ทั้งสองคนค่อยๆ ลุกขึ้นจากเก้าอี้ที่นั่งอยู่ แล้วเดินเข้าไปทางที่บรรดาสมาชิกทั้งหลายรวมตัวกันอยู่ เพียงแค่สี่วันเท่านั้น จะว่าสั้นมันก็สั้น จะว่ายาวมันก็ยาว แล้วการถ่ายทำยาวนานก็เริ่มต้นขึ้น
“เอาล่ะ เริ่มแล้วนะครับ พร้อม เริ่มได้!”
หลังสิ้นเสียงตะโกนให้สัญญาณ เสียงฝ่ามือสองข้างกระทบกันก็ดังก้องออกมา
วันนี้ก็นับเป็นการเริ่มต้นวันใหม่อีกครั้ง
การถ่ายทำนั้นดำเนินไปอย่างราบรื่นกว่าที่คิด
อาจเป็นเพราะว่าได้วางแผนป้องกันตั้งแต่ต้นมาอย่างดี พีดีที่ยังดูเป็นน้องใหม่คนนั้นจึงได้เลือกใช้คำถามอย่างเหมาะสมตามบทที่วางไกด์ไลน์เอาไว้ แน่นอนว่าไม่ใช่ไม่มีคำถามที่ไม่คาดคิดเลย แต่ก็ไม่ได้ล่วงล้ำข้ามเส้นเข้ามาข้องเกี่ยวกับเรื่องส่วนตัวของบรรดาสมาชิกวงคราฟท์
พวกเขาต่างทำออกมาได้อย่างพอดี แล้วก็ตอบคำถามไปทั้งหมด ทำให้จองอูนั้นแทบไม่ต้องทำอะไรเลย เขาเพียงทำงานของตัวเองอย่างเงียบๆ อยู่ที่มุมหนึ่ง แล้วก็คอยตอบคำถามที่นานๆ จะมีมาสักครั้งอย่างไม่ใคร่ใส่ใจอะไรนัก ถ้าเท่านี้ก็คงพอทนได้
“ว่าแต่ ทำงานแบบนี้ตลอดเลยเหรอครับ”
“ครับ?”
“ปกติแล้วโปรดิวเซอร์ควรเสนอความเห็นเยอะๆ แล้วก็พยายามมีส่วนร่วมอย่างจริงจังไม่ใช่เหรอครับ”
“ผมแค่โคโปรดิวเซอร์เองนี่ครับ ยังไงก็ต้องฟังความเห็นของสมาชิกก่อน”
“อย่างนั้นเองเหรอครับ”
“ครับ แบบนั้นแหละครับ”
ไม่สิ แน่ละว่า ก่อนหน้านี้ก็พอจะทนไปได้อยู่ หากตอนนี้เพราะจีฮุนที่จู่ๆ ก็ยิงคำถามมาที่เขาอย่างกะทันหัน เลยทำให้ทำตัวไม่ถูกขึ้นมาเสียอย่างนั้น คำถามที่ไม่คาดคิดนั้น เมื่อรับรู้ได้ว่าถูกสายตาของคิมจีฮุนมองมายังตัวเขาเองที่ตอบออกไปอย่างฉุกละหุกแบบนั้น จองอูก็ยิ่งตกอยู่ในสภาพที่ไม่รู้ว่าควรจะต้องทำอย่างไรต่อไปดี
“หมดคำถามแล้วใช่ไหมครับ”
จีฮุนไม่ได้ตอบกลับคำถามที่เหมือนคำขอร้องให้พอเท่านี้ ใบหน้าเรียบนิ่งนั่นไม่ได้แสดงอารมณ์ใดออกมา จีฮุนที่มีบุคลิกดูตรงไปตรงมา หน้าตาเหมือนพวกนักเรียนตัวอย่างเพียงมองมาที่จองอูนิ่งๆ แล้วจึงพยักหน้าเล็กน้อยกลับมา
“ครับ หมดแล้วครับ”
จองอูที่แทบไม่อยากยอมรับเลยว่า ตัวเองจะถึงกับพรูลมหายใจอย่างหนักออกมา ทันทีที่คำพูดนั้นถูกกล่าวออกมา ก่อนจะเบนสายตากลับไปยังแผงควบคุมอีกครั้ง ที่ตรงหน้านั่น ซองฮุนกำลังยืนจูนสายเบสอยู่
“เทคแรกเริ่มเลยนะครับพี่”
จองอูเปิดไมค์ พร้อมกล่าวกับซองฮุนที่อยู่ในห้องอัดเสียง ซองฮุนที่กำลังหมุนจูนเนอร์ไปมาพร้อมกับซาวน์เช็คอยู่นั่น ไม่ได้กล่าวอะไรออกมา เพียงแค่ส่งสัญญาณมือเป็นรูปโอเคกลับมาแค่เพียงเท่านั้น เมื่อจองอูแน่ใจแล้วว่าซองฮุนจัดการจูนเสียงเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ก็ส่งสัญญาณมือให้ซองฮุนเปิดแทร็กเพลงในส่วนที่จะอัดเสียง แล้วจึงจัดการกดปุ่มบันทึกทันที
