หลังจากที่ทิ้งซองจูไว้ที่ห้องทำงานแบบนั้น จองอูก็นั่งแทบไม่ติดที่ ถึงจะไม่ได้แสดงออกให้คนอื่นเห็น แต่บรรดาสมาชิกวงคราฟท์ที่จับได้ถึงบรรยากาศที่แปลกไปก็คอยจับสังเกตเขา จนบรรยากาศในห้องซ้อมไม่ค่อยสู้ดีนัก
ร้ายกว่านั้น เพราะจีฮุนที่ไม่มีท่าทีว่าจะกลับเข้ามาสักที ทำเอากระทั่งทีมงานก็พากันเดินไปมาราวกับหนูติดจั่น ไม่นานเท่าไรนัก จีฮุนจึงกลับเข้ามาด้วยสีหน้าเรียบเฉย บรรยากาศก็กลับมาเป็นเช่นเดิมในทันที แต่ว่าในใจของจองอูก็ยังคงหนักอึ้งอยู่ เพราะก่อนที่เขาจะออกมาบรรยากาศระหว่างซองจูกับจีฮุนก็ไม่ได้ดีสักเท่าไร
“นายล่ะ”
“หือ?”
“นายเป็นยังไงบ้าง รู้สึกอึดอัดใจอีกหรือเปล่า”
คำพูดของซองจูทำให้จองอูเปิดปากออกมาเล็กน้อย
“…นิดหน่อย”
“งั้นสินะ”
คำตอบรับที่เหมือนไม่ใส่ใจ แต่จองอูก็รู้ว่านั้นไม่ใช่การแสดงความสงสารต่อเขา
“แค่คุยเรื่องไม่เป็นเรื่องกัน ไม่เห็นจำเป็นด้วยซ้ำ”
คำพูดพึมพำราวกับแก้ตัวของซองจูนั้น ทำให้จองอูยกยิ้มออกมา
“แล้วคุยกันจบแล้วเหรอ”
“เจ้านั่นไม่ได้พูดอะไรใช่ไหม”
“จะมีอะไรให้พูดกับฉันล่ะ”
“นั่นสิ มันก็ต้องแบบนั้นแหละ”
ซองจูพูดเช่นนั้น ก่อนจะยันร่างกายที่พิงจองอูกลับมานั่งตัวตรง ยื่นแขนออกไป มุดตัวเข้าไปในอ้อมกอดพร้อมกับกอดอีกคนเอาไว้ แล้วจองอูก็เอาแก้มแนบลงบนกระหม่อมของซองจู
“ไม่มีอะไรก็ดีแล้ว”
จองอูกล่าวออกมาเช่นนั้นพร้อมกับกอดเอวของซองจูเอาไว้แน่น ร่างกายที่เบียดชิดกันแบบนั้น ความอบอุ่นที่แผ่ซ่านออกมาได้เติมเต็มหัวใจอันว่างเปล่าของจองอู
แม้จะอยู่ใกล้ชิดกันเช่นนี้ หากข้างในกลับว่างเปล่าอยู่เสมอ ราวกับกกกอดระเบิดเวลาที่ไม่รู้ว่าจะระเบิดออกมาเมื่อไหร่เอาไว้ ความสงบสุขในเวลานี้มันช่างแปลกประหลาด แต่สิ่งหนึ่งที่ยังคอยปลอบใจเขาอยู่คือไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม เขามีความเชื่อว่าซองจูจะไม่ไปจากข้างกายเขา จองอูดูน่าสงสารเพราะแม้กระทั่งความสุขที่คว้าไว้ได้อย่างยากลำบากก็ยังไม่สามารถทำให้เขาเผยความสุขออกมาได้ นั่นทำให้จองอูกอดซองจูแน่นขึ้นไปอีก
“คิดว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นซะอีก”
“เจ้าทึ่ม สัญญาแล้วนี่ว่าจะไม่ทำเรื่องยุ่งยากน่ะ คนที่ไม่น่าไว้ใจมันคือนายต่างหาก ทำไมกลายเป็นฉันที่ต้องมาได้ยินคำพูดนี้ล่ะ”
คำพูดนั้นทำให้จองอูก้มลงมองไปศีรษะของซองจู เมื่อรู้สึกได้ถึงสายตานั้น ซองจูจึงได้เงยหน้าขึ้นมาจ้องจองอู
“มีอะไร”
“ทำไมฉันไม่น่าเชื่อถือล่ะ”
“ก็นายเคยหนีไปไม่ใช่หรือไง”
คำพูดนั้นทำให้สายตาจองอูชะงักไป ไม่ว่าอย่างไร เหตุการณ์นั้นก็ทำให้จองอูได้บทเรียนแล้วว่ามันคงจะสร้างความเจ็บปวดให้เขาไปตลอดชีวิต
“ลืมไปไม่ได้หรือไง”
“พูดอะไรที่เป็นไปได้หน่อย จะให้ลืมได้ยังไงล่ะ จนตายก็ไม่ลืม แล้วเจ็บแบบนี้ยังน้อยไปด้วยซ้ำ”
แบบนี้หมายความว่าจะอยู่ด้วยกันไปตลอดชีวิตสินะ ท่าทางของซองจูที่เบียดตัวเข้ามาใกล้พร้อมกับพึมพำออกมานั้นทำให้จองอูยกยิ้ม พร้อมกับพูดขึ้นมา
“ว่าแต่ เมื่อกี้ขึ้นมาทำไมเหรอ”
“หือ?”
