“คิมจองอูกินข้าวกันเถอะ”
“ฉันยังทำงานไม่เสร็จเลย”
“นี่ ฉันรอมาจะเป็นชั่วโมงแล้วนะ”
“ก็นั่นแหละ ถึงได้บอกให้กินก่อนเลยไง”
“อะไรกัน นายมันใจร้าย อยู่ด้วยกันแต่มาบอกให้ฉันกินคนเดียวงั้นเหรอ”
เสียงบ่นพึมพำดังมาจากด้านหลังของจองอู ที่กำลังขะมักเขม้นทำงานอยู่กับแผงควบคุมตรงหน้า เจ้าตัวจึงได้ถอดหูฟังออกพร้อมกับถอนหายใจออกมา
เมื่อวานก็แบบนี้ งานสำคัญถึงได้ถูกเลื่อนออกมาแบบนี้ วันนี้เขาตั้งใจจะไม่ทำตามความตั้งใจของซองจู แต่ดูเหมือนว่ามันจะทำไม่ได้ง่ายๆ เลย
“มื้อเย็นมีอะไรล่ะ”
“ไม่รู้สิ สั่งอะไรมากินดีไหม ทำกินเองมันยุ่งยาก”
“ยังไม่ได้คิดเมนูเลยเหรอ…”
จองอูได้แต่ส่ายหน้าให้กับคำพูดของซองจู
“แล้วยังไง มีเวลาตั้งเยอะ ยังไงนายก็ทำงานโต้รุ่งอยู่แล้วนี่”
“เมื่อวานก็พูดแบบนี้ แล้วไง เมื่อคืนเกิดอะไรขึ้นล่ะ”
พอโดนจองอูดุเข้าให้ ซองจูก็ถึงกับเงียบปากทันที เพราะความคึกคะนองเลยถูกจองอูผลักลงเตียงไป แล้วก็ได้ร้องอื้ออ้าพร้อมกับเกาะติดอยู่กับอีกคนทั้งคืน ซองจูแอบแลบลิ้นใส่อีกคน ก่อนจะเดินออกไปทางประตูห้องทำงาน
“ยังไงก็ช่าง ตอนนี้จะกินข้าวแล้ว รีบๆ ขึ้นมาล่ะ”
ทิ้งท้ายไว้เท่านั้น แล้วเสียงปังก็ดังขึ้นพร้อมกับประตูห้องทำงานที่ถูกปิดลง เพราะซองจูออกไปแล้ว ในตอนนั้นเองจองอูจึงได้แต่หลุดขำออกมา
“ยังไงก็ยังเอาแต่ใจเหมือนเดิม…”
จองอูส่ายหัวน้อยๆ แล้วจึงจัดการเซฟไฟล์งานที่ทำอยู่ ก่อนจะลุกขึ้นจากที่นั่ง
“มาแล้ว”
เปิดประตูที่เชื่อมต่อระหว่างชั้นสี่พร้อมกับเดินเข้ามาข้างใน ในตอนนั้นเอง กลิ่นอาหารก็ลอยมาเตะจมูกทันที ถึงจะบอกว่าทำกินเองมันยุ่งยาก แต่ที่จริงก็หุงข้าวไว้แล้วสินะ จองอูมองซองจูที่นั่งอยู่ที่โต๊ะอาหารด้วยสีหน้าปกติ ก่อนจะยกยิ้มออกมา
“กลัวใครไม่รู้ว่าเป็นนักแสดงหรือไง หลอกคนอื่นซะเนียนเลยนะ”
“ไม่ได้หลอกสักหน่อย ก็แค่บอกว่าทำเองมันยุ่งยาก”
“แล้วที่ทำเป็นคิดว่าจะสั่งอะไรมาดีไหมนั่นล่ะ”
“ก็อาหารที่ฉันทำมันไม่อร่อยนี่ นั่นก็เอาไว้แก้ขัดไง”
ซองจูพูดแบบนั้นออกมาพร้อมกับยักไหล่
คำพูดนั้นก็ไม่ผิดหรอก จนถึงตอนนี้ถ้าไม่ใช่อาหารที่มินซิกเอามาให้ ซองจูก็มักจะแก้ปัญหาด้วยการสั่งอาหารจากข้างนอกมาส่งเป็นส่วนใหญ่ เขาเพิ่งจะมาเริ่มลองทำอาหารด้วยเองเมื่อไม่นานนี้เอง
