“ขอโทษด้วยครับ เห็นว่าประตูหน้าเปิดอยู่ก็เลย…”
“นี่ นายไม่มีไหวพริบเลยเหรอ ถึงประตูจะเปิดอยู่ก็เคาะประตูได้ไม่ใช่หรือไง ถ้าเห็นว่าประตูเปิดอยู่ก็เข้าไปเลยได้ แล้วจะมีกริ่งไว้ทำไม หา?”
“ก็คือ นั่นมัน ก็ผมไม่รู้นี่ครับว่าพี่ก็อยู่ด้วย”
“แล้วมีกฎหมายไหนบอกว่าฉันอยู่ที่นี่ไม่ได้”
“ขอโทษครับ…”
“เอาล่ะ พอได้แล้ว พี่เซจุนก็ขอโทษแล้วไง”
“นี่! นายเข้าข้างใครกันแน่!”
ด้วยความอายเลยทำให้แสดงออกมามากเกินกว่าปกติ พอห้ามซองจูที่หัวร้อนออกมาแบบนั้นได้แล้ว จองอูก็เอากาแฟที่มีไอร้อนลอยฟุ้งวางลงตรงหน้าเซจุน
“นี่ อากาศร้อนแบบนี้เอากาแฟร้อนมาให้เนี่ยนะ”
“ก็เปิดแอร์อยู่นี่ครับ ดื่มๆ ไปเถอะ”
“นี่นายกำลังเอาคืนฉันใช่ไหม…”
ถึงอย่างไรเซจุนที่ไม่ได้ถูกไล่ตะเพิดออกไปก็ยกกาแฟที่จองอูเอามาให้ดื่มไปอึกหนึ่ง ก็มีเหตุผลนี่นะ อย่างไรเสียกาแฟที่จองอูเลือกมาก็รสชาติดีกว่าที่ร้านเป็นไหนๆ
“แล้วตกลงมีเรื่องครับ ตอนเข้ามา พี่บอกว่ามีข่าวใหญ่ไม่ใช่เหรอครับ”
“อ้อ เรื่องนั้นไง!”
เซจุนที่เงียบไปครู่แล้วเอาแต่จิบกาแฟเงยหน้าทันทีราวกับเพิ่งนึกขึ้นได้ถึงเรื่องที่ลืมไป แววตาของเจ้าตัวกำลังเปล่งประกายแวววาวอย่างมาก
“นายน่ะ อยากขึ้นแสดงกับพวกเราไหม”
“แสดงเหรอครับ”
“แสดง?”
เสียงตะโกนที่ดังขึ้นอย่างน่ากลัวเมื่อกล่าวคำนั้นจบ ท่าทางของคนทั้งสองนั้นทำเอาเซจุนทำหน้าตกใจขึ้นมา
“ก็เข้าใจนะที่ตกใจน่ะ แต่อย่าโพล่งถามเสียงดังออกมาแบบนั้นสิครับ มันน่ากลัวออกครับพี่”
เซจุนกล่าวเช่นนั้นออกมา พร้อมกับไอแค่กๆ ออกมา
“มีข้อเสนอเข้ามาน่ะ เสนอมาว่าให้ลองจัดมินิคอนเสิร์ตในระยะเวลาหนึ่งชั่วโมงร่วมกับนาย นายว่าไง”
“จากที่ไหนครับ”
“เอ็นเคมิวสิค”
คำตอบที่ได้รับในทันทีทำให้สีหน้าของจองอูนิ่งไป
“ที่นั่น เป็นบริษัทที่แฟนพี่ทำงานอยู่ไม่ใช่เหรอครับ”
“อือ ใช่แล้ว ว่าแต่นายว่ายังไงล่ะ”
“ก็ไม่เลวนะครับ แต่มันก็…”
พูดให้ดูสุภาพไปอย่างนั้นสินะ สีหน้าของจองอูไม่ค่อยปกตินัก พอได้เห็นสีหน้าที่ดูไม่เต็มใจอย่างชัดเจน เซจุนก็รีบกล่าวต่อ
“นี่ มีปัญหาอะไร จะฉันหรือจีฮยอนก็ไม่ได้เอาความรู้สึกส่วนตัวมาปนกับเรื่องงานนะ เรากับบริษัทของเจ้านั่นก็ร่วมงานกันไม่กี่งานเอง”
“ก็ไม่ใช่ว่าตกหลุมรักกันตอนที่เตรียมการแสดงอยู่หรือไงครับ”
“ไม่ใช่สักหน่อย ก่อนหน้านั้นฉันก็เอาแต่ค้านหัวชนฝาไปแล้วนะ”
“ยังไงซะก็ได้คบกันเพราะเรื่องสตอล์กเกอร์นั่นนี่ครับ ก่อนหน้านั้นก็มีพี่ที่พยายามอยู่คนเดียว”
“นี่ เอาเรื่องพวกนั้นขึ้นมาพูดตอนนี้ทำไม!”
