ทันทีที่คำพูดแข็งกร้าวนั่นโต้กลับมา สายตาของซองจูส่องประกายความโกรธเกรี้ยวออกมา
มุนเซจองกับคิมจีฮุน
เมื่อสี่ปีก่อน คนรักเก่าที่เขาปล่อยให้หลุดมือไปเพราะการกระทำของเขาเอง ไม่คิดเลยว่าจะได้กลับมาเจอกันอีกครั้ง
ในงานแต่งงานของน้องชาย
“พอเถอะ ที่นี่มีคนอยู่เยอะนะ”
“อ้า โทษที”
แล้วเซจองก็เป็นผู้หยุดยั้งสถานการณ์ตรงหน้า ใบหน้างดงามที่ขมวดคิ้วมุ่นมองคนทั้งคู่สลับไปมา
“รุ่นพี่เองก็พอเถอะครับ อายุก็ปาเข้าไปตั้งเท่าไหร่แล้ว ยังจะทำแบบนั้นอีก”
“โทษที”
ทันทีที่เขายกมือทั้งสองข้างขึ้นราวกับประกาศว่ายอมแพ้ ใบหน้าที่เคยขมวดมุ่นของเซจองก็กลับมาสุขุมเยือกเย็นอีกครั้ง ใบหน้าแบบนั้น แบบที่ซองจูชอบ
“ว่าแต่ นี่ติดต่อกับซองฮีอยู่ตลอดเลยงั้นเหรอ”
“เอ่อ ไม่ใช่หรอกครับ เมื่อปีก่อนซองฮีเป็นฝ่ายติดต่อมาก่อน มาถามว่าเป็นยังไงบ้างน่ะครับ รุ่นพี่ไม่ได้เป็นคนให้เบอร์ติดต่อไปหรอกเหรอครับ”
“เคยเห็นฉันคุยกับหมอนั่นรึไง”
“ก็นั่นสินะครับ”
เซจองที่รู้ดีกว่าใครเรื่องความสัมพันธ์ของพี่น้องที่ไม่ลงรอยกัน จึงตอบรับอย่างไม่ใส่ใจ มีเพียงจีฮุนที่ไม่สามารถจะทำตัวให้คุ้นชินกับบรรยากาศแบบนี้ได้ จึงจ้องมองทั้งคู่ด้วยใบหน้าที่ไม่สู้ดีนัก ส่วนคนทั้งสองก็ยังคงพูดคุยกันต่อราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“ช่วงนี้ไม่ได้มีเรื่องอะไรใช่ไหมครับ”
“จะให้มีอะไรล่ะ ถ่ายทำอีกไม่กี่เรื่องก็จะได้พักแล้ว”
“คงไม่ได้มีอะไรไปกวนใจเพราะเรื่องที่ย่านโดกก[1]ใช่ไหมครับ”
เซจองที่พูดประโยคนั้นมีสีหน้าเคร่งเครียดขึ้นเล็กน้อย ซองจูเข้าใจเป็นอย่างดีถึงสิ่งที่เซจองต้องการจะพูด เด็กนั่นยังคงกังวลว่าพ่อแม่ของตัวเองยังคอยมาก่อกวนเขาอยู่หรือเปล่า
“พวกนั้นเลิกใส่ใจเรื่องของฉันแล้ว นี่มันก็ผ่านมาห้าปีแล้วนะ ยังกังวลเรื่องนั้นอยู่รึไง? ไม่ต้องห่วงหรอกน่า ตอนนี้ไม่มีใครกล้ายุ่งกับฉันแล้ว ไม่จำเป็นต้องคิดมาก”
ซองจูพูดออกมาพร้อมรอยยิ้มบางๆ
