ติ๊งต่อง ติ๊งต่อง
“มาแล้ว!”
พอได้ยินเสียงกริ่งที่หน้าประตูใหญ่ เซจุนที่เหยียดกายอยู่บนโซฟาก็กระเด้งตัวลุกขึ้นมาทันที เจ้าตัววิ่งออกไปอย่างรวดเร็ว ขยับตัวอย่างเร่งรีบราวกับว่าห้องทำงานนี้เป็นของตัวเอง
“นี่ อะไรเนี่ย ทำไมมาช้านัก คนเขารออยู่เนี่ย”
“ฉันเอาของที่นายลืมมาให้ ทำไมต้องมาโดนบ่นด้วย ไอ้เจ้านี่”
“ถึงงั้นก็เถอะ ว่าแต่ทำไมนายก็มากับเขาด้วยล่ะ ฝากจีฮยอนมาให้ก็ได้”
“ก็มีที่อธิบายตกหล่นไปเมื่อกี้ด้วย ก็เลยมาทีเดียวเลย ว่าแต่ที่นี่คือ?”
“อ้า จริงด้วย แป๊บนะ!”
บทสนทนาที่เป็นกันเองตามประสาคนที่สนิทสนมคุ้นเคยกันนั้น ดังมาให้ได้ยินถึงข้างใน เซจุนตัดบทสนทนาไปกะทันหัน แล้วจึงวิ่งกลับเข้าไปในห้องทำงาน
“เลซี่! มีเวลาสักแป๊บไหม”
“เวลาเหรอครับ”
คำถามที่ถามมากะทันหัน ทำให้จองอูตอบกลับไปอย่างงุนงง คงมาโน้มน้าวให้ไปช่วยกันฟังเรื่องที่จะมาอธิบายอะไรนั่นสินะ เจ้าตัวคิดเช่นนั้นก่อนจะผ่อนลมหายใจออกมา
“กลับขึ้นไปอยู่ข้างบนไหม”
“ฉันเหรอ ทำไม จะอยู่นี่แหละ”
“จะไม่อึดอัดเหรอ”
“ช่างเถอะ ฉันจัดการเองได้น่า ไม่ต้องห่วง ฉันจะอยู่นี่แหละ”
ถามออกไปด้วยคิดว่าบางทีอาจจะอยากกลับขึ้นไป แต่ก็ไม่สะทกสะท้าน จองอูยอมแพ้กับการเกลี้ยกล่อมซองจู แล้วจึงหันไปหาเซจุน
“ให้เข้ามาได้เลยครับ”
เซจุนจึงวิ่งกลับไปทางประตูอีกครั้ง เมื่อได้รับคำอนุญาต
“เออ รบกวนด้วยนะครับ ได้มาเจอกันแบบนี้ยินดีมากๆ เลยครับ ผมซอนจองวอนจากเอ็นเคมิวสิคครับ”
หนึ่งในสองคนที่เดินตามหลังเซจุนเข้ามาทางประตูนั้น มีผู้ชายที่มีท่าทางสุภาพและตัวสูงกว่าเล็กน้อยโค้งทักทายอย่างนอบน้อม จองอูจึงลุกขึ้นจากที่นั่งทันที ก่อนจะโค้งกลับไปอย่างเงอะงะ แล้วผู้ชายคนนั้นก็ยื่นนามบัตรที่อยู่ในเสื้อสูทส่งมาให้จองอู ในนามบัตรนั้นระบุว่าอีกคนเป็นรองหัวหน้าแผนกวางแผน
“เออ…สวัสดีครับ ผมชองจีฮยอนจากเอ็นเคมิวสิคครับ ยินดีที่ได้พบนะครับ เป็นเกียรติอย่างมากเลย”
จากนั้นผู้ชายที่ยืนเยื้องไปด้านหลังซึ่งดูเด็กกว่าและบอบบางกว่าเล็กน้อย จึงได้ยื่นนามบัตรมาให้ด้วยท่าทางประหม่า เจ้าตัวรับนามบัตรที่ระบุว่าชื่อชองจีฮยอน เป็นหัวหน้าทีมการจัดการ แต่ทว่าจองอูนั้นรู้จักกับอีกฝ่ายดีอยู่แล้ว ชายคนนั้นก็คือคนรักของเซจุนที่ทำเอาจองอูหัวหมุนอยู่ก่อนหน้านี้
“ผมได้ยินเรื่องของพวกคุณมาเยอะเลยละครับ ยินดีที่ได้พบกันนะครับ เชิญนั่งทางนี้ก่อนครับ”
เขาส่งยิ้มไปให้ทั้งสองเล็กน้อย ก่อนจะเชิญไปนั่ง
บรรดาแขกที่ไม่คาดคิดเดินตามจองอูเข้ามาด้านใน ในตอนนั้นเอง จู่ๆ น้ำเสียงอุทานจนเกือบจะเป็นการโห่ร้องก็ดังออกมาจากปากของรองหัวหน้าซอนจองวอน
“เฮ้ย!”
