โดยไม่ทันรู้ตัว จองอูก็ถือเครื่องดื่มที่เอาออกมาจากตู้เย็นซึ่งตั้งอยู่มุมหนึ่งของห้องทำงานเดินเข้ามาทางจีฮุน มือหนึ่งถือขวดน้ำส้มเย็นเจี๊ยบเอาไว้ แล้วเดินเนิบๆ ไปยังโซฟา มองปราดเดียวก็รับรู้ได้แล้วว่าชุดโซฟาสุดหรูที่ตั้งอยู่นี้ มันช่างแปลกแยกไม่เข้าพวก จองอูนั่งลงที่ตรงนั้นพร้อมกับมองไปทางจีฮุน อย่างไรเขาก็ไม่ได้ก้าวเท้าเข้ามาที่นี่ด้วยตัวเอง จึงทำให้เกิดรู้สึกหวาดหวั่นอยู่บ้าง จีฮุนค่อยๆ ก้าวเดินไปทางโซฟา
“มีอะไรอยากจะพูดเหรอครับ”
จองอูเอ่ยถามอย่างตรงไปตรงมากับคนที่นั่งฝั่งตรงข้าม จีฮุนเผลอขมวดคิ้วให้กับคำถามนั้นโดยไม่รู้ตัว
“เปล่านี่ครับ ผมไม่ได้มีคำถามอะไรแบบนั้น แค่จะถามความเป็นอยู่ทั่วไปก็เท่านั้น”
“ถ้างั้นก็ถามกับเจ้าตัวเอาเองสิครับ อย่ามาคาดคั้นกับผมเลย”
“คุณนี่พูดเก่งกว่าที่คิดนะครับ ปกติถ้าไม่ใช่เรื่องเกี่ยวกับดนตรี ก็เอาแต่ถามคำตอบคำอยู่ตลอด”
จองอูเพียงแสดงสีหน้าเฉยชาให้กับจีฮุนที่ไม่ได้ตอบคำถามที่ถูกถามออกมาโดยตรง แล้วยังเอาแต่พูดอะไรไปเรื่อยเปื่อย
“ผมก็ไม่ได้พอใจที่ท่านประธานมาทำท่าทางแบบนี้กับผม”
“นั่นผมเองก็เหมือนกันแหละครับ”
“ถ้าอย่างนั้น มาถามเรื่องคนนั้นทำไมกันครับ”
“นั่นมัน เพราะมีคนเขาสงสัยน่ะสิครับ”
คำพูดนั้นทำให้หัวคิ้วของจองอูยิ่งขมวดเข้าหากันแน่น
“คุณคิมจีฮุน ไม่สิ ท่านประธานคิมจีฮุน”
“เรียกแบบที่สบายใจเถอะครับ”
“นั่นไม่ใช่ประเด็นในตอนนี้นะครับ”
จองอูเผลอแสดงอารมณ์ออกมาโดยไม่รู้ตัว ดูเหมือนเขาจะก้าวออกมาไกลเกินกว่าที่จะยอมปล่อยผ่านไปเฉยๆ ได้
“ผมไม่ชอบใจที่คุณมุนเซจองกับคุณคิมจีฮุนเข้ามาก้าวก่ายในชีวิตผมแบบนี้”
“พวกเราไม่เคยเข้าไปก้าวก่ายชีวิตของคุณคิมจองอูเลยนะครับ”
“ไม่คิดว่าก้าวเข้ามาแล้วบ้างเหรอครับ”
“ยังไงล่ะครับ”
“การที่พวกคุณมาข้องเกี่ยวกับคนนั้น มันก็ไม่ต่างจากการเข้ามาก้าวก่ายชีวิตผมหรอกนะครับ”
จองอูกล่าวเช่นนั้นออกมาด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์อย่างยิ่ง สีหน้าของจีฮุนที่ได้ยินคำตอบนั้นจากจองอูก็ไม่ได้ต่างกันนัก
“การที่ผมเกี่ยวข้องกับฮันซองจู มันเหมือนเกี่ยวข้องกับคุณด้วยอย่างนั้นเหรอ”
“ครับ แต่ก็ยังมีที่ไม่ถูกต้องอยู่นะครับ”
สีหน้าของจองอูที่พยักหน้ารับเช่นนั้น พร้อมกับจ้องมองกลับมาดูเอาเรื่องอย่างมาก แม้จะดูเป็นคนที่ซับซ้อนอยู่บ้าง แต่คงเข้าใจผิดไปที่คิดว่าอีกคนนั้นเย็นชาและอ่อนแอ คิมจองอูน่ะ เป็นคนที่เหมือนโดเบอร์แมนที่หลุดออกจากการควบคุมไปเสียแล้ว