ถึงอย่างนั้น เขาก็ทำได้แค่หุงข้าว พวกแกงหรือซุปก็ให้มินซิกไปซื้อมาจากร้านดังๆ แล้วก็เอามาอุ่นใหม่อีกรอบแทน พวกเครื่องเคียงเขาก็สั่งจากในอินเทอร์เน็ตมาทั้งนั้น
ที่ซองจูทำได้ก็มีแค่ทอดไข่หรือไม่ก็ไข่คน แล้วก็ทอดแฮมอะไรแบบนั้นเท่านั้น แต่ไข่ทอดที่เขาทอดนั้นแทบจะหาเค้าเดิมไม่ได้เลย ถึงอย่างนั้นพอได้เห็นอีกคนกินมันอย่างเอร็ดอร่อย ก็นับได้ว่าเป็นเรื่องดีที่จองอูไม่ใช่คนเรื่องมากเรื่องอาหารการกินนัก การได้เห็นอีกคนกินแบบนั้นแล้ว กับการจัดจานที่ยากแสนยาก เขาก็ยังพยายามทำมันออกมาจนได้ จองอูนั่งลงที่หัวโต๊ะ พร้อมกับมองสำรวจไปทั่ว
“จัดบ้านแล้วเหรอ”
“อื้อ เห็นกล่องมันวางเกลื่อนกลาดอยู่แบบนั้น ฉันรู้สึกขัดหูขัดตาน่ะ”
“มีเวลาตั้งเยอะ ค่อยๆ ทำไปก็ได้นี่”
“ก็แบบนั้นจะได้ไม่ต้องทำไปเรื่อยๆ ไง พอนึกได้ก็เลยรีบทำซะดีกว่า”
ซองจูพูดออกมาแบบนั้น ก่อนจะวางถ้วยซุปถั่วงอกลงตรงหน้าจองอู จองอูที่คว้าช้อนขึ้นมา ตักซุปเข้าปากไปคำนึง แล้วจู่ๆ ก็ชะงักไป
“ทำไม ไม่อร่อยเหรอ”
พอเห็นสายตาที่จ้องมาแบบนั้นของซองจู จองอูก็ค่อยยกยิ้มแหยๆ ออกมา
“เปิดฝาหรือเปล่า”
“เปล่านี่ ก็ในเน็ตบอกว่าต้องปิดฝาเอาไว้”
“งั้นระหว่างนั้นได้เปิดดูหรือเปล่า”
“อื้อ เปิดดูนิดหน่อยว่ามันสุกหรือยังน่ะ”
“อ้อ งั้นเหรอ”
จองอูพูดเช่นนั้น ก่อนจะตักซุปเข้าปากอีกคำหนึ่ง ซองจูที่เกิดสงสัยในสีหน้าเช่นนั้น จึงได้แย่งช้อนมาทันที แล้วก็ลองตักซุปมาชิม และตอนนั้นสีหน้าเจ้าตัวก็ขมวดมุ่นขึ้นมา
“ห่วยแตกสุดๆ ทำไมมันรสชาติเป็นแบบนี้ล่ะ นี่ ห้ามกินนะ”
ซองจูดึงถ้วยซุปคืนมาในทันที พร้อมกับเทคืนลงไปในหม้อ แล้วก็บ่นออกมา
“ก็ทำตามที่สั่งทุกอย่างแท้ๆ ทำไมรสชาติมันเป็นแบบนี้ล่ะ ทั้งคาวทั้งจืดเลย”
“ระหว่างทำต้องห้ามเปิดฝาเด็ดขาด เปิดได้แค่ตอนแรกๆ แล้วก็ใส่เกลือน้อยไปหน่อย ไม่สิ ช่างเถอะ ครั้งต่อไปฉันจะเป็นคนเตรียมอาหารเองละกัน”
จองอูพูดแบบนั้น ก่อนจะลุกจากที่นั่ง ยิ่งได้เห็นท่าทางแบบนั้นของจองอู มันยิ่งทำให้ซองจูรู้สึกไม่ดีเข้าไปใหญ่
