ซองฮีกล่าวออกมาแบบนั้น พร้อมกับเสียงฮึที่ดังขึ้นมาให้ได้ยิน ดูจากการตอบกลับมาแล้ว แม้จะไม่ถึงขั้นชกต่อยกัน แต่ก็คงจะทำสงครามน้ำลายกันไปพอควร ทำให้จองอูได้แต่พรูลมหายใจออกมาเล็กน้อย
“เพลาๆ นิสัยแบบนี้บ้างเถอะครับ พอเห็นแบบนี้แล้วเหมือนใครอีกคนไม่มีผิดเลยนะ”
คำพูดนั้นทำให้ซองฮีหันมาจองอูด้วยสายตาเอาเรื่อง
“ไอ้เด็กนี่ โตขึ้นเยอะนี่”
“ร่างกายผมมันก็โตแบบนี้มานานแล้วนะครับ”
“แป้กมากเลยนะ”
เห็นสีหน้าเคร่งขรึมของซองฮีที่มีต่อคำพูดหยอกเย้านั่นแล้ว ทำเอาจองอูหลุดขำออกมา
ซองฮีนั้นเป็นคนซื่อสัตย์ต่อความรู้สึกนิดหน่อย เวลาเล่นมุกตลกออกไปก็ไม่ได้ทำหน้าตาย แต่ก็หัวร้อนง่ายเหมือนกัน ดังนั้นจึงไม่ใช่คนสไตล์ที่เข้ากับคนอื่นได้ง่ายต่างจากซองจู แต่จะให้บอกว่าซองจูเป็นคนที่พูดคุยด้วยง่ายๆ มันก็อย่างไรอยู่ อย่างไรเสียก็ช่างมันเถอะ
“แล้วสรุปว่าที่ทะเลาะกัน ชนะไหมครับ”
“ก็บอกว่าไม่ได้ทะเลาะไงวะ”
“ต้องมีชกกันแน่ๆ แบบนี้ ดูจากกระดาษคำถามแล้วนี่คงจะไม่รอด”
“คนที่ชอบพูดเรื่องไร้สาระออกมาแล้วทำร้ายตัวเองน่ะไม่ใช่พวกเรา แต่เป็นนายต่างหาก ก็แค่ใส่ใจนิดหน่อยแล้วมันอะไรกันนักกันหนา”
“พี่ใส่ใจมากเลยสินะครับ กับคนนั้นน่ะ”
คำพูดของจองอูแทงใจดำซองฮีเข้าอย่างจัง เจ้าตัวจึงได้ไม่พูดอะไรออกมาอีก
ซองฮีที่นั่งแผ่หลาไปกับเก้าอี้ ด้วยสีหน้าเรียบเฉยอยู่แบบนั้น เหมือนจะมีสายตาของจีฮุนคอยเหลือบมามอง แต่ทว่าจองอูก็แสร้งทำเป็นไม่รับรู้ แล้วทำเป็นมองดูกระดาษคำถามที่ถืออยู่ในมือเสีย
ตามที่ซองฮีพูด ถ้าให้คิดว่าเป็นการเก็บเบื้องหลัง ก็ไม่ใช่ว่าทำไม่ได้ แต่ทว่าตลอดเวลาสี่วันที่ต้องถูกใครที่ไหนก็ไม่รู้มาตามเก็บภาพ แล้วยังต้องคอยระวังคำพูดคำจาแบบนี้ จะให้สบายใจก็คงเป็นไปไม่ได้ จองอูพรูลมหายใจออกมา พร้อมกับยื่นกระดาษที่ถืออยู่ในมือคืนให้กับซองฮี
“ถ้าเกิดถามอะไรที่นอกเหนือจากในนี้ ไม่ตอบได้ไหมครับ”
“อือ ถ้าคำพูดไร้สาระถูกเอาไปออกอากาศ มันจะวุ่นวายเอาได้”
“นิสัยไม่ดีถึงขั้นนั้นเลยเหรอครับ”
จองอูแอบเหลือบสายตาไปมองจีฮุน พร้อมเอ่ยปากถามออกมา