“ก็ไหนว่าจะไม่ไปที่ห้องทำงานตอนที่ถ่ายอยู่ แต่ทำไมถึงมาได้ล่ะ”
“อ้า นั่นมัน…”
คำถามที่พรวดพราดออกมานั้นทำให้ซองจูมุดหน้าซุกเข้าไปในอกของจองอู
“ลืมหนังสือไว้น่ะสิ”
“ถ้ามีคนอื่นอยู่จะทำยังไงล่ะ”
“ยังไงที่นั่นก็ไม่ใช้ถ่ายอยู่แล้วนี่ แค่แป๊บเดียวคงไม่เป็นไร แล้วก็นะบทสรุปมันก็เป็นไปด้วยดีด้วย”
“คืนดีกันแล้ว?”
จองอูลูบกลุ่มผมของซองจูที่อยู่ในอ้อมกอดพร้อมเอ่ยถาม
“ดีกันอะไรเล่า ไม่ได้ทะเลาะกันสักหน่อย
“สองคนเจอกันทีไร เป็นได้ปะทะกันทุกที”
“ใครกัน ใครที่มันมาใส่ความกันแบบนี้ ฮันซองฮี?”
“คนที่เห็นก็พูดแบบนี้กันหมด”
“ไอ้พวกเฮงซวย”
ซองจูบ่นพึมพำ คนรอบตัวเขาไม่ได้เรื่องเลยสักคน
“เพราะงั้นก็ช่วยเพลาๆ นิสัยนี้ลงบ้าง ยิ่งอายุมากก็จะยิ่งจุกจิกไปอีกนะ ถ้ามันหนักกว่านี้จะทำยังไงล่ะ”
“งั้นนายก็คอยตามใจสิ”
ซองจูพูดเช่นนั้นพร้อมกับค่อยๆ หลับตาลง
นิสัยที่เกินจะรับได้ของเขา ใครๆ ต่างก็รับรู้กันดีอยู่แล้ว ตอนนี้มันยังเป็นปัญหาอะไรได้อีกล่ะ นอกจากนี้เขาก็มีคนที่คอยตามใจแล้วด้วย จองอูได้แต่ทึ่งกับความคิดของเจ้าตัว ก่อนจะค่อยๆ กระซิบเสียงทุ้มต่ำที่ข้างหูของซองจูซึ่งกำลังเพลิดเพลินกับความอบอุ่นที่มี
“ง่วงเหรอ”
“นิดนึง เหนื่อยๆ น่ะ”
“ทั้งวันทำอะไรล่ะ”
“อ่านหนังสือ กินกาแฟ ดูหนังไปเรื่องนึง ออกแรงทะเลาะ แล้วก็รอนาย”
“นั่นไง ทะเลาะกันมาจริงๆ”
“อย่ามาพูดเว่อร์น่า”
พอเถียงกลับด้วยน้ำเสียงที่ติดจะง่วงงุน ก็ได้ยินเสียงหัวเราะแผ่วในทันที ซองจูที่คิดจะพ่นคำพูดเกรี้ยวกราดออกไป ก็ได้แต่เผยอปากค้างก่อนจะหุบลงอีกครั้ง อย่างไรเสียแบบนั้นก็เท่ากับทำลายตัวเองชัดๆ
“ตอนนี้ไม่ได้ทะเลาะกันแล้วใช่ไหม
“อื้อ…คงงั้น”
เพราะร่างกายที่รู้สึกอบอุ่นขึ้นเรื่อยๆ จึงต้องฝืนลืมตาที่ค่อยๆ ปรือลง บ่นพึมพำออกมาพร้อมกับที่จองอูก้มหน้าลงมา
“ไปนอนดีไหม”
“อีกแป๊บ ขออยู่แบบนี้อีกสักพัก”
ส่ายหน้าไปมาเล็กน้อย พร้อมกับกำชายเสื้อเชิ้ตสีดำของจองอูเอาไว้ แล้วเรียวนิ้วมืออบอุ่นก็ขยับแทรกเข้ามาในกลุ่มผมซองจู นิ้วมือที่ค่อยๆ ขยับเคลื่อนอย่างอ่อนโยนสางกลุ่มผมอ่อนนุ่มอย่างช้าๆ เส้นผมอ่อนนุ่มที่สัมผัสเรียวนิ้วยาวและความอบอุ่นที่มีค่อยๆ ละลายความรู้สึกไม่สบายใจที่มีในใจของจองอูลงทีละนิด
“งั้นเหรอ อีกสักพักนะ”
จองอูตอบกลับไปเช่นนั้น แล้วจึงใช้นิ้วมือเชยคางของซองจูขึ้นมา