การเล่นดนตรีของซองฮุนนั้นไร้ที่ติ เวลาอัดเสียง บรรดาสมาชิกวงคราฟท์แทบไม่เคยต้องอัดกันทีละหลายๆ รอบ หากเป็นไปได้ก็เลือกที่จะจบมันในเทคเดียว เพราะหากต้องอัดใหม่ในส่วนใดส่วนหนึ่งแล้ว ก็จะต้องมีการตัดต่อซึ่งไม่ว่าจะมองอย่างไรมันก็เป็นงานที่ไม่ได้คุณภาพ แต่ว่าผลที่ออกมานั้นแทบไม่เคยเป็นแบบนั้นเลย หากถามว่าทำไม นั่นเพราะจองอูมักทำตามข้อเสนอของสมาชิกคนอื่นๆ อยู่เสมอ
การได้ทำงานกับวงคราฟท์ มันทำให้เขาได้เปิดมุมมองให้กว้างมากยิ่งขึ้น
จองอูที่ไม่เคยเรียนรู้เรื่องดนตรีอย่างจริงจังนั้น ทำให้มีสไตล์การทำเพลงที่ค่อนข้างแคบ ไม่ค่อยมีความเป็นศิลปะนัก แต่ว่าเพราะเขาหาวิธีการพัฒนาที่เหมาะกับตัวเองที่สุดได้ จึงทำให้เป็นคนที่ไม่ค่อยแย้งหรือยึดติดกับอะไรที่ไร้สาระมากนัก ด้วยสาเหตุนั้น การมารับหน้าที่เป็นโปรดิวเซอร์ทำงานร่วมกับวงคราฟท์หรือศิลปินคนอื่น มันจึงทำให้เขาเปลี่ยนแปลงไปบ้าง กับคนที่ไม่ค่อยได้รับโอกาสที่เหมาะสม การเปลี่ยนแปลงนี้นับเป็นสิ่งสำคัญมาก
“ทำไมเหรอครับ โอเคนะพี่”
จองอูตกอยู่ในภวังค์ความคิด ขณะฟังเสียงดนตรีของซองฮุนไปด้วยนั้น เสียงเบสที่หยุดชะงักไปอย่างกะทันหัน ทำให้เจ้าตัวเปิดไมค์ขึ้น พร้อมกับเอ่ยถามซองฮุนที่อยู่ในห้องอัด ซองฮุนขยับเข้ามาใกล้ไมค์พลางทำหน้านิ่วคิ้วขมวด
“เสียงอะไรน่ะ เสียงแบบเคี้ยวฟัน ฉันคงไม่ได้ทำเสียงแบบนั้นออกไปตอนเล่นหรอกใช่ไหม”
ซองฮุนที่เอ่ยถามออกมาด้วยสีหน้าเคร่งเครียดนั่น ทำให้จองอูได้แต่ยกยิ้มเจื่อนๆ ให้ ถึงจะบอกว่าเป็นเสียงเคี้ยวฟัน แต่มันก็เบามาก เป็นเพียงเสียงที่ดังเท่าฝุ่นผงก็เท่านั้น มีแค่ไม่กี่คนที่จะฟังแล้วรับรู้ได้ถึงขนาดนี้ แล้วก็ช่วยไม่ได้ที่เขาคนนั้นดันเป็นพวกชอบความสมบูรณ์แบบ ถึงปกติจะเป็นพวกที่ค่อนข้างเย็นชาและนิ่งเฉย หากเกี่ยวกับเรื่องดนตรีแล้ว ยิ่งเพิ่มความจริงจังเข้าไปอีก ไม่ยอมให้มีการผ่อนปรนใดๆ นั่นละมินซองฮุน เท่านี้จองอูก็รู้แล้วว่าต้องเตรียมอัดใหม่อีกครั้ง
“เข้าใจแล้วครับ รอบนี้อย่าให้ผิดอีกนะครับ”
จองอูกล่าวสำทับอีกครั้งกับจองฮุนที่คลายนิ้วออกจากเบส แล้วจึงเปิดแทร็กเพลงอีกครั้งหนึ่ง
“ซองฮุน นายมีอะไรหรือเปล่า”