มันดูเป็นอะไรที่ตรงกันข้ามกับท่าทางที่ดูตรงไปตรงมาแบบนั้น จองอูที่เอียงหัวอย่างครุ่นคิด แล้วก็มีเสียงของซองฮีดังเข้ามาให้ได้ยิน
“เปล่าหรอก ปัญหาก็คือไอ้นิสัยตรงเป็นไม้บรรทัดนั่นต่างหาก”
“มันเป็นปัญหายังไงครับ”
“ถึงเขาจะดูเป็นคนแบบนั้น แต่ว่าอันที่จริงคนที่จะมาคอยตามติดเรา แล้วก็ถามนู่นถามนี่น่ะเป็นคนอื่นหรอก คุณเขาน่ะเป็นถึงประธานบริษัท ก็ยังอุตส่าห์ลงมาดูสถานการณ์จริงด้วยตัวเองเป็นพิเศษ แต่กับงานตัดต่อน่ะ วางมือจากมันนานแล้วละ ยังไงซะโดยพื้นฐานแล้วมันก็แบบนั้นแหละ ถ้าใครสักคนปรับเรื่องเราให้มันแปลกไป ก็คงไม่มีใครรู้ ถ้าไม่ใช่คนที่เข้าข้างกันจริงๆ ยังไงก็ต้องคอยระวังไว้อยู่ดี”
“ถ้าเขามาได้ยินคงจะเสียใจแย่ สนิทกันไม่ใช่เหรอครับ”
“ฉันเนี่ยนะ ไม่ใช่สักหน่อย”
จองอูหันหน้าไปมองซองฮีราวกับว่า สิ่งที่ได้ยินมันเป็นเรื่องที่คาดไม่ถึงเลยสักนิด
“ทำไม”
“ไม่สนิทกันเหรอครับ”
“ไม่สนิท ถ้าเซจองก็ว่าไปอย่าง”
จองอูพยักหน้ารับคำพูดนั้นอย่างไม่ใส่ใจ เพราะเขาก็รู้ดีอยู่แล้วว่าหากซองฮีพูดว่าไม่ใช่ มันก็คือไม่ใช่จริงๆ นั่นแหละ แน่นอนว่ายกเว้นแค่เรื่องที่เกี่ยวกับฮันซองจู
“กับคุณคนนั้นมันก็ไม่ได้อะไรกันนักหรอก แค่คนรู้จักของเพื่อนน่ะ เป็นแค่คนรู้จักคนนึง ถึงจะรู้เรื่องราวเกี่ยวกับตัวฉันเยอะอยู่ แต่ก็ไม่ใช่คนที่อยากจะสนิทสนมให้มากนักหรอก ความสัมพันธ์มันค่อนข้างซับซ้อนน่ะ”
“อึดอัดแย่เลยนะครับ”
“ก็อะไรแบบนั้นแหละ”
ซองฮีพยักหน้าอย่างเห็นด้วยกับคำพูดของจองอู หากเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับมุนเซจองแล้ว ไม่มีเรื่องไหนที่มันไม่ซับซ้อนเลยสักเรื่อง
“แล้วกับคนนั้นล่ะครับ”
“ก็เหมือนกันแหละ”
“ไม่รู้ว่าจะโผล่มาเซ้าซี้อะไรหรือเปล่า”
“ในเมื่อพูดออกมาจากปากตัวเองแล้วว่าไม่มา ก็คงไม่มานั่นละครับ ถึงจะบอกว่าจะมา แต่มีการตั้งกล้องซ่อนเอาไว้ตอนกลางคืนด้วย ถึงมาก็คงไม่อยากพูดอะไรมากมายที่นี่นักหรอกครับ”
“เหรอ ยังไงชั้นสามก็ไม่เกี่ยวอยู่แล้ว ไม่เห็นเป็นไร”
“ครับ อันที่จริงผมก็ต้องขอบคุณพี่ด้วย”