ซองจูเติบโตขึ้นมาภายใต้ครอบครัวที่พ่อเป็นนักธุรกิจและแม่เป็นอาจารย์ เซจองเองก็เช่นเดียวกัน พ่อแม่ของเด็กนั่นเป็นอาจารย์สอนอยู่ในมหาวิทยาลัยชื่อดัง แต่กลับเป็นพวกเห็นแก่ตัวและน่ารังเกียจ แต่ดูอีกฝ่ายจะก้าวพ้นเงาของครอบครัวได้มากกว่าที่เขาคิด
การตกอยู่ภายใต้เงาของพ่อแม่แบบนั้นทำให้เซจองไม่สามารถแสดงตัวตนออกมาได้ ต้องแอบซ่อนมันเอาไว้ และในช่วงมหาวิทยาลัยนั้นเองที่อีกฝ่ายได้พบกับซองจูแล้วก็กลายมาเป็นคนรักกัน
พวกเขาคิดว่าการที่ไม่สามารถแสดงออกได้อย่างเปิดเผย ไม่ได้เป็นปัญหาอะไรต่อความสัมพันธ์ของเรา
แต่ทว่ามันไม่มีความสัมพันธ์ใดที่มั่นคงยืนยาว ซองจูที่เป็นคนแปรปรวนง่ายและไม่ได้รักชอบแค่ผู้ชาย กับเซจองที่มีความลับมากมายและสนใจแค่การเรียน ระหว่างทั้งคู่จึงเริ่มเกิดรอยร้าวขึ้นทีละนิด
กระทั่งเมื่อเซจองยอมเป็นดาราตามที่ซองจูพยายามเกลี้ยกล่อม ความสัมพันธ์ของพวกเขาก็พังพินาศลงอย่างรวดเร็ว ตารางงานที่อัดแน่นทำให้ความสัมพันธ์ห่างเหินยิ่งขึ้น จนกระทั่งวันหนึ่ง ณ ลานจอดรถของอะพาร์ตเมนต์ซึ่งพวกเขาลักลอบมาพบกันนั้น เรื่องของทั้งคู่ถูกพ่อแม่ของเซจองจับได้ และนั่นก็คือจุดจบของความสัมพันธ์ระหว่างเรา
เซจองที่ถูกทุบตีจนเกือบเสียโฉม ต้องหลบหนีไปต่างประเทศโดยที่ไม่มีโอกาสได้เคลียร์งานอะไรเลยในวงการให้เรียบร้อย ส่วนซองจูที่ยังคงอยู่ที่เกาหลีเหมือนไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นก็ถูกข่มขู่จากพ่อแม่ของเซจอง ว่าจะทำลายอนาคตในวงการของเขาเสีย และคนที่จัดการเรื่องทุกอย่างก็คือคนเดียวกันกับที่พาพวกเขาทั้งคู่เข้าสู่วงการ ดงฮยอนนั่นเอง
ทุกฝ่ายต่างก็ได้รับบาดแผลทางใจ เรื่องวันนั้นกลายเป็นเพียงอดีตที่ไม่อาจหวนกลับมาทำร้ายคนทั้งสามได้อีก
‘เห็นนายไม่ได้ตั้งท่ารังเกียจกันแบบนี้ แสดงว่าตัวฉันก็คงไม่ได้เลวร้ายสักเท่าไหร่’
ซองจูทอดสายตาไปยังเซจองที่ไม่ได้มองมาทางเขา แล้วบ่นพึมพำในใจ
สำหรับซองจู เซจองก็เป็นเพียงคนในอดีต
สำหรับเซจองเอง ซองจูก็เป็นเพียงช่วงเวลาที่ผ่านไปแล้ว