“เข้มแข็งกว่าที่คิดนะ”
จีฮุนพึมพำออกมาเช่นนั้น จองอูที่มองมาราวกับถามว่ากำลังพูดบ้าอะไรอยู่นั้น ทำให้เขาเพียงยกยิ้มมุมปาก พร้อมกับยกมือทั้งสองข้างขึ้นอย่างยอมจำนน
“เดี๋ยวนะ อย่ามองกันแบบนั้นสิครับ ตอนที่โปรเจกต์นี้เกิดขึ้นมา ซองฮีบอกเป็นร้อยๆ รอบว่าห้ามแตะต้องคุณ ผมก็เลยคิดว่าคนที่ชื่อคิมจองอูน่ะเป็นพวกอ่อนแอ พอมาถ่ายทำจริงๆ ก็ไม่ค่อยได้พูดอะไรกันมากนัก ก็เลยทำให้เข้าใจไปแบบนั้น เหมือนจะไม่ใช่อย่างนั้นสินะครับ คุณเป็นคนเข้มแข็งมาก”
จีฮุนพูดออกมาเช่นนั้น พร้อมกับส่ายหน้าไปมาเล็กน้อย
“ยังไงก็เถอะ คนที่ฮันซองจูเลือก ไม่มีทางอ่อนแออยู่แล้ว”
“คุณ…”
ในตอนที่กำลังจะหลุดคำพูดบางอย่างออกไปให้กับจีฮุนที่กล่าวออกมาแบบนั้น จู่ๆ เสียงกระดิ่งก็ดังกังวานขึ้นมา แล้วเสียงตะโกนก้องก็ดังตามมาให้ได้ยินอย่างไม่รั้งรอ เสียงตะโกนก้องทำให้เกิดความเงียบขึ้นชั่วขณะ แต่นั่นไม่ใช่ประเด็นในตอนนี้
“นี่ ทำอะไรอยู่น่ะ!”
น้ำเสียงอันแสนคุ้นเคยทำให้จองอูชะโงกหน้าไปมองทางประตูด้วยความตกใจ แล้วใบหน้าที่ตอนนี้มีเส้นเลือดปูดนูนขึ้นมาบนหน้าผากสวยของซองจูก็ปรากฏสู่สายตาในทันที
ครืด ครืด
มิหนำซ้ำโทรศัพท์ที่ถืออยู่ในมือตอนนี้ก็เริ่มสั่นครืดคราดอย่างบ้าคลั่ง ดูท่าคงจะโทรมาส่งข่าวบางอย่าง เซจุนกำลังตามตัวจองอูอยู่
“ไม่เจอกันนานเลยนะ”
“คิมจีฮุน นายมาทำอะไรที่นี่”
ท่าทางของจีฮุนที่ทำเป็นตีหน้าซื่อเอ่ยทักทายออกมาแบบนั้นยิ่งทำให้ซองจูก้าวเข้ามาใกล้ด้วยอารมณ์ที่คุกรุ่นจนแทบระเบิด ท่าทางเอาเรื่องแบบนั้นทำให้จีฮุนได้แต่ยกยิ้มเจื่อนออกมาด้วยความตระหนก
“เดี๋ยวสิ ต้องหัวร้อนแบบนั้นเลยหรือไง”
“นายคิดจะทำอะไรกับเจ้าเด็กนี่”
จองอูลุกพรวดขึ้นมา แล้วเดินเข้าไปหาซองจูที่มีท่าทางพร้อมจะเข้าไปปะทะได้ในทันทีแบบนั้น
“เดี๋ยวก่อน ใจเย็นก่อน นายตื่นตูมเกินไปแล้ว”
คำพูดนั้นทำให้ซองจูหันไปมองจองอูด้วยสีหน้าขมวดมุ่น
“ไม่ได้โดนหมอนี่ทำอะไรใช่ไหม”
“ฉันดูเป็นคนแบบนั้นหรือไง”
คำตอบนั้นทำให้พอวางใจขึ้นมาได้บ้าง ซองจูหน้างอพร้อมกับบ่นพึมพำออกมา
“ปากดีจริงนะ…”
จีฮุนที่มองดูท่าทางเช่นนั้นอยู่ก่อน ได้แต่บ่นออกมาด้วยสีหน้าที่คล้ายกับว่านี่เขากำลังดูอะไรอยู่กันแน่
“พระเจ้า นี่มันอะไรเนี่ย”
คำพูดนั้นทำให้ซองจูขมวดคิ้วเข้าหากันอีกรอบ พร้อมกับจ้องเขม็งไปที่จีฮุน
“อย่ามาทำเป็นล้อเล่น ไหนว่าจะไม่มาโผล่ที่นี่ แล้วมาที่นี่ได้ยังไงกัน คุณคิมจีฮุน”