สีหน้าของเซจุนที่กำลังเฝ้ามองท่าทางของคนทั้งคู่อยู่ด้านข้างนั้นเคร่งเครียดขึ้นมา พวกเขาทั้งสองคนที่อยู่ในตำแหน่งที่ปรึกษากับหัวหน้าวงถูกจับคู่กันให้มารับผิดชอบในส่วนเบสไลน์ของวง ตัวเซจุนที่มองออกทั้งในส่วนของข้อดีและข้อเสียระหว่างกันจนทะลุปรุโปร่ง ไม่อาจเมินเฉยกับคำพูดในตอนนี้ได้ จองอูเหลือบมองไปทางซองฮุนที่กำลังเล่นดนตรีอย่างตั้งใจ แล้วจึงได้กล่าวกับเซจุน
“จบเทคนี้แล้ว ลองไปคุยกันดูหน่อยไหมครับ”
“เอางั้นก็ได้”
“ถ้าอย่างนั้นผมจะออกไปก่อน ระหว่างนี้จะไปพักสักหน่อย คุยกันเสร็จแล้วก็ค่อยเรียกผมนะครับ”
“จะไปไหนล่ะ”
“จะขึ้นไปชั้นสามน่ะครับ”
“โอเค คงประมาณสามสิบนาทีแหละ อาจจะเร็วกว่านั้นด้วยซ้ำ”
“โอเคครับ”
จองอูลุกจากที่นั่งก่อนที่จะอัดเสียงเสร็จเสียด้วยซ้ำ ส่งสัญญาณมือให้ซองฮุนที่กำลังอยู่ระหว่างเล่นดนตรีว่าจะออกไปข้างนอกแล้วจะกลับมา จากนั้นจึงรีบร้อนออกจากชั้นสองไป เดินฝ่าบรรดาทีมงานและกล้องที่ติดไว้ทั่วห้องออกจากห้องซ้อมไป เมื่อออกมาหยุดยืนตรงทางเดินด้านนอก เขาก็พรูลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก
“เฮ้อ…”
จองอูนั่งลงตรงบันไดที่เชื่อมขึ้นไปยังชั้นสาม
ความคิดที่ไม่ยินดีกับการถ่ายทำครั้งนี้ยังคงวนเวียนอยู่ตลอดเวลา เขาเพียงทำตามที่ถูกบีบบังคับมา ยอมปิดตา แล้วถ่ายๆ ให้จบไปเท่านั้น ทั้งที่เรื่องมันก็มีเพียงเท่านั้น แต่ทำไมต้องถามอะไรแบบนั้นออกมา เพื่อทดสอบความอดทนกันอย่างนั้นเหรอ หากคำถามนั้นมันผิดแปลก ก็คงได้แสดงท่าทีไม่พอใจออกมาแล้ว แต่เพราะดูเหมือนจะถามออกมาด้วยความสงสัย จึงทำให้ไม่อาจแสดงท่าทีอะไรออกมาได้ คนแบบคิมจีฮุนที่ได้เฝ้าสังเกตมาตลอดทั้งวันนั้น ดูไม่น่าจะทำตัวไร้สาระแบบนั้น ด้วยท่าทางที่ดูเป็นพวกไม่ชอบเซ้าซี้ ก็ไม่น่าจะโยนคำถามแปลกๆ มาให้จองอูซึ่งไม่ใช่คนที่มีส่วนสำคัญในสารคดีนี้เลย
“พักตรงนี้ดีไหมนะ”
จองอูพึมพำออกมาเช่นนั้น พร้อมกับยกมือกุมศีรษะ ถึงจะบอกว่าใช้เวลาประมาณสามสิบนาที แต่ว่า เมื่อคิดว่าตัวเขากำลังรออยู่ ทั้งเซจุนและซองฮุนคงจะใช้เวลาคุยกันไม่นานนักหรอก ทว่าก่อนจะได้คิดอะไรต่อไปอีก ประตูห้องซ้อมที่ปิดอยู่ก็ถูกเปิดออก
“อ้าว”
เงยหน้าขึ้นมาเพราะคาดการณ์ไว้แล้วว่าอาจจะเป็นแบบนี้ ก็เห็นจีฮุนที่ปิดประตูลง พร้อมกับหันมามองเขาซึ่งนั่งอยู่ตรงบันได
“อยู่นี่เองเหรอครับ”
จีฮุนกล่าวกับจองอูด้วยสีหน้าที่ไม่ได้แสดงอารมณ์ใดๆ จองอูเองจึงเผลอผุดลุกพรวดขึ้นจากที่นั่งอยู่โดยไม่รู้ตัว
“อ้า ครับ มีอะไรหรือเปล่า…”
น่าแปลกที่เขาพูดกับคิมจีฮุนไม่ได้อย่างที่ใจคิด จองอูสบตากับจีฮุนที่มองมายังตัวเขา พร้อมกับใช้สองมือปัดไปบนกางเกงยีนส์ที่สวมอยู่
“ฮันซองจูสบายดีใช่ไหมครับ”
“ครับ?”