เซจุนกระทืบเท้าด้วยความรู้สึกว่าตัวเองไม่ได้รับความยุติธรรมในสถานการณ์นี้
“ยังไงก็เถอะ ที่นั่นน่ะเดือนนึงจะเปิดการแสดงครั้งหนึ่ง เดิมที่ตั้งใจจะทำตั้งแต่ตอนออกอัลบั้มที่แล้ว ก็ดันล่มไปซะ ครั้งนี้ก็เลยเสนอเพิ่มเข้ามา ในเมื่อก็เป็นโปรดิวเซอร์อยู่แล้วก็เลยให้นายมาร่วมแจมด้วยซะเลย ไม่ได้เหรอ”
“เรื่องนั้นใครเป็นคนเสนอล่ะครับ”
“ไม่ใช่จีฮยอนหรอกน่า ไอ้นี่ คนที่ชื่อซอนจองวอนนู่น”
เซจุนพูดออกมาแบบนั้น ก่อนจะควานหาบางอย่างในกระเป๋าที่ถือมา
“อ้า แป๊บนะ ไม่ได้เอาแผนงานมาเหรอเนี่ย โธ่เว้ย…ลืมไว้ที่บ้านแหง”
เจ้าตัวกล่าวออกมาเช่นนั้นพร้อมกับควานหาในกระเป๋าอย่างขะมักเขม้น ทั้งไม้กลองไว้ โน้ตเพลง กล่องดินสอ ของต่างๆ มากมายถูกวางลงบนโต๊ะหน้าโซฟา ตอนนั้นสีหน้าของซองจูที่นั่งอยู่ข้างๆ จองอูก็เคร่งเครียดขึ้นเรื่อยๆ เจ้าตัวที่เป็นพวกรักสะอาดและคิดมาก การได้เห็นอาณาเขตของเขามีสภาพไร้ระเบียบด้วยข้าวของของเซจุนก็ดูจะลำบากอยู่บ้าง
“นี่ คิมเซ…”
ซองจูที่เอ่ยเรียกชื่อของเซจุนออกมาด้วยท่าทางเอาเรื่องนั้นหยุดชะงักไปในทันที
ครืด ครืด
โทรศัพท์มือถือของเซจุนที่วางอยู่บนโต๊ะสั่นขึ้นมาอย่างรุนแรง
“สวัสดีครับ”
เซจุนเอื้อมมือไปคว้าโทรศัพท์ขึ้นมาอย่างรีบร้อน แล้วกดรับในทันที
“อ้า จองวอน โทรมาได้จังหวะพอดีเลย เหมือนฉันจะไม่ได้เอาแผนงานที่ให้เมื่อกี้มาด้วยนะ”
คำพูดของเซจุนฟังดูร้อนรน
“อ้า อ้อ จริงเหรอ งั้นก็ขอบใจ ว่าแต่ว่างเหรอ อ้า ว่าไงนะ นี่…แบบนั้นเท่ากับใช้ประโยชน์ฉันไม่ใช่หรือไง”
ยิ่งคุยโทรศัพท์นานเท่าไร สีหน้าของเซจุนก็เปลี่ยนไปมาอย่างรวดเร็วเช่นกัน คงสนิทกันมากถึงได้ใช้คำพูดสบายๆ ท่าทางที่จู่ๆ ก็พยายามอธิบายแทบตายแบบนั้นก็น่าสนใจดี