จองอูกล่าวเช่นนั้นออกมาพร้อมรอยยิ้ม
ผลสรุปของการประชุมนับครั้งไม่ถ้วน ก็ได้มติว่าจะเปลี่ยนมาถ่ายทำแค่ภายในห้องซ้อมของวงคราฟท์ที่ชั้นสองเพียงเท่านั้น ถึงจะเรียกว่าห้องซ้อม แต่อันที่จริงแล้วก็เป็นสถานที่ที่คล้ายกับห้องอัดพอสมควร เพราะว่าการทำงานโดยส่วนใหญ่ก็ทำกันที่นี่ จึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องถ่ายทำไปถึงห้องทำงานของจองอูด้วย
เพื่อให้ทุกคนเข้าใจตรงกัน ต้องทำสงครามน้ำลายไปตั้งเท่าไหร่ แค่คิดถึงบรรดาทีมงานที่ไม่คิดจะฟังคำพูดของซองฮีเลยแม้แต่น้อยนั่นแล้ว ก็ปวดหัวตุบๆ ขึ้นมาเสียได้
“ยังไงซะ ฉันก็ไม่ได้พอใจเรื่องการถ่ายทำนี่นักหรอก”
บ่นพึมพำออกมาด้วยน้ำเสียงที่เบาพอจะไม่ไปถึงหูคนอื่นรอบตัว จองอูที่ยังรู้สึกคาใจ หันมองสำรวจไปรอบตัว ก็รู้สึกว่าเห็นด้วยกับคำพูดนั้น
“คนที่ไม่ชอบใจก็เห็นจะมีแค่พี่กับผมนะครับ”
“ไม่หรอก ไม่ใช่แค่นี้”
“มีใครอีกเหรอครับ”
“สองแฝดนั่นไง”
กล่าวออกมาแบบนั้นแล้วก็พยักพเยิดปลายคางไปทางมุมหนึ่งของห้องซ้อม ปรากฎภาพสองพี่น้องฮยอนจินกับแฮจินที่กำลังตั้งอกตั้งใจนั่งเรียงแถวเล่นเกมในมือถือกันอยู่
“สองคนนั้นก็ไม่ใส่ใจอะไร นอกจากเรื่องของตัวเองอยู่แล้วนี่ครับ”
“ก็งั้นแหละ”
จองอูได้แต่พยักหน้าอย่างเห็นด้วยกับการตอบรับอย่างไม่ใส่ใจและคำพูดเช่นนั้นของซองฮี ซองฮุนที่อยู่ไกลๆ จึงได้เดินเข้ามาใกล้พวกเขา
“สองคนน่ะ วางแผนอะไรกันอีกล่ะ ฮันซองฮี นายเลิกทำท่าทางบอกบุญไม่รับแบบนั้นสักทีเหอะ วอนโดนเตะปากว่ะ”
แล้วซองฮีก็ตอบโต้กลับไปที่ซองฮุนอย่างหยาบคาย
“เสือกเหอะ”
“แต่งงานแล้ว หัดรู้จักใช้สมองบ้างเหอะ เป็นเด็กหรือไงวะ”
“แต่งงานแล้วคนเราต้องเปลี่ยนด้วยเหรอ ถ้างั้นนายมันก็แค่เด็กอมมือสินะ วันๆ เอาแต่ตามติดจินซลอยู่แบบนั้นน่ะ”
“แล้วนายไม่ได้เป็นแบบนั้นกับฮเยจองหรือไง”
คำพูดเพียงคำเดียวจากซองฮุนผู้เย็นชา ทำเอาซองฮีสงบปากขึ้นมาได้
“เลซี่”
“ครับ”
ซองฮุนหันมองไปรอบๆ ก่อนนั่งลงข้างๆ จองอู แล้วทำท่าทางห้ามปรามจองอูที่ทำท่าจะลุกขึ้นมา ด้วยการดึงชายเสื้อของจองอูเอาไว้ แล้วค่อยๆ ส่ายหน้าไปมา