เมื่อจองอูหันไปมองด้านหลังด้วยอยากรู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น ภาพที่ปรากฏก็เป็นใบหน้าของจองวอนที่ตาเบิกโพลงขึ้น
“นักแสดงฮันซองจู?”
จองวอนเอ่ยออกมาพร้อมกับมองซองจู จองอู และเซจุนสลับไปมา
“อ้า คือว่า…”
“คงรู้จักกันสินะครับ นี่ นายต้องบอกฉันก่อนสิว่าคุณนักแสดงเขาก็อยู่ด้วยน่ะ เลยกลายเป็นว่ามารบกวนเลยเนี่ย”
“อ้อ ไม่เป็นไรหรอกครับ ไม่ต้องห่วงผมหรอกนะครับ”
ซองจูยกยิ้มอย่างคนที่สุภาพเรียบร้อย แล้วจึงกล่าวกับจองวอน โล่งอกที่วันนี้ฮันซองจูนั้นแสดงสีหน้าของคนสุภาพเรียบร้อยออกมาได้อย่างไร้ที่ติ
“ไม่เป็นไรจริงๆ ใช่ไหมครับ อาจจะช้าไปสักหน่อย ผมซองจองวอนจากเอ็นเคมิวสิคครับ บริษัทของเราทำกิจการด้านเว็บไซต์เกี่ยวกับความหลากหลายทางวัฒนธรรมและการจัดโครงการต่างๆ ครับ หวังว่าหากมีโอกาส เราจะได้ร่วมงานกันสักครั้งนะครับ”
จองวอนกล่าวเช่นนั้นพร้อมกับยื่นนามบัตรให้ซองจู ท่าทางจริงจังและนอบน้อมอย่างมากนั้นเป็นที่พอใจของซองจู เจ้าตัวจึงได้ยกยิ้มเล็กน้อยและพูดกับจองวอน
“ผมเองก็ไม่ใช่เจ้าของบ้าน พูดไปอาจจะแปลกสักหน่อย แต่ก็เชิญทำตัวตามสบายเลยนะครับ ไม่ต้องเกรงใจ”
“ไม่เป็นไรเลยครับ ได้มาเจอกันแบบนี้ ผมรู้สึกเป็นเกียรติมากเลยครับ”
จองวอนกล่าวเช่นนั้นออกมา ก่อนจะนั่งลงตรงโต๊ะสำหรับประชุมที่ถูกจัดวางไว้ตรงมุมหนึ่งของห้องทำงาน จีฮยอนที่เฝ้ามองคนทั้งสองอยู่จึงได้ขยับเข้าไปใกล้ซองจู ก่อนจะยื่นนามบัตรให้
“ผมชองจีวอนครับ ฝากตัวด้วยนะครับ”
เจ้าเด็กนี่คือคนรักของเจ้าเซจุนสินะ คำทักทายสั้นๆ และนามบัตรที่ส่งมานั้นทำให้ซองจูยกยิ้มสดใสให้กับอีกคน
“ครับ ยินดีที่ได้รู้จักครับ”
ไม่รู้ว่าการให้นามบัตรนั้นเป็นมารยาททางการหรืออย่างไร หรือเพราะเจ้านายอย่างจองวอนคอยพร่ำบ่นกรอกหู จีฮยอนจึงโค้งศีรษะให้เขาอีกครั้ง ก่อนจะเดินจ้ำอย่างรวดเร็วตามไปนั่งที่ข้างๆ จองวอน ตลอดเวลาที่คนทั้งสองและเซจุนวุ่นวายกับการเตรียมการประชุม จองอูก็เตรียมของว่างเพื่อมาต้อนรับแขกที่ไม่คาดคิด
“พี่ครับ ถ้าเบื่อมานั่งด้วยกันตรงนี้ไหมครับ”
เซจุนที่มีท่าทางชอบอกชอบใจกับการได้นั่งข้างจีฮยอนเอ่ยถามซองจูอย่างเพิ่งนึกขึ้นได้ ซองจูที่นั่งเอียงตัวบนโซฟา เตรียมที่จะอ่านหนังสือ จึงได้หันไปมองทางโต๊ะประชุม
“ฉัน? จะไม่รบกวนเหรอ”
“มีอะไรให้รบกวนล่ะครับ แต่ถ้าสบายใจจะอยู่ตรงนั้นคนเดียว ก็แล้วแต่นะครับ”
ซองจูที่มองหน้าเซจุนที่กำลังพูดอะไรประหลาดออกมาๆ ตัดสินหยิบหนังสือที่วางอยู่บนโต๊ะขึ้นมาเล่มหนึ่ง ก่อนจะลุกจากที่นั่ง
“ก็ถ้าพูดขนาดนั้น จะไม่ปฏิเสธแล้วกันนะ”
กล่าวออกมาแบบนั้น แล้วซองจูก็เดินไปทางโต๊ะประชุมอย่างเนิบๆ
ดึงเก้าอี้ตัวที่อยู่ข้างๆ เก้าอี้ที่มีโทรศัพท์ของจองอูวางอยู่ออกมาแล้วนั่งลงทันที จองวอนที่ดวงตาเป็นประกายก็มองสลับไปมาระหว่างซองจูและเซจุน
“ว่าแต่ว่า รู้จักกันได้ยังไงเหรอ”
ใบหน้าที่หันมาถามเซจุนนั้นเต็มไปด้วยความสงสัยใคร่รู้ เซจุนจึงตอบคำถามนั้นออกมาอย่างเบื่อหน่าย
“ไม่รู้หรือไง เนี่ยพี่ชายแท้ๆ ของซองฮี”
“หา จริงเหรอ ไม่เห็นรู้เลย!”
ดวงตาของจองวอนผู้ไม่รู้อะไรเลยเบิกกว้างขึ้น มีเพียงจีฮยอนที่รู้จักชื่อเสียงของซองจูผ่านทางเซจุนเท่านั้นที่ยังคงมีสีหน้าไม่รู้สึกรู้สาอะไร จองวอนสะกิดเข้าที่เท้าของจีฮยอนที่นั่งอยู่ตรงข้ามเขา ก่อนจะกระซิบกระซาบถาม
“นี่ ทำหน้าแบบนี้แสดงว่านายรู้อยู่แล้วงั้นเหรอ แล้วทำไมไม่บอกกันก่อนล่ะ”
“มันดังออกจะตาย พี่น่ะตกข่าวเองแท้ๆ ทำไมมาโทษผมล่ะ”
“ในเมื่อบอกว่าฉันตกข่าวเอง ก็ไม่มีอะไรจะแก้ตัวแล้ว อันที่จริงข้อมูลพวกนี้มันก็ไม่ได้สำคัญสักหน่อยนี่”
คำพูดนั้นทำให้ซองจูปรายตามอง
“ถ้างั้นอะไรที่สำคัญล่ะครับ”
“นั่นมันก็เห็นชัดๆ อยู่แล้วนี่ครับ เรื่องสำคัญยังไงก็ต้องเป็นเรื่องการแสดงสิครับ นักแสดงสื่อสารกับผู้คนผ่านการแสดงไม่ใช่เหรอครับ นักดนตรีก็ใช้ดนตรีเป็นสื่อ นักแสดงก็ใช้การแสดง พวกเราก็สื่อสารกันผ่านบทเพลงที่ไพเราะ”
ซองจูให้ความสนใจจองวอนที่พูดออกมาแบบนั้นเป็นอย่างมาก ท่าทางสุภาพนอบน้อม ดูสดใส แล้วยังมีมารยาทอีกด้วย ความคิดก็ถูกใจเขามากด้วย ทั้งนี้การเป็นคนรู้จักของคิมเซจุนซึ่งเป็นคนที่เขาเชื่อถือที่สุดในบรรดาเพื่อนๆ ของซองฮี ก็เป็นเหตุผลที่พอให้ยอมรับได้แล้ว ซองจูยกยิ้มขำ ก่อนจะกล่าวกับจองวอน
“สนิทกับเซจุนเหรอครับ”
“ครับ?”
“เป็นเพื่อนเจ้านี่เหรอ”
จองวอนพยักหน้ารับคำพูดนั้น
“ครับ ไม่กี่ปีก่อนได้ร่วมงานกันก็เลยสนิทกันน่ะครับ”
“อ้อ อย่างนี้นี่เอง พูดสบายๆ เถอะครับ ถ้าเป็นเพื่อนเซจุน ก็เป็นเพื่อนของซองฮีด้วย เรียกคุณนักแสดงแบบนั้นมันก็ออกจะแปลกอยู่นะครับ”
เซจุนกับจีฮยอนถึงกับทำสีหน้าฉงนกับคำพูดและรอยยิ้มสดใสแบบนั้น พวกนั้นจ้องมองไปยังคนทั้งคู่ด้วยความรู้สึกเหมือนเฝ้าจับตามองระเบิดเวลา
“เออ แต่ว่าจู่ๆ จะให้ทำแบบนั้นเลยมันก็…”
“ก็นะ เราคงได้เจอกันอีกบ่อยๆ อยู่แล้ว ค่อยๆ ปรับไปก็แล้วกันนะ ก่อนอื่นจะให้เรียกยังไงดีนะ คุณนักแสดงมันดูเกินไปหน่อย เอาเป็นเรียกพี่ก็พอ จริงสิ ฉันเริ่มพูดธรรมดาๆ ก่อนแบบนี้ โอเคใช่ไหม”
“ครับ? อ้า ครับ…ไม่มีปัญหาครับ”
สุดท้าย ด้วยความงุนงงทำให้ซองจูจัดการเรื่องคำเรียกให้จองวอนเป็นที่เรียบร้อย พอเงยหน้าขึ้นมาก็พบกับใบหน้าของเซจุนที่มองมาด้วยสายตากระดากใจ แต่แล้วเซจุนก็หลบสายตาของเขาที่มองกลับราวกับถามถึงเหตุผล เขาจึงได้แต่คันยุบยิบในใจ ตอนนั้นเองแก้วที่บรรจุไอซ์อเมริกาโน่อยู่เต็มเปี่ยมก็ถูกวางลงตรงหน้าเขา
“อากาศร้อนแบบนี้ ต้องมาถึงที่นี่คงลำบากแย่ ดื่มนี่ก่อนแล้วค่อยๆ คุยกันไปแล้วกันนะครับ”
“อ้า ขอบคุณครับ”
เพราะจองอูที่เข้ามาจัดการจบสถานการณ์ตรงหน้าในตอนท้าย บรรยากาศจึงไม่ได้กระอักกระอ่วนอีกต่อไป จองอูวางแก้วกาแฟลงตรงหน้าคนที่นั่งรวมกันอยู่ที่โต๊ะ ก