เขาไม่ได้ทำเพราะแค่รู้สึกอยากจะเตรียมอาหารขึ้นมาหรอกนะ เขาไม่ได้มีนิสัยแบบนั้นสักหน่อย แล้วก็ไม่ได้ทำอาหารเป็นงานอดิเรกด้วย ตั้งแต่เมื่อก่อนเขาไม่ใช่พวกที่มีนิสัยยึดติดกับอะไรแบบนี้ มีก็กิน ไม่มีก็ไม่กินก็แค่นั้น ถ้าถามว่าทำไมฮันซองจูที่เป็นคนแบบนั้น ถึงได้ลุกขึ้นมาเล่นหม้อข้าวหม้อแกงแบบนี้ล่ะก็ มันก็เป็นเพราะคิมจองอูนั่นแหละ
ยิ่งอยู่ด้วยกันนานเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งเข้าใจความจริงข้อนั้น หากจองอูจดจ่อกับอะไรแล้ว จะเรื่องอาหารการกินหรือเรื่องปกติทั่วไปก็ลืมมันไปเสียหมด ตัวเขาเองไม่ได้มีนิสัยชอบดูแลใครนัก แต่เพราะเป็นห่วงว่าจองอูจะเป็นอะไรร้ายแรงด้วยเรื่องแบบนั้น ซองจูจึงไม่อาจทนนิ่งเฉยได้ จนต้องยื่นมือเข้ามาจัดการ แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังมีเรื่องไม่คาดฝันที่ควบคุมไม่ได้ ถึงมันจะไม่มีอะไรดีขึ้น แต่เขาก็ได้ลองพยายามแล้ว อย่างไรก็ต้องอยากได้กำลังใจเล็กน้อยบ้าง
“ไม่มีซุปแล้วทำยังไงล่ะ”
เห็นซองจูที่นั่งหน้าบูดอยู่แบบนั้น จองอูจึงพูดออกมาอย่างนิ่งๆ
“ช่างเถอะ แค่มีกิมจิฉันก็กินได้แล้ว”
จองอูพูดแบบนั้นออกมาโดยที่สีหน้ายังคงเรียบเฉยเช่นเดิม
จองอูและซองจูคบกันอย่างเป็นทางการมาได้เกือบหนึ่งปีแล้ว ตลอดเวลานั้น ชีวิตของทั้งคู่ได้เปลี่ยนไปมาก
ภาพยนตร์ที่ซองจูเลือกแสดงเพื่อเป็นการหวนคืนสู่วงการก็ได้รับผลตอบรับอย่างดีมาตลอด ได้เป็นหนึ่งในผลงานที่ออกไปสู่เทศกาลหนังในต่างประเทศ ด้วยการตลาดที่ดีกว่าที่คิด จึงทำให้กระแสของเจ้าตัวพลอยเพิ่มขึ้นไปด้วย บทดีๆ มากมายถูกส่งเข้ามา ซึ่งทำให้มินซิกชอบใจอย่างมาก แต่ซองจูก็บอกกับบริษัทไปว่าอยากจะให้ค่อยเป็นค่อยไป และปล่อยให้ช่วงเวลาน้ำขึ้นต้องรีบตักนั้นผ่านไปอย่างช้าๆ แล้วก็ทำผลงานคุณภาพเยี่ยมออกมาดีกว่า ซึ่งดงฮยอนก็เห็นด้วยกับเรื่องนั้น ดังนั้นตอนนี้ซองจูจึงอยู่ในสภาพงดรับงานชั่วคราว
ส่วนจองอูนั้นอยู่ในช่วงเตรียมดิจิตอลอัลบั้มใหม่อยู่
แทนที่จะเสียเวลาไปกับการเตรียมอัลบั้ม ก็เลือกที่จะรวบรวมเพลงที่ทำไว้ตั้งแต่ที่ได้เจอซองจู แล้วเอามารวบรวมทำเป็นอัลบั้ม และก็เป็นดงฮยอนที่แสดงสีหน้าปลื้มปริ่มเป็นคนแรกๆ ในตอนนั้นเอง ซองจูก็ขุดค้นพบความทรงจำที่ว่าจองอูได้เซ็นสัญญาเป็นศิลปินกับเอสจี เอ็นเตอร์เทนเม้นขึ้นมาได้ แต่ทว่าจองอูที่ยังมีเรื่องพัวพันกับบริษัทเดิมอยู่ จึงได้แก้ขัดด้วยการไปร่วมงานกับที่นั่นที่นี่ และหมดเวลามากมายไปกับเรื่องพวกนั้น
จังหวะชีวิตที่สวนทางกันของคนทั้งคู่หรือตารางงานที่แตกต่าง ทำให้คู่รักไม่ค่อยได้ใช้เวลาอยู่ด้วยกันนานมากนัก
สุดท้ายระเบิดฮันซองจูก็ทำให้เกิดเหตุใหญ่ขึ้นมา เจ้าตัวได้แอบซื้อตึกในละแวกฮงแดเอาไว้
ชั้นใต้ดินและชั้นที่หนึ่งปล่อยให้เช่า ชั้นที่สองก็ให้เหล่าสมาชิกวงคราฟท์ใช้ จะได้ไม่ต้องห่วงกังวลว่าจะรบกวนคนอื่น และใช้มันได้ตามใจชอบ ชั้นที่สามเป็นห้องทำงานของจองอู ส่วนชั้นที่สี่ก็เป็นบ้านของซองจู
มองจากภายนอกดูเหมือนว่าจองอูจ่ายค่าเช่าชั้นที่สาม แต่ที่จริงแล้ว มันก็ไม่ต่างอะไรกับการอยู่ร่วมบ้านเดียวกันเลย ตอนแรกเจ้าตัวไม่ยอมรับข้อเสนอของซองจูอย่างเด็ดขาด ดงฮยอนก็อีกคน แต่ตอนนี้เมื่อเห็นว่าทั้งคู่อยู่ร่วมกันอย่างสงบสุขได้ ก็เลยยอมๆ ไปทั้งอย่างนั้น
ปัญหาคือจองอูนั่นแหละ
ตั้งแต่ที่เขาพยายามอ้อนวอนอยู่เรื่อยๆ อีกคนก็ดูเหมือนจะมีท่าทีลังเล แต่ก็รู้ดีว่าอะไรคือสิ่งที่อีกคนกังวลอยู่ตลอด ถ้าหากถามไปว่าปัญหามันคืออะไร แม้จะไม่ได้ตอบออกมา แต่ซองจูก็รับรู้ได้ถึงความไม่สบายใจที่อีกคนมี ซึ่งนั่นก็คือการที่อีกคนห่วงว่าจะมีข่าวลือออกมาอีก
เขาจึงได้ทำแบบนี้ ถ้ามีอะไรก็ไม่มีใครสงสัย แค่เปิดเผยว่าเป็นความสัมพันธ์แบบเจ้าของบ้านกับผู้เช่า เจรจาเกลี้ยกล่อมอยู่นาน จองอูก็ยังไม่ยอมอ่อนข้อให้ เขาจึงโมโหจนควันออกหู ทั้งที่แค่เป็นการชักชวนให้มาอยู่ด้วยกันแค่นี้ ทำไมถึงมีปัญหามากนัก แต่อีกคนก็ยังไม่สะทกสะท้าน นั่นก็เป็นเพราะว่าเป็นห่วงตัวเขานั่นแหละ ถึงจะรู้แต่ซองจูก็รู้สึกอึดอัด
หลังจากเรื่องนั้น เขาก็สารภาพกับพ่อแม่ว่าไม่คิดจะแต่งงาน ตอนแรกก็คิดว่าพ่อกับแม่อาจจะแสดงท่าทีต่อต้าน แต่ก็กลับปล่อยผ่านไปโดยไม่มีปัญหาอย่างที่คิด และก็ไม่ได้สนใจอะไรอีก สิ่งที่พ่อแม่หวังก็แค่ให้ทำตัวดีๆ ก็เท่านั้น ถึงจะกังวลเรื่องจองอู แต่มันก็กลับไม่มีอะไรเลย เขาจึงไม่คิดอะไรอีก ซองจูเพียงมองจองอูที่กินข้าวอยู่เงียบๆ ก่อนจะเอ่ยปากออกมา
“งานยังเหลืออีกเยอะไหม”
“อือ ที่ทำเสร็จไปก่อนหน้านี้ มันไม่ค่อยถูกใจเท่าไหร่ ก็เลยจะเริ่มทำใหม่ตั้งแต่ต้นน่ะ”
“ต้องขนาดนั้นเลยหรือไง ไม่เหนื่อยบ้างเหรอ”
“ก็เหนื่อยแหละ แต่มันไม่ถูกใจนี่ คงปล่อยไปไม่ได้หรอก มันจะอยู่ไปตลอดชีวิตเลยนะ”
คำตอบตรงๆ ของจองอู ทำให้ซองจูได้แต่พยักหน้ารับ
“อยากไปเที่ยว”
เมื่อจบมื้ออาหารแล้ว เสียงพึมพำเบาๆ นั่น ก็ทำให้จองอูต้องเงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่าย
“มีที่ที่อยากไปไหมล่ะ”
“ก็ไม่ได้ขนาดนั้นหรอก แค่อยากพักผ่อนน่ะ”
“ตอนนี้ก็พักอยู่นี่”
“ไม่ใช่แบบนี้สิ แบบที่ที่ไปครั้งแรก ไปสูดอากาศบริสุทธิ์ โดยไม่ต้องสนใจสายตาใครอะไรแบบนั้นไง”
“ไปคนเดียวเหรอ”
“เปล่า ทำไม ถ้าจะไปนายก็ต้องไปด้วยสิ”
ท่าทางที่ถามกลับมาด้วยดวงตาที่เบิกกว้างขึ้นแบบนั้นของซองจู ทำให้จองอูลืมคำที่ตัวเองจะพูดไปเสียหมด
“จะประกาศให้คนรู้เหรอ ว่าเราคบกันน่ะ”
คำพูดตัดบทอย่างไร้เยื่อใยของจองอู ทำเอาซองจูหน้าบึ้งไปทันที
“แค่ไปเที่ยวด้วยกัน ไม่โดนจับได้หรอกน่า”
“ถ้าเราไปเที่ยวด้วยกัน จะได้เที่ยวสงบๆ เหรอ”
“นั่นน่ะสิ”
คำพูดที่เหมือนกับว่าจะมีความโกลาหลเกิดขึ้น ทำให้ซองจูได้แต่ปล่อยผ่านสิ่งที่พูดไป แล้วเคี้ยวข้าวต่อไปเงียบๆ
จองอูก็เป็นแบบนี้ทุกวัน ถ้าซองจูขออะไรไป ก็ไม่เคยจะยอมให้มาโดยดีหรอก แต่ถึงอย่างนั้น ถ้าเป็นเรื่องที่พอถูไถก็จะแกล้งทำเป็นเอาชนะไม่ได้เสีย แต่หากเป็นปัญหาที่ตกลงกันไม่ได้ เขาก็มักจะแสดงความเด็ดเดี่ยวเพื่อให้มันเป็นไปอย่างที่ต้องการ ซึ่งนั่นเป็นปัญหาส่วนใหญ่ของพวกเขา อย่างเช่นตอนนี้ ถ้าเป็นเรื่องที่ทำให้ความสัมพันธ์ของพวกเขาถูกเปิดเผยแล้วล่ะก็ อีกคนก็จะลงดาบใส่กันแบบนี้
ถ้าบอกว่าไม่เสียใจก็คงจะโกหก แต่เพราะรู้ว่าที่ทำแบบนั้นก็เพราะเป็นห่วงเขา ซองจูจึงไม่ได้แสดงท่าทีอะไรออกมา กว่าจะโน้มน้าวให้มาอยู่ด้วยกันแบบนี้ได้ ก็ใช้เวลาไปตั้งหลายเดือน
ถึงอย่างไรคิมจองอูก็คือคนขี้ขลาด ส่วนตัวเขาก็คือตัวสร้างปัญหา ความจริงข้อนี้ ถึงจะอายุมากขึ้นก็ตาม แต่เขาก็ไม่ได้เปลี่ยนไปเลย ซองจูกินอาหารต่อไปเงียบๆ ขณะจ้องมองไปที่จองอู พอมาอยู่ด้วย อีกคนก็ดูจะน้ำหนักเพิ่มขึ้นบ้าง นั่นทำให้เขาพอใจมาก
“ทำไมมองแบบนั้นล่ะ”
“ก็แค่ เดี๋ยวนี้หน้านายบวมขึ้นนะ”
“…คงต้องไดเอตแล้วสินะ”
“ไดเอตทำไม ปล่อยไว้นั่นแหละ แบบนี้กำลังดีเลย”
“ก็บอกว่าอ้วนไม่ใช่เหรอ”
“แบบนี้ดีแล้ว นายน่ะผอมเกินไปแล้ว”
เขารีบห้ามปรามทันทีที่เห็นสีหน้าเจื่อนๆ ของจองอู แต่ว่าเขาก็คิดแบบนั้นจริงๆ นะ เพราะตอนเด็กๆ เติบโตมาแบบอดมื้อกินมื้อ น้ำหนักจองอูก็เลยไม่ขึ้น ถึงแม้ว่าจองอูจะไม่ใช่คนกินน้อยก็ตาม แต่น้ำหนักขนาดนี้กำลังดีเลย
แม้เขาจะบังคับอย่างเอาเป็นเอาตายว่าให้กินข้าว พอได้เห็นแบบนี้แล้ว ก็เลยรู้สึกปลื้มปริ่มอย่างบอกไม่ถูก มากกว่าการเป็นคนรัก เขารู้สึกเหมือนได้เป็นแม่มากกว่า แต่แบบนี้มันก็แปลกใหม่ดี ได้รับรู้ความรู้สึกแบบที่ไม่เคยได้รู้สึกมาก่อน
เมื่อก่อนเขาเอาแต่ไปร่วมสังสรรค์ในงานปาร์ตี้ ไม่ก็ตามร้านเหล้า ในที่แบบนั้นเขาต้องคอยยิ้ม เพื่อให้ได้รับไมตรีที่ดีกลับมา แล้วเขาก็ได้เจอกับซอยอนในที่แบบนั้นด้วย
ความสัมพันธ์บอบบางเหมือนแผ่นกระดาษนั่น เพื่อรักษามันเอาไว้ เขาต้องใช้ชีวิตท่ามกลางความวุ่นวาย ซึ่งตอนนี้มันเป็นสิ่งเขาเกลียดมากๆ สิ่งที่เมื่อก่อนเคยคิดว่ามันเป็นสิ่งที่เรียกว่าชีวิต เขาก็ตระหนักได้นานแล้วว่ามันเป็นแค่ภาพลวงตาไร้ชีวิตก็เท่านั้น ตอนนี้ซองจูชอบการใช้ชีวิตแบบเรียบง่ายอย่างที่เป็นอยู่
“ถ้าเราไปกันแค่สองคนไม่ได้ งั้นก็จองบ้านพักริมทะเลแล้วให้พวกซองฮีไปด้วยกันเป็นไง”
ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังไม่ยอมแพ้เรื่องการไปเที่ยวหรอกนะ จองอูชำเลืองมองซองจูที่ทำท่าทางออดอ้อน ก่อนจะส่ายหน้า
“พอเถอะ พวกพี่เขารู้ความคิดนายเข้าคงอยากตายกันแน่”
“ฉันทำไมล่ะ”
“ที่ถามเพราะไม่รู้? เดี๋ยวนายกับพี่ซองฮีก็ได้ขู่ใส่กันอีกหรอก แบบนั้นจะไปสนุกอะไร ทรมานตัวเองชัดๆ”
“นายพูดแรงไปแล้วนะ”
“ก็นั่นแหละ เวลาเจอหน้ากันก็เลิกทะเลาะกันเสียทีเถอะ เดี๋ยวก็ต้องได้เจอกันบ่อยๆ อยากให้มันเป็นแบบนั้นหรือไง”
จองอูพูดเช่นนั้นพร้อมกับลุกขึ้นจากที่นั่ง ถือถ้วยข้าวที่กินหมดแล้ว เดินไปยังอ่างล้างจาน ก่อนจะลงมือล้างจาน ซองจูที่มองตามอีกคนไปก็ทำปากยื่นอย่างขัดใจ
“ฉันก็ทำดีกับพวกนั้นตามที่นายบอกแล้วนี่ แบบนี้มันเกินไปแล้วนะ”
“ก็นะ เทียบกับเมื่อก่อนก็ถือว่าไม่เลว”
จองอูไม่สามารถปฏิเสธความจริงข้อนั้นได้จึงพยักหน้ารับ หลังจากที่คบกับจองอูแล้ว ซองจูก็สมัครใจที่จะคอยดูแลบรรดาสมาชิกวงคราฟท์มากกว่าเดิม เพราะงานที่จองอูได้ทำกับพวกนั้นมีบ่อยกว่าเดิม ความสัมพันธ์กับซองฮีจึงดีมากขึ้นตามไปด้วย
ระหว่างสองพี่น้องที่เจอหน้ากันทีไรเป็นต้องได้ขู่ใส่กันอยู่เรื่อยๆ ก็เริ่มดีขึ้นกว่าเก่า เรื่องนั้นทำให้สบายใจขึ้นก็จริงอยู่ แต่ว่าระดับความรู้สึกไม่ไว้ใจของซองฮีที่มีต่อซองจูก็ยังคงไม่ลดลงไปสักเท่าไหร่ ซึ่งนั่นทำให้เป็นปัญหาอยู่บ้าง จองอูได้แต่ถอนหายใจออกมา
“ถึงยังไงช่วงนี้ยังมีอะไรที่ต้องปรับเปลี่ยนอีกมาก มันคงจะวุ่นวายพอตัว”
ซองจูเองก็พยักหน้าเห็นด้วยกับคำพูดนั้น
“ก็ทำไงได้ล่ะ เปลี่ยนไปเยอะมากอย่างกับละครขนาดนั้น แต่ว่ามันก็ไม่ใช่เรื่องไม่ดีนี่ หรือไง”
“อืม ก็ใช่แหละ” จองอูเห็นด้วยกับคำพูดนั้น
แม้จะไม่ถึงขนาดที่สร้างมนุษยสัมพันธ์อันดีกับคนอื่นได้อย่างไร้ที่ติ แต่ที่เคยเป็นคนแสดงออกน้อยก็มีปรับเปลี่ยนตัวเองบ้าง ถึงจะยังมีข้อบกพร่องอยู่ แต่พอได้ลองฝึกฝนกับคนรอบข้างก็ทำให้เริ่มเห็นใจคนอื่นขึ้นมาบ้าง ตอนเขาเด็กๆ นั้นเขาต้องตัดความรู้สึกทิ้งไปเพื่อความอยู่รอด พอโตขึ้นมาเรื่อยๆ จึงทำให้ไม่รู้จักวิธีการแสดงความรู้สึก กลายเป็นเพิกเฉยต่อทุกอย่าง เพียงเมินเฉยไปเสีย เขาก็สามารถอยู่ต่อไปบนโลกนี้ได้โดยไม่ลำบากใจ
แต่ว่าตอนนี้เขาแน่ใจแล้วว่าตัวเองไม่อาจกลับไปใช้ชีวิตในแบบเดิมได้อีกแล้ว การได้ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับผู้อื่น มันน่าสนุกกว่าที่คิด ได้รู้สึกโกรธ รู้สึกสนุกสนาน รู้สึกดีใจ และยังได้รู้สึกเศร้า พอเป็นแบบนั้นแล้วมันให้รู้สึกได้ว่า เวลานั้นช่างผ่านไปรวดเร็ว มันดีมากที่ได้รู้ถึงการมีชีวิตจริงๆ ขึ้นมาเป็นครั้งแรกแบบนี้ หากไม่ใช่เพราะซองจู เขาคงไม่มีวันได้สัมผัสกับความรู้สึกแบบนี้ และเพราะแบบนั้น เพลงล่าสุดของเขาถึงได้มีอารมณ์ที่สดใสขึ้นมา ทำให้ได้รับคำชมว่าเป็นนักแต่งเพลงที่สร้างเพลงที่มีจังหวะหลากหลายมากขึ้น ซึ่งมันไม่ใช่เรื่องที่เสียหายเลย
“ก็ไม่ใช่ไม่ดี แค่ยังไม่ค่อยชินเท่านั้นเอง”
จองอูพูดขึ้น ขณะที่ล้างจานเสร็จพอดี
“ฉันต้องทำงานที่ค้างไว้ให้เสร็จภายในวันนี้นะ นอนคนเดียวได้ใช่ไหม”
“ไม่เอา”
“อย่าเอาแต่ใจสิ”
“งั้นฉันจะไปอยู่กับนายในห้องซ้อมด้วย แบบนั้นก็ไม่มีปัญหาแล้ว จะไม่รบกวน แล้วก็จะอยู่เงียบๆ เลย”
“จะนอนที่โซฟางั้นเหรอ นอนที่นี่เถอะ สบายกว่าตั้งเยอะ ถ้านายไปนอนขดตัวอยู่แบบนั้น ฉันจะมีสมาธิทำงานได้ยังไง”
“นายก็ไม่ต้องสนใจสิ”
“มันทำได้หรือเปล่าล่ะ…”
บ่นพึมพำว่าพูดแบบนั้นมันทำได้เสียที่ไหน แต่จองอูก็รู้ดีว่าซองจูไม่สนใจคำพูดเขา แล้วอีกคนก็จะหอบหมอนลงมาที่ห้องซ้อมจนได้ ถึงจะห้าม แต่อีกคนก็จะแสดงท่าทียืนกรานไม่ยอมออกไป พร้อมกับนอนลงที่โซฟานั้น และมองดูเขาทำงานไปเรื่อยๆ จนกระทั่งเริ่มนั่งสัปหงกไปมา
แล้วพอถึงเวลานั้นตัวเขาก็คงทนดูสภาพนั้นของอีกคนไม่ได้ จนต้องหยุดทำงาน แล้วก็อุ้มพาซองจูขึ้นมาที่ชั้นสี่ ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ ภาพแบบนั้นของอีกคนกลายเป็นภาพที่ติดตาเขาไปแล้ว
ก็เลยคิดว่า ถ้าปั่นงานที่ค้างอยู่ในช่วงกลางวันก็น่าจะได้ เพราะงั้นเลิกทำงานดีกว่า จองอูคิดเช่นนั้น พร้อมกับสะบัดมือที่เปียกชื้น
ถ้าอยากจะสนุกสนานกับชีวิตประจำวันแสนธรรมดาที่กว่าเขาจะได้มันมาก็ยากเสียเหลือเกิน เขาก็คงต้องอดทนเท่านั้นแหละ ชีวิตของคิมจองอู ไม่เคยได้อะไรมาฟรีๆ อยู่แล้ว
“ไปกันเถอะ ถ้าช้าฉันล็อกห้องนะ”
“ไอ้เด็กบ้า! รอกันก่อนสิ ฉันไปเอาโน้ตบุ๊กก่อน!”
“งั้นก็ไปเอามาแล้วตามลงมานะ แต่ยังไงก็รีบๆ หน่อยล่ะ”
“นี่! เดี๋ยวก่อนสิ โน้ตบุ๊กอยู่นี่ไง! รอกันด้วยสิ คิมจองอู! นี่!”
พอซองจูพูดจบ ก็รีบร้อนไปคว้าโน้ตบุ๊กที่อยู่ในห้องนั่งเล่นมา ก่อนจะเร่งฝีเท้าตามหลังเขามา น้ำเสียงพร่ำบ่นพร้อมกับต่อว่าเขาของซองจู วันนี้มันฟังดูอ่อนหวานเหลือเกิน จองอูระเบิดเสียงหัวเราะออกมา ขณะที่เปิดประตูห้องทำงานเข้าไป
วันนี้ชีวิตของคนทั้งคู่ก็ยังคงดำเนินต่อไปอย่างราบเรียบเหมือนเช่นเคย