“แต่ว่า”
“ช่างเถอะ อย่าทำตัวน่ารำคาญน่า”
ซองฮุนกล่าวออกมาเช่นนั้น ก่อนจะกวาดสายตามองไปรอบๆ ห้องซ้อมที่แสนจะวุ่นวาย ใบหน้าติดเย็นชาของอีกคนนั้นไม่แสดงความรู้สึกใดๆ ออกมา จึงทำให้ไม่สามารถรับรู้ได้ว่าอีกฝ่ายกำลังคิดเรื่องอะไรอยู่กันแน่
“ก็เข้าใจอยู่หรอกนะว่าเป็นเพราะอะไรพวกนายถึงได้ทำสีหน้าซังกะตายกันแบบนั้น แต่ถือว่าขอร้องเหอะ ทนอีกแค่สามวันเท่านั้นแหละ เรื่องนี้คนอื่นก็ไม่ได้ยินดีด้วยนักหรอกนะ แต่ก็ต้องทำให้เป็นของขวัญพิเศษ ก็เลยต้องปล่อยไปตามนั้น เซจุนที่ยอมฟังคำเรียกร้องของพวกนาย ก็ต้องเหนื่อยพาจงซอบมาประชุมอยู่ตลอดทั้งอาทิตย์”
ปกติแล้วซองฮุนไม่ใช่คนที่จะมานั่งบ่นพร่ำเพรื่อ กลับกันแล้ว อีกคนมักจะก้าวออกมาเป็นผู้นำ แล้วจัดการมองภาพรวมของสถานการณ์ ก่อนจะทำหน้าที่จัดสรรหน้าที่ให้แต่ละคน หากเป็นเรื่องขี้บ่น ก็ต้องยกให้เป็นหน้าที่ของเซจุนผู้มีความกระตือรือร้นในการรับหน้ากับทุกสถานการณ์ แต่ว่าถึงขนาดที่ซองฮุนเข้ามาหา แล้วพูดถึงขนาดนี้แล้ว สีหน้าของพวกเขาทั้งคู่คงจะไม่ดีเอาเสียเลย ในตอนนั้นเองซองฮีก็เริ่มทำสีหน้าจริงจังขึ้นมา
“ขอโทษ ช่วงนี้ฉันคงอ่อนไหวไปหน่อย”
“รู้ก็ดี ก็ไม่ใช่ไม่เข้าใจความรู้สึกนายหรอกนะ พี่เขาก็บอกแล้วว่าจะไม่ออกมาเพ่นพ่าน ยังไงก็เชื่อคำพูดเขาบ้างเถอะ ถึงจะเป็นคนที่อารมณ์แปรปรวนขนาดไหน ก็ไม่ใช่คนที่ไม่เข้าใจสถานการณ์อะไรขนาดนั้น เรื่องนี้นายเองก็รู้ดีนี่”
ซองฮุนพูดทิ้งท้ายไว้แค่นั้น ก่อนจะลุกขึ้นจากที่นั่ง
“เดี๋ยวก็จะต้องเริ่มถ่ายแล้ว ก่อนถึงตอนนั้นก็จัดการอารมณ์ให้เรียบร้อยเสียละ”
แล้วเจ้าตัวที่ยังคงมีสีหน้าเรียบเฉยก็เดินไปทางสองแฝดที่ยังคงนั่งเล่นเกมกันอย่างไม่รู้สึกรู้สาอะไร ดูเหมือนว่าคงจะจัดการกับสองคนนั้นเป็นลำดับต่อไปสินะ จองอูมองภาพแผ่นหลังของซองฮุนที่กำลังพูดบางอย่างกับสองแฝด ก่อนจะเอ่ยปากออกมา
“พี่ซองฮุนเองก็ดูเปลี่ยนไปนะครับ”
“งั้นเหรอ”
“ครับ รู้สึกได้นิดหน่อยน่ะครับ”
“เพราะจินซลน่ะสิ”