ซองจูที่รับโทรศัพท์จากเซจอง ซึ่งโทรมาบอกว่าพ่อแม่ของตนจับได้เรื่องความสัมพันธ์ของพวกเขาแล้ว ตอนนั้นเขาตอบกลับไปเพียงว่า ‘งั้นเหรอ’ หลังจากนั้นเขาก็ลบเรื่องราวของเซจองออกไปตลอดกาล สิ่งนั้นมีเพียงตัวของฮันซองจูเท่านั้น ที่รู้ดีกว่าใคร
แต่ทำไมถึงรู้สึกว่าความเสียใจมันกำลังกัดกร่อนเขา ซองจูไม่อาจจะเข้าใจตัวเองได้เลย แล้วดูเหมือนว่าเซจองจะไม่พอใจเขาอย่างไรก็ไม่รู้
เมื่อก่อนตอนที่ยังคบกันอยู่ อีกฝ่ายไม่เคยยิ้มสดใสแบบนั้นให้เห็นเลย แต่เพราะอะไรถึงมีแค่คนน่ารังเกียจและหัวรั้นอย่างคิมจีฮุนที่ได้เห็นมัน ทำไมสายตาคู่นั้นของเซจองถึงไม่ได้มองมาที่ฮันซองจูอีกต่อไปแล้ว
เขารู้สึกว่าลำคอแห้งผากจนเจ็บไปหมด แม้จะรู้เหตุผลดี แต่ก็ยังอยากรับรู้ ซองจูในเวลานี้รู้สึกเหมือนเป็นพวกที่ชอบทรมานตัวเอง
“มุนเซจอง นายมาหาฉันเพื่อจะอวดคนรักของตัวเองรึไง”
ถึงจะรู้ว่าไม่ใช่เพราะเหตุผลนั้นก็ตาม แต่เขาก็ยังคงขว้างมีดใส่เซจองจนได้ แม้เขาจะหวังให้เซจองมีความสุข แต่เขาไม่ชอบความสุขของอีกคนในตอนนี้เลย กระทั่งในช่วงเวลาแบบนี้ซองจูก็ยังคิดถึงแต่ตัวเองเท่านั้น
“เซจอง”
คนที่เรียกเซจองอยู่ในตอนนี้ไม่ใช่เขา เมื่อได้ยินเสียงทุ้มต่ำนั่น เขาก็หันไปทางต้นเสียงนั้นทันที จึงได้เห็นว่าใบหน้าของคิมจีฮุนแข็งกร้าวขึ้นมา เซจองตอบรับเสียงเรียกนั้นอย่างอ่อนโยน
“หืม? ทำไมเหรอ?”
“เราควรไปกันได้แล้วนะ จะมัวเสียเวลาอยู่ตรงนี้ต่อไปทำไมกัน ทักทายก็ทักทายไปแล้ว แล้วก็ไม่มีเรื่องอะไรให้คุยกันต่อแล้วด้วย”
“แต่…?”
คำพูดเย็นชาของจีฮุนทิ่มแทงใจของซองจูอย่างจัง บนหน้าผากซองจูจึงปรากฏรอยเส้นเลือดปูดชัดเจน ทั้งยังส่งสายตาราวกับจะฆ่ากันให้ตายไปข้างให้กับจีฮุน
“คุณพีดีคิม เมื่อกี้พูดว่าไงนะ ลองพูดอีกทีสิ”
“ทำไม ฉันพูดผิดตรงไหน มัวเสียเวลาอยู่ตรงนี้ต่อไปทำไมกัน ทักทายกันเรียบร้อยก็พอแล้วนี่ เรื่องนั้นมันไม่ใช่เรื่องดีสักเท่าไหร่หรอกนะ”
“ว่าไงนะ ทำไม มันทำไมหา?”
