั่งตามหลังมาติดๆ เขาก็ไม่คิดจะใส่ใจอีกต่อไป เขาเกือบหลุดตะโกนด่าไอ้บ้านั่นไปแล้ว แต่ก็ยังอยากจะฟังอยู่ว่า อีกฝ่ายทำเพื่ออะไร ภายในห้องอ่านหนังสือ เขาฝังตัวเองเข้ากับโซฟาสุดรักสุดหวง แล้วจึงหลับตาลง
“ไม่เห็นจะดูน่าเป็นห่วงตรงไหนเลย”
แม้จะบ่นพึมพำเบาๆ ออกมา แต่ความรู้สึกไม่พอใจก็ไม่ได้ลดทอนลงแม้แต่น้อย
ถึงจะแสดงออกต่อดงฮยอนว่าหงุดหงิดใจมากขนาดไหน แต่อันที่จริงการใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับจองอูก็ไม่ได้เป็นสิ่งทำให้อึดอัดใจมากขนาดนั้น แต่ถ้าเขาทำแบบนั้น กลัวว่าคนอย่างดงฮยอนคงจะยิ่งได้ใจ แล้วก็อาจจะสร้างเรื่องปวดหัวเพิ่มขึ้นมาอีกก็เท่านั้น ถึงตัวเขาจะชั่วร้ายอย่างไร แต่ซองจูก็ไม่ได้ลืมความจริงที่ว่า คนๆ นั้นคือคนที่กำลังนั่งอยู่ในตำแหน่งประธานบริษัทในตอนนี้ แล้วก็สามารถกำจัดเขาออกจากที่นี่ได้อย่างง่ายดายราวกับพลิกฝ่ามือ
“ยังไงก็ตาม อย่างน้อยก็ควรจะบอกอะไรกับคนที่อาศัยอยู่ร่วมกันบ้างไม่ใช่รึไง ดูยังไงก็มีแต่เรื่องน่าสงสัยทั้งนั้น”
เจ้าตัวได้แต่พึมพำไปอย่างนั้น
จากที่คุยโทรศัพท์กันเมื่อครู่ ดงฮยอนก็ดูมีพิรุธ เลี่ยงไม่ตอบเหมือนกำลังปกปิดอะไรบางอย่างอยู่ ถึงจะทำหัวเราะคิกคักกลบเกลื่อนอย่างไร ก็หลอกคนอย่างเขาไม่ได้หรอก ยิ่งเขาพยายามคิดทบทวนดูเท่าไร ไอ้คิมจองอูอะไรนั่น ก็ยิ่งดูเป็นคนน่าสงสัยเข้าไปอีก
แต่ว่ามันคือเรื่องอะไรกันล่ะ เขาไม่มีทางรู้ได้เลยว่าแท้จริงแล้วอีกคนมีเรื่องอะไรกันแน่ จนกว่าดงฮยอนจะยอมเปิดปาก
ซองจูยกแขนข้างหนึ่งมาพาดปิดทับดวงตาเอาไว้ การวิตกกับเรื่องที่ไม่มีคำตอบแบบนี้ มันก็มีแค่ตัวเขาเท่านั้นที่เป็นฝ่ายเสียกับเสีย ซึ่งเรื่องนั้นเขาก็รู้แก่ใจดี
“ไม่รู้แล้วโว้ย จะอะไรก็ช่างหัวมันแล้ว”
ระบายอารมณ์ออกมาเช่นนั้นแล้ว ซองจูก็ค่อยๆ หลับตาลง ตลอดเวลาสองสามวันมานี้ เขาเอาแต่ครุ่นคิดกับเรื่องต่างๆ ทำให้ร่างกายอ่อนเพลียอย่างมาก พาให้สติที่คงเหลืออยู่น้อยนิดค่อยๆ จมลงสู่ห้วงนิทรา
ราวกับเจ้าตัวได้จมหายไปกับสายน้ำหลาก ซองจูไม่ได้ออกไปจากห้องอ่านหนังสืออีกเลย จนกระทั่งเวลาล่วงเลยเข้าสู่ช่วงเย็นของวัน
[1]โรคเด็กม.2 เนื่องจากช่วงวัยนี้เป็นช่วงเริ่มต้นของการเป็นวัยรุ่น จึงถือเป็นช่วงวัยที่มีความแปรปรวนเอาแน่เอานอนไม่ได้