ผิวเรียบลื่นราวกับหินอ่อนของซองจูเป็นประกายงดงามยามที่ต้องกระทบกับแสงไฟที่ส่องมา ถัดจากเส้นผมสีน้ำตาลอ่อนก็เป็นดวงตาสีน้ำตาลสุกใสที่สะท้อนภาพเขา มันช่างให้ความรู้สึกแปลกประหลาด ไม่นานก็คงจะคุ้นเคยกับมัน จองอูมองสบตาซองจูอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะก้มหน้าลงไปอย่างช้าๆ
“อื้อ…”
พอแตะปลายลิ้นลงบนริมฝีปากล่างอย่างหยอกล้อก็เกิดเสียงครางแผ่วออกมาทันที จองอูกัดและค่อยๆ ดูดกลืนริมฝีปากของซองจูอยู่ครู่หนึ่ง
ร่างกายที่อ่อนปวกเปียกนั้นทำให้เขาใช้แขนข้างหนึ่งเกี่ยวกระชับไว้ แล้วใช้มืออีกข้างประคองที่ท้ายทอย พร้อมกับออกแรงดึงรั้งร่างของซองจูเข้าหาตัว เสียงครางที่เล็ดลอดออกมาจากริมฝีปากที่แนบสนิทพร้อมกับเสียงเฉอะแฉะเช่นนั้นก่อให้เกิดวงคลื่นของความปรารถนาที่ลุกโชน โอบล้อมคนทั้งสองเอาไว้
“อื้อ อึก”
ท่อนแขนที่โอบล้อมช่วงเอวเอาไว้ขยับราวกับอสรพิษร้ายเลื้อยวนไปมา ราวกับตกอยู่ในห้วงฝัน ร่างกายของซองจูถูกควบคุมด้วยความต้องการที่ปะทุออกมา ความรู้สึกลุ่มหลงค่อยๆ คืบคลานเข้ายึดครองร่างกายเอาไว้จนสิ้นแรง พังทลายลงด้วยร่างกายของจองอูที่ทาบทับอยู่ด้านบนนั้น และแทรกผ่านเข้ามาตรงหว่างขาอย่างปลุกเร้า นั่นยิ่งทำให้เสียงครางดังขึ้น เรียวลิ้นชื้นจึงได้แทรกผ่านเข้าไป และเริ่มแหวกว่ายภายในนั้น
“อึก!”
ยิ่งเพิ่มแรงเข้าไป ความรู้สึกร้อนรุ่มที่เพิ่มมากขึ้นในยามที่เรียวลิ้นของจองอูสอดเข้ามายังส่วนลึกในโพรงปากของซองจู มันทำให้เขาเหมือนถูกตีกระแทกเข้าไปในหัว เบื้องหน้ากลายเป็นสีขาวโพลน ส่วนสะโพกของซองจูยกลอยขึ้นอย่างหมดทางขัดขืน หลงลืมว่าตัวเองทำอะไรอยู่ ได้แต่ยกแขนที่สั่นเทาขึ้นโอบรอบต้นคอของจองอู ร้องขอสิ่งที่มากยิ่งกว่านี้ จองอูหยุดการเข้ายึดครองริมฝีปากของซองจู ก้มลงมองใบหน้าอีกคนทั้งที่ยังเกี่ยวสะโพกอีกคนเอาไว้
“ไหวนะ”
สัมผัสผ่านปลายนิ้วหยาบกร้านกอบกุมใบหน้าของซองจูเอาไว้อย่างอ่อนโยน ความร้อนรุ่มที่ปะทุออกมาทำให้สีกุหลาบระบายอยู่ทั่วผิวขาวนั่น ก่อให้เกิดความรู้สึกเย้ายวนขึ้นมาทีละนิด ด้วยร่างกายที่สั่นไหวนั้น เจ้าตัวพยักใบหน้ารับอย่างยากลำบาก จองอูจึงออกแรงดึงรั้งร่างกายที่อ่อนปวกเปียกของซองจูขึ้นมานั่ง
“ไม่ได้การละ ไปห้องนอนไหม”