คำพูดนั้นทำให้จีฮุนฉุนเฉียวขึ้นมาบ้าง ไม่สิ เขาไปสร้างเรื่องอะไรให้คู่รักคู่นี้หรืออย่างไรกัน แค่มาถามความเป็นไปก็แค่นั้นแท้ๆ จีฮุนโต้กลับไปด้วยความรู้สึกที่เหมือนไม่ได้รับความเป็นธรรม
“คือว่า เดี๋ยวนะ ฉันแค่มาถามความเป็นไปของนายแค่นั้นเอง คนที่ทำเกินไปน่ะ มันพวกคุณมากกว่าไหม”
“แล้วมาถามความเป็นไปของฉันทำไม”
“เพราะเซจองสงสัยน่ะสิ ไม่ใช่แบบนั้นจะไปมีเหตุผลอะไรอีกล่ะ”
คำพูดของจีฮุนที่ตอบกลับมาเหมือนกับว่าถามอะไรกับเรื่องแบบนี้ ทำเอาห้องทำงานเกิดความเงียบขึ้นมาชั่วขณะ จบคำนั้นก็ไม่มีใครเอ่ยปากพูดอะไรออกมาอีกเลย ซองจูที่มีสีหน้านิ่งเฉยกับจองอูที่ก้มมองซองจูซึ่งมีท่าทางเช่นนั้นอยู่ก็ปิดปากเงียบไปเสียอย่างนั้น ภาพของคู่รักตรงหน้าซึ่งมีสีหน้าไม่สบายใจผุดขึ้นมาโดยไม่รู้ตัวก็ปรากฏสู่สายตาของจีฮุน บรรยากาศอันหนักอึ้งโอบล้อมคนทั้งสามเอาไว้
ครืดดด
ท่ามกลางบรรยากาศนิ่งเงียบจนแทบไม่ได้ยินเสียงหายใจนั้น เกิดมีเสียงของเครื่องมือสื่อสารดังออกมา ในตอนนั้นเองจองอูก็นึกขึ้นได้ว่าเซจุนกำลังตามหาเขาอยู่
“อ้า อัดเสียง…”
ซองจูที่มองเห็นท่าทางละล้าละลังอย่างทำอะไรไม่ถูกของจองอู จึงได้กล่าวขึ้น
“ต้องรีบไปไม่ใช่เหรอ”
“แต่ว่า”
“ไปเถอะ ทางนี้ฉันจัดการได้ นายไปทำงานเถอะ”
ซองจูที่สีหน้ากลับมานิ่งเฉยอีกครั้งแล้ว ดันแขนของจองอูไป แต่ทว่าร่างกายแข็งแรงนั้นกลับไม่มีทีท่าว่าจะขยับเขยื้อนเลยแม้แต่น้อย
“ถ้านายไม่ไป พวกนั้นก็จะไม่สบายใจเอานะ หายไปทั้งคู่แบบนี้ คงไม่อยู่เฉยกันหรอก อีกอย่างก็กำลังถ่ายอยู่ไม่ใช่เหรอ ถ้าตัดต่อไม่ได้ตามแผน มันจะเป็นเรื่องใหญ่เอานะ รีบไปเถอะ”
ซองจูกล่าวออกมาเช่นนั้นพร้อมกับเร่งรัดจองอู แต่จองอูที่มีสีหน้าไม่สบายใจนั้นกลับไม่ยอมขยับเลยสักก้าว
“ไม่ต้องห่วง ไม่ก่อเรื่องแน่นอน”
พูดสำทับไปอีกครั้ง ในตอนนั้นเองจองอูจึงได้กำโทรศัพท์แน่นจนแทบหักคามือ แล้วจึงก้าวเท้าออกไปหนึ่งก้าว
“มีอะไรโทรมานะ”
“คิดมากน่า…ช่างเถอะรีบไปได้แล้ว ฉันไม่อยากได้ยินฮันซองฮีมาตามบ่นฉันทีหลังหรอกนะ”
“อื้อ ไปนะ”
จองอูทิ้งท้ายไว้เท่านั้น ก่อนจะค่อยๆ ออกไปจากห้องทำงาน ซองจูมองตามแผ่นหลังที่แข็งแกร่งนั้นไป จนกระทั่งลับหายออกไปนอกประตูแล้ว จึงได้หันกลับมาหาจีฮุนซึ่งนั่งอยู่ที่โซฟา สีหน้าก็เย็นชาขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว
“หยุดก่อกวนสักที แล้วก็ไสหัวไปซะ”