แต่ทว่าเซจุนที่เห็นแบบนั้น อันที่จริงแล้วเป็นคุณชายคนเล็กของบ้านที่จบการศึกษามาจากมหาวิทยาลัยชื่อดัง เจ้าตัวทิ้งเส้นทางบนกองเงินกองทองที่คนเพียงแค่หนึ่งเปอร์เซ็นต์เท่านั้นถึงจะเข้าไปสัมผัสได้ แล้วก็กลายมาเป็นนักดนตรีเสีย นิสัยที่ไม่มีตรงไหนที่น่ารังเกียจเลยสักนิดกับท่าทางสุภาพในทุกครั้งที่เจอ จึงเป็นคนที่ไม่สามารถเกลียดได้ลงเลย แม้กระทั่งกับซองจูที่เห็นทุกอย่างขวางหูขวางตาไปหมดแบบนั้นก็ตาม เซจุนก็ยังคงได้รับการยอมรับว่ามีความสามารถมาตั้งแต่ไหนแต่ไร
“อือ จริงเหรอ อือ เข้าใจแล้ว ที่นี่? คือว่าที่นี่คง…”
เซจุนกล่าวอ้อมแอ้มพร้อมกับปรายตามองจองอูและซองจูที่สังเกตเขาอยู่แล้ว เมื่อพอจะเข้าใจเรื่องราวคร่าวๆ จองอูจึงพยักหน้าไปทางเซจุน ตอนนั้นเซจุนก็รีบตอบคนในสายกลับไปทันที
“เออ รู้จักห้องซ้อมเราใช่ไหม แค่ขึ้นมาชั้นสามก็พอ อือ เดี๋ยวเจอกัน!”
เซจุนวางสายจากอีกฝ่าย แล้วจึงถอนหายใจยาวออกมาทันที
“เฮ้อ…ใจหายหมด เกือบได้โดนซองฮีกับซองฮุนด่าเข้าให้แล้วไง”
จองอูกล่าวกับอีกคนที่กำลังกางแขนกางขาลงบนโซฟาอย่างเต็มที่ ก่อนจะถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก
“ทำไมกันดูไม่สมเป็นพี่เลยนะครับ แผนงานก็ต้องเป็นเอกสารสำคัญอยู่แล้วไม่ใช่เหรอครับ”
“ก็นั่นแหละ วันนี้ฉันไม่มีสมาธิสักเท่าไรน่ะ”
“ตื่นเต้นที่จะเจอแฟนข้างนอกเหรอครับ”
“นี่ เลซี่ ตอนที่พี่ทำงานเนี่ย เคยเอาเรื่องส่วนตัวมาปนกับงานเหรอ บอกว่าทำงานก็คือทำงาน”
“ยังไงซะก็เจอกันตอนทำงานเลยได้เป็นแฟนกันอยู่ดีนี่ครับ”
“เลิกพูดเรื่องนั้นสักทีเถอะ…”
เซจุนอ้อนวอนจองอูพร้อมกับยกสองมือขึ้นปิดหน้า
“ยังไงซะ เจ้าตัวก็จะมาอยู่แล้ว ก็ค่อยฟังเรื่องการแสดงจากเจ้านั่นเองแล้วกัน”
“อะไรนะ คนอื่นจะมาที่นี่งั้นเหรอ”
แย่แล้ว ทุกสายตาจ้องมาที่ซองจูซึ่งสบถเสียงดังออกมา ด้วยไม่ถูกใจนักกับสถานการณ์ที่มีแค่เขาเท่านั้นที่ต้องกลับไป จองอูที่มองเห็นสีหน้าที่เริ่มฉายความไม่พอใจออกมามากขึ้น จึงได้ถอนหายใจออกมาแผ่วเบา