กวาดสายตามองใบหน้าของซองจูที่ดูง่วงงุน พร้อมกับพูดเช่นนั้นออกมา ท่าทางเช่นนั้นทำให้จองอูใจอ่อนยวบ ก่อนจะเอ่ยปากออกมาอย่างระมัดระวัง
“เดินไหวไหม”
ซองจูเหลือบมองอีกคนที่พูดแบบนั้น พร้อมยกยิ้ม
“แค่นี้เอง ไม่ได้ขาขาดสักหน่อย อย่าห่วงเลย”
กล่าวออกมาอย่างโอ้อวด ก่อนจะเดินไปทางห้องนอน จองอูที่มองตามหลังซองจูไปก็ค่อยลุกขึ้นจากที่นั่งอย่างช้าๆ
ห้องนั่งเล่นกว้างกลับดูเวิ้งว้างเมื่อเจ้าของไม่อยู่แล้ว เสียงของสวิตซ์ที่ถูกปิดลงดังก้องไปทั่วบริเวณ ภายในห้องนั่งเล่นจึงเหลือเพียงความมืดมิด มีเพียงแสงไฟถนนที่ส่องผ่านเข้ามาทางระเบียง เกิดเป็นเงาสลัวภายในห้องกว้างนี้ โซฟากว้างและผืนพรมนุ่มนิ่มที่ถูกทิ้งไว้ตรงกลางนั่น บอกให้รู้ถึงบรรยากาศของการพักผ่อน
ภาพทิวทัศน์ที่ไม่ได้แตกต่างไปจากวิลล่าสุดหรูใจกลางย่านคังนัมที่เคยเหยียบย่างเข้าไปครั้งแรกเมื่อนานมาแล้ว หากแต่จองอูกลับชอบบรรยากาศนี้ นั่นเพราะที่นี่เป็นปัจจุบันของเขากับซองจู
เหตุผลที่จองอูไม่ชอบที่เก่านั่นมีเพียงข้อเดียว เพราะตั้งแต่แรกที่จองอูย่างเท้าเข้าไปที่นั่น เขารู้สึกเหมือนมันกักขังใครบางคนเอาไว้ และที่นั่นเขาก็ได้พบเจ้าชายที่ถูกขังไว้ในปราสาท แล้วยังสวมใส่ชุดเกราะที่มีหนามแหลมคมเอาไว้ คอยเฝ้าจับผิดคนรอบตัวแบบนั้น ซองจูที่ถูกปล่อยทิ้งไว้ในบรรยากาศอ้างว้างนั้นเพียงลำพังได้ถอดเสื้อเกราะที่มีหนามแหลมคมนั้นออกด้วยตัวเอง พร้อมทั้งมาปักหลักร่วมกับจองอู ณ ที่แห่งนี้
สถานที่นี้มันคือที่สำหรับคิมจองอูและฮันซองจูเพียงสองคนเท่านั้น ความจริงข้อนั้นมันทำให้จองอูพอใจอย่างมาก
“นี่! ทำไมนายไม่มาสักที”
จองอูที่ใบหน้าเปื้อนยิ้มหันมองรอบๆ ห้องนั่งเล่นที่มีแสงสีส้มแดงจากไฟถนนด้านนอกส่องประกายอยู่เลือนราง จากนั้นก็ได้ยินเสียงตะโกนของซองจูดังเข้ามา จองอูจึงเร่งฝีเท้าไปทางคนรักที่อยู่ในห้องนอน จินตนาการถึงอีกคนกำลังรอเขาอยู่ พร้อมกับจัดการยึดครองพื้นที่กลางเตียง เอาผ้าห่มมาห่อตัวเองไว้ แล้วยังทำปากยื่นอย่างขัดใจ จองอูที่จินตนาการถึงท่าทางเหล่านั้น บนใบหน้าก็ปรากฏรอยยิ้มกว้าง
“รอเดี๋ยว ปิดประตูเสร็จจะเข้าไป!”
ตอบกลับไปอย่างรีบร้อนด้วยกลัวอีกฝ่ายจะหงุดหงิด แต่ก็ไม่มีคำตอบอื่นใดกลับมา เงาทอดยาวไปด้านหลังสวนทางกับฝีเท้าที่ก้าวอย่างเร่งรีบไปทางห้องนอน และมีเพียงแสงจากไฟถนนที่แต่งแต้มลวดลายให้ห้องนั่งเล่นที่ไร้เงาเจ้าของนั้นดูงดงาม