แต่ทว่าคำพูดที่ออกมาจากปากจีฮุนนั้น กลับเป็นเรื่องที่คาดไม่ถึง จองอูมองไปยังจีฮุนด้วยใบหน้าที่เหวอไปครู่หนึ่ง ก่อนที่หัวคิ้วนั้นจะย่นเข้าหากัน
“อยากจะพูดอะไรกันแน่ครับ”
“เห็นซองฮีบอกว่าคุณสนิทกับฮันซองจูนี่ครับ”
“คำถามนั้นไปถามกับเจ้าตัวไม่ดีกว่าเหรอครับ”
จองอูที่ลืมว่าเคยพยายามรักษาระยะห่างระหว่างอีกคนได้เผลอหลุดปากออกไป ไม่ใช่ว่าเขาไม่รู้เรื่องราวระหว่างคนพวกนั้น การถูกทดสอบด้วยวิธีนี้ยิ่งทำให้ไม่พอใจมากขึ้นไปอีก
“ไม่ใช่ว่าถามแล้วเขาจะยอมตอบออกมาตรงๆ นี่ครับ”
“ถามจากพี่ซองฮีก็ได้ไม่ใช่เหรอครับ”
“ไม่รู้สิครับ มันเหมือนเขาจะไม่ตอบน่ะสิครับ ตอนนี้เหมือนเขาจะไม่ชอบใจผมสักเท่าไร”
“ยังดีที่รู้ตัวนะครับ”
เขาเผลอตัวตอบกลับด้วยคำพูดที่ไม่น่าฟังเท่าไร ทำเอาจีฮุนถึงกับหน้าตึง
“ไม่ยักรู้ว่าคุณจองอูก็ไม่ชอบใจตัวผมด้วยนะครับเนี่ย”
จองอูที่ได้ฟังคำตอบรับที่มาพร้อมสีหน้าลำบากใจนั้น ก็ได้แต่อ้าปากค้าง ก่อนจะพรูลมหายใจออกมา
“เฮ้อ…มันไม่ใช่เรื่องที่เหมาะจะคุยกันที่นี่หรอกนะครับ ตามผมมาเถอะ”
กล่าวออกมาเช่นนั้น พร้อมกับเดินขึ้นไปยังชั้นสามซึ่งเป็นที่ตั้งของห้องทำงานของเขา
กริ๊ง
ผ่านประตูเหล็กเข้าไป จากนั้นจึงเปิดประตูที่ถูกทาด้วยสีดำสนิท เสียงกระดิ่งก็ดังขึ้นในทันที เมื่อห้องทำงานนี้ตกแต่งเรียบร้อย ซองจูก็เอาเจ้ากระดิ่งรูปนกที่กำลังแกว่งไกวไปมาอยู่นี้มาห้อยไว้ที่ประตูเพื่อเป็นของขวัญให้เขาทันที จองอูก้าวเข้าไปภายในห้องทำงานอย่างช้าๆ ก่อนจะหันกลับมามองด้านหลัง
“ปิดประตูให้ด้วยนะครับ”
“อ้า ครับ”
จีฮุนตรวจเช็คว่าประตูนั้นว่าปิดแน่นดีแล้วตามคำพูดของอีกคน ก่อนจะขยับก้าวตามเข้ามาในห้องทำงาน
บรรยากาศของที่นี่ดูจริงจังกว่าห้องซ้อมของวงคราฟท์อยู่มาก
ห้องอัดเสียงที่กินพื้นที่กว่าครึ่งของห้องทำงาน แผงควบคุมก็ให้กลิ่นอายของความมืออาชีพกว่าที่ชั้นสองอย่างมาก รอบด้านจัดวางด้วยอุปกรณ์เครื่องไม้เครื่องมือและคอมพิวเตอร์ไว้อย่างเป็นระเบียบ เครื่องดนตรีที่วางเรียงอยู่ ทำให้รู้สึกเกร็งขึ้นมาเล็กน้อย หากว่าบรรยากาศที่ชั้นสองนั้นให้ความรู้สึกที่เป็นอิสระเหมือนภาพลักษณ์ของวงคราฟท์ บรรยากาศของที่นี่ก็สะท้อนตัวตนของศิลปินที่ชื่อว่าเลซี่ออกมาได้เป็นร้อยเท่า
‘ฮันซองจูเองก็ตกบ่วงภาพลักษณ์นี้สินะ’
จีฮุนที่รับรู้เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างจองอูกับซองจูอยู่แล้วนั้น คิดเช่นนั้นออกมาพร้อมกับกวาดสายมองไปรอบๆ
“เชิญทางนี้เถอะครับ ถ้าสะดวกจะอยู่ตรงนั้นก็แล้วแต่นะครับ”