“ถ้าไม่สบายใจก็กลับไปดีไหม”
ซองจูส่ายหน้าอย่างดื้อดึงให้กับข้อเสนอนั้น
“ใครจะมาบ้างล่ะ”
“อืม รองหัวหน้าซอนที่คุยด้วยเมื่อกี้กับ…”
“กับใคร”
ซองจูถามกลับด้วยท่าทางเอาเรื่อง ดูเหมือนคงจะตัดสินใจหลังจากที่รู้แล้วว่ามีใครมาบ้าง เซจุนที่รับรู้ถึงความคิดนั้นของอีกคน จึงได้ตอบกลับไป
“บางที แฟนผมอาจจะมาด้วยครับ”
ซองจูที่ได้ยินคำตอบนั้นก็ชะงักไปครู่หนึ่ง
“หืม งั้นเหรอ”
“ครับ อาจจะนะครับ”
“งั้นฉันก็อยู่นี่แหละ”
“คะ ครับ?”
มีเพียงเซจุนเท่านั้นที่ตกใจกับคำพูดแบบกะทันหันนั่น อีกคนเอ่ยปากต่อทั้งที่ดวงตายังคงเบิกโพลงอยู่เช่นนั้น
“พี่ครับ แบบนั้นจะไม่มีข่าวลือแปลกๆ ออกไปเหรอครับ”
“จะมีข่าวลืออะไรได้ล่ะ ก็บอกไปว่าเจ้านี่ก็ทำการแสดงด้วยเพราะสนิทกับพวกนาย ฉันเองก็รู้จักกับพวกนายก็เลยพลอยสนิทกับเจ้านี่ด้วย แค่นั้นก็จบ ยิ่งพยายามปิดก็ยิ่งทำให้ปวดหัวหนักกว่าเก่า”
“ก็ ที่พี่พูดมามันก็ถูก…”
เซจุนกล่าวเช่นนั้นออกมาพร้อมกับสีหน้าฉายชัดถึงความลำบากใจ
ถึงจะมีคนรู้เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างจองอูกับซองจูขึ้นมา ก็ไม่ได้เป็นปัญหาอะไร แต่ทว่าไม่รู้ทำไมถึงได้ไม่สบายใจ แม้ว่าจะเป็นฮันซองจูที่กินขาดในเรื่องการแสดงด้วยการใช้เล่ห์เหลี่ยม แต่มันก็เป็นเรื่องที่คาดเดาอะไรไม่ได้เลย
“ไม่เป็นไรแน่นะ”
จองอูเองก็มีความคิดเช่นเดียวกับเซจุน จึงได้หันหน้าที่ยังคงนิ่งไม่สะทกท้านไปทางซองจู พร้อมกับเอ่ยถามออกมาอีกครั้ง แต่ทว่าคำตอบที่ได้กลับมาก็ชัดเจนแล้ว
“อือ ไม่เป็นไรหรอก”
ด้วยคำตอบที่ชัดเจน ทั้งสองคนจึงไม่พูดอะไรออกมาอีก ถึงจะแสดงท่าทางห้ามปรามออกไป ก็รู้ดีอยู่แล้วว่าไม่มีทางห้ามได้
ทั้งสามคนพูดคุยกันอีกเล็กน้อย ก่อนจะปล่อยเวลาผ่านไปอย่างเงียบๆ ในระหว่างรอคอยการมาถึงของแขกที่ไม่คาดคิด ช่างเป็นยามบ่ายที่แสนสงบเหลือเกินในความเป็นจริง