ซองฮีเอ่ยถึงคนรักของซองฮุนออกมาอย่างไม่ใส่ใจ จองอูรอคอยคำพูดต่อไปที่จะออกมาจากปากนั้น พร้อมกับที่ผ่อนคลายไหล่ที่เกร็งอยู่ แม้จะเป็นคำพูดที่สุขุม แต่ว่าความโกรธก็ยังเผยออกมาให้สัมผัสได้ผ่านทางร่างกาย
“ถึงจะแกล้งทำเป็นไม่มีอะไร แต่ที่จริงซองฮุนก็เป็นพวกซับซ้อนที่สุด เจ้านั่นจะลนลานทุกครั้งหากเป็นเรื่องที่มีจินซลเข้ามาเกี่ยวด้วย ฉันเองรู้จักกับฮเยจองมาตั้งแต่ตอนอายุสิบปีกว่าๆ แต่ตลอดช่วงเวลานั้น เราก็คบๆ เลิกๆ กันซ้ำไปซ้ำมาอยู่แบบนั้น แต่เจ้านั่นน่ะ ตั้งแต่อยู่อนุบาลจนอายุปาเข้าไปสามสิบแล้วก็ทำได้แค่คอยแอบมองอยู่ข้างๆ ไม่รู้ว่าจะอึดอัดขนาดไหน พอความรู้สึกนั้นได้รับการตอบรับกลับมา ตอนนี้ถึงได้มีท่าทีสบายใจขึ้นมาได้ไงละ”
จองอูพยักหน้ารับคำพูดของซองฮีอย่างเงียบๆ
ครั้งแรกที่ได้เจอกับวงคราฟท์ก็เป็นช่วงนั้นพอดี
จองอูได้มาร่วมงานในอัลบั้มแรกที่ชื่อว่า ‘LOVESONG’ อัลบั้มที่มีคอนเซ็ปต์ไม่ต่างอะไรจากการเขียนจดหมายรักให้กับใครคนหนึ่ง เนื้อเพลงที่มีความสดใสและมุ่งมั่นเกี่ยวกับรักมากกว่าเพลงรักทั่วไป ซาวนด์ก็ดูสนุกสนาน มันมีเสน่ห์ที่ทำให้กระทั่งจองอูก็ยังสงสัยว่าเพลงนี้กำลังสารภาพกับใครกันแน่ ด้วยบทเพลงที่ดูคล้ายกับบุคลิกของเซจุน จึงได้คิดว่าอีกคนเป็นคนเขียน แต่แท้จริงแล้วเจ้าของตัวจริงกลับเป็นมินซองฮุนที่เขาไม่มีทางจะคาดคิดถึง
ซองฮุนที่มีบรรยากาศเย็นชากระจายอยู่รอบตัวแบบนั้น กลับใช้อัลบั้มเป็นสื่อในการบอกความในใจให้กับรักข้างเดียวของตัวเอง และขอให้มาเป็นคนรักกัน ทุกครั้งที่ได้ฟัง จองอูยังคิดว่าเรื่องราวแบบนั้นคงไม่มีทางเกิดขึ้นกับตัวเองได้
แต่ทว่าความรักที่คิดว่าเป็นเรื่องเพ้อฝันและไร้ประโยชน์นั่น สุดท้ายแล้วตัวเขาเองเมื่อได้พบซองจู ได้รักกัน แล้วจึงได้พบเจอความสงบ
คนเราเปลี่ยนไปได้ด้วยคนคนหนึ่ง
เมื่อได้ตระหนักเรื่องความแน่นอนของชีวิตในวันที่สายไป เด็กน้อยในร่างผู้ใหญ่จึงยังคงสับสน แต่ทว่ากระทั่งความสับสนนั้นก็ยังเป็นผลดีต่อชีวิตของเขา มันทำให้จองอูได้เจอกับความสนุกสนาน
“เราน่าจะลุกกันได้แล้ว”
“นั่นสิ เจ้าเซจุนก็เอาแต่มองมาทางเราตั้งแต่เมื่อกี้แล้วด้วยสิ”