“ทำไม ผิดตรงไหนเหรอ มันก็ถูกต้องแล้วนี่ เรื่องเมื่อไม่กี่ปีก่อนที่ต้องเกี่ยวข้องกับคนอย่างนาย มันมีอะไรดีหรือไง นายก็ลองคิดดูเอาเองแล้วกัน”
แม้อีกฝ่ายจะไม่ได้แสดงอาการโกรธเกรี้ยวใดๆ เพียงซักถามออกมาทีละข้อ แต่มันไม่ถูกใจเขาเอาเสียเลย ซองจูที่ตอนนี้ไม่อาจอาละวาดออกมาได้ จึงทำเพียงเม้มริมฝีปากที่ไร้ความผิดเอาไว้ แน่นอนว่าคำพูดของจีฮุนไม่มีส่วนไหนที่ผิด ที่แสดงท่าทีหยาบคายออกมานั้นไม่ใช่เพราะไร้จิตสำนึก หากแต่ว่าเขาแสดงความขี้ขลาดออกมาไม่ได้ก็เท่านั้น
ถึงอย่างไรในตอนนี้เขาก็ไม่สามารถแสดงออกได้อย่างที่ตัวเองปรารถนา เพราะความหยิ่งในศักดิ์ศรีของตนที่เหนี่ยวรั้งการกระทำแบบนั้นเอาไว้ ซองจูที่กำลังเลือดขึ้นหน้าจึงเอ่ยขึ้น
“ถึงอย่างนั้น เรื่องที่ฉันกับเซจองเคยคบกันมันก็ไม่มีทางเปลี่ยนได้อยู่แล้วไม่ใช่รึไง? ความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกันยิ่งกว่าคนอื่นน่ะ”
“นั่นมันก็แค่เรื่องในตอนนั้น”
แม้ว่าตัวเองจะพ่นคำเหล่านั้นออกมาแล้ว แต่มันก็ไม่ได้ช่วยให้ซองจูคลายความโกรธได้เลย เขาพยายามบังคับความโกรธที่พลุ่งพล่านให้สงบลง ด้วยกลัวจะเป็นที่สังเกตของคนอื่น แต่แก้มที่ขึ้นสีแดงและเส้นเลือดบนหน้าผากที่ปูดชัด ก็ทำให้รับรู้ได้ไม่ยากนัก
“แล้วไงล่ะ นายต้องการจะพูดอะไรกันแน่”
“นิสัยของนายเป็นยังไงก็รู้ๆ กันอยู่ เลิกเสแสร้งเป็นรุ่นพี่แสนดีได้แล้ว รีบๆ พูดมาดีกว่า อย่าให้มันต้องค้างคาใจอีกต่อไปเลย”
จีฮุนเอามือล้วงกระเป๋ากางเกงสแล็กที่สวมอยู่ และยังคงพูดต่อไปเรื่อยๆ
“ตอนที่ยังอยู่ด้วยกัน ก็ต้องทำดีต่อกันไว้สิ แต่นายกลับเตะโอกาสพวกนั้นทิ้งไป”
จีฮุนที่ยังคงพูดออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นชาและสุขุมจนน่าหมั่นไส้ เห็นแบบนั้นก็ทำเอาอยากจะเข้าไปซัดหน้าดูสักที แต่ซองจูก็ทำได้เพียงข่มใจทั้งที่กำหมัดเอาไว้แน่น
ที่พูดมามันไม่ผิดเลย ซองจูรู้อยู่แก่ใจว่ามีโอกาสมากมายหลายครั้งเข้ามาหาเขา และไม่ใช่ไม่รู้ว่าเป็นตัวเขาเองนั่นแหละที่เตะโอกาสพวกนั้นทิ้งไป
แต่ว่าเรื่องนั้นควรเป็นมุนเซจองที่กล่าวโทษเขา
คนที่จะขีดเส้นใต้และบอกว่าเขาไม่ได้อยู่ในตำแหน่งคนสำคัญในชีวิตของมุนเซจองอีกต่อไปแล้วนั้น เขาอนุญาตให้มุนเซจองทำได้คนเดียวเท่านั้น แต่นี่กลับกลายเป็นคิมจีฮุนที่ตัดสินใจเรื่องนี้ เขายอมรับเรื่องนี้ไม่ได้เด็ดขาด
ซองจูกัดฟันกรอด จ้องไปยังจีฮุนราวจับจะฆ่าให้ตาย แต่คนที่หยุดการกระทำของซองจูได้นั้นก็คือเซจอง เซจองทอดสายตามองไปยังซองจูที่ทำท่าราวกับจะเข้าไปซัดหน้าจีฮุนได้ตลอดเวลา ก่อนจะเปิดปากออกมาช้าๆ
“…รุ่นพี่”
“อือ”
การตอบรับที่ไม่ได้อ่อนโยนเช่นเสียงที่เรียกเขาเอาไว้ เซจองที่ท้วงถามอีกคนผ่านทางสายตาว่าไม่พอใจอะไร พอสบตากับซองจูที่มีความอาลัยอาวรณ์ล้นทะลักออกมา คิมจีฮุนที่ถูกทำราวกับไม่มีตัวตนก็เขม้นมองมายังเขาด้วยสายตาพิฆาต แม้จะรับรู้แต่เขาก็แกล้งทำไม่ใส่ใจ แต่ทว่าสายตาของเซจองที่มองมายังซองจูนั้น มันช่างเย็นชาเหมือนเช่นสายตาของพีดีคิมจีฮุนคนนั้น
“ขอร้องละ อย่าทำแบบนี้เลย ใครมาเห็นเข้าจะทำยังไง คุณจีฮุนก็ด้วย พอได้แล้ว มันใช่เรื่องที่ต้องทำอะไรแบบนี้ในงานมงคลของคนอื่นงั้นเหรอ ถ้าจะทะเลาะกันก็ไปนัดกันที่อื่น”
“ฉันไม่คิดจะเจอไอ้เวรนี่อีกครั้งหรอกนะ”
“พี่ครับ”
จีฮุนหุบปากทันทีที่ได้ยินน้ำเสียงข่มขู่นั่น ดูก็รู้ว่าใครกันที่เป็นฝ่ายเหนือกว่า แค่เซจองเรียกเพียงแค่คำเดียวก็ทำเอาใบหน้าที่แข็งกร้าวของจีฮุนอ่อนลง อีกคนเกาหัวด้วยสีหน้าละล้าละลังอยู่ครู่นึง ก่อนจะเอ่ยคำหนึ่งออกมา
“ขอโทษ”
“ไม่ใช่เรื่องที่ต้องขอโทษผมสักหน่อย”
แม้จะพูดเกลี้ยกล่อมแต่จีฮุนก็ไม่ยอมเอ่ยปากพูดออกมาง่ายๆ เซจองจึงถอนหายใจออกมา ก่อนจะพยักพเยิดไปทางซองจู
“รุ่นพี่ละครับ”
“…ฉันอะไรอีกล่ะ”
“รุ่นพี่เองก็มีอะไรจะพูดเหมือนกันใช่ไหมครับ”
“เซจอง”
ท่าทางของผู้ชายสองคนที่อายุก็เลยสามสิบกันแล้ว แต่ยังทำตัวเป็นเด็ก ทำให้เซจองได้แต่ส่งเสียงจิ๊จ๊ะพร้อมกับเดาะลิ้นอย่างระอา นั่นทำให้จีฮุนหน้าตึงขึ้นกว่าเดิม ถึงขนาดนี้แล้วถ้าเพียงใครสักคนก้าวออกมาเอ่ยขอโทษแบบขอไปที สถานการณ์ตอนนี้ก็คงคลี่คลายไปได้ พอเป็นเรื่องของมุนเซจองแล้ว ผู้ชายสองคนกลับไม่มีใครยอมลงให้กันเลย ทำเพียงนิ่งเงียบ ขบคิดอย่างไม่เข้าใจว่าตัวเองต้องทำอย่างไร
[1] ย่านโดกก ที่ตั้งของซัมซุงทาวเวอร์พาเลซซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยที่หรูหราซึ่งมีอาคารที่สูงที่สุดเป็นอันดับที่ 11 ของเกาหลีใต้