“ฉันยังไม่ได้ไปก่อกวนอะไรเลยด้วยซ้ำ แค่มาถามความเป็นอยู่ก็เท่านั้น แค่นั้นก็ผิดด้วยหรือไง”
จีฮุนโพล่งถามออกมาอีกครั้ง
ไม่ว่าจะคิดอย่างไร สองคนนี้ก็ดูมีอะไรแปลกๆ อยู่ แค่ถามไถ่ทั่วไปเองนะ จะดีจะร้ายอย่างไรก็คือคนที่รู้จักกัน ถามไถ่ความเป็นอยู่ไปตามมารยาทแค่นั้นมันก็ไม่น่ามีปัญหาอะไร อย่างไรก็เกี่ยวข้องกับสองคนนี้อยู่แล้วแต่กลับบอกว่าจีฮุนไม่มีสิทธิ์ก้าวก่าย
“ถ้าสงสัยนัก แค่ตามดูเอาจากข่าวก็ได้นี่ อย่ามาก่อกวนคนรอบตัวฉัน หรือไม่ก็ไปถามฮันซองฮีสิ เจ้านั่นก็คงจะตอบคำถามให้อยู่แล้ว ในเมื่อพวกนายก็ยังมีสายสัมพันธ์กันอยู่”
“ทำไมต้องพูดจาขนาดนี้ด้วย”
“ถ้ามาพัวพันกับพวกนาย เจ้านั่นก็จะไม่สบายใจ ฉันทนให้มันเป็นแบบนั้นไม่ได้หรอกนะ”
ซองจูพูดออกมาเช่นนั้นพร้อมกับค่อยๆ เอนตัวพิงกับผนังตรงหน้าประตู
จีฮุนตระหนักได้แล้วว่า ฮันซองจูที่อยู่ตรงหน้าเขาในตอนนี้แตกต่างกับฮันซองจูที่เคยรู้จักในตอนนั้นอย่างสิ้นเชิง
ฮันซองจูที่เขาเคยรู้จักนั้นไม่สนใจใครนอกจากตัวเอง เป็นคนที่เพื่อตัวเองแล้ว แม้กระทั่งคนรักก็สามารถทอดทิ้งได้
แต่ว่าฮันซองจูที่ยืนอยู่ตรงหน้าในเวลานี้ไม่ใช่แบบนั้นเลย สายตาของฮันซองจูที่มองไปยังจองอูนั้น มันเต็มเปี่ยมไปด้วยความห่วงใย แม้จะแผดเสียงตะโกนใส่เขาก็ตาม หากกลับยอมปิดปากเพราะคำพูดเพียงคำเดียวของอีกคน
แบบนั้นมันไม่ใช่ฮันซองจูเลย ไม่ใช่ ไม่ใช่ฮันซองจูที่เคยกล่าวลา และบอกว่าจะอยู่เพียงลำพังต่อหน้าความปวดร้าวของมุนเซจองนั่น
อีกคนได้เปลี่ยนไปแล้ว จีฮุนทำได้เพียงยอมรับความจริงนี้
“แล้วไง จะไม่เจอหน้ากันไปตลอดชีวิตเลยงั้นเหรอ ฉันก็ไม่อะไรหรอก แต่รวมเซจองด้วยเนี่ยนะ”
“แบบนั้นมันคงยากไป ฉันหรือเจ้านั่นถ้ายังทำงานพวกนี้อยู่ เรารู้ดีว่ามันมีความเป็นได้สูงที่วันใดวันหนึ่งต้องได้เจอหน้ากันกับพวกนาย”
“แล้วมันเป็นปัญหายังไง ถ้ายังไงก็ต้องเจอหน้ากัน แล้วก็ได้รับรู้ข่าวคราวกันอยู่ดี”
“ไม่รู้สิ จะเป็นอย่างนั้นจริงๆ เหรอ”
ซองจูยกยิ้มพร้อมกับกอดอก
“ซองฮีเองก็พูดจาประมาณนั้นเหมือนกัน บอกว่าถ้าต้องร่วมงานถ่ายทำอะไรด้วยกันขึ้นมา แล้วฉันเข้าไปพัวพันด้วยเหมือนทุกที อาจจะทำให้เจ็บปวดขึ้นมาได้ ก็เลยสั่งให้ฉันเก็บตัวอยู่ในบ้าน”
“เขาก็บอกกับฉันแบบนั้นเหมือนกัน”
“ประคบประหงมกันจริงๆ ไม่จำเป็นต้องทำขนาดนั้นเลยสักหน่อย”
“แต่นั่นก็เป็นความจริงใจของซองฮี แล้วนายเองก็เห็นด้วยกับคำพูดนั้นนี่”
“อื้อ เห็นด้วย ก็ทำได้แค่นั้นเท่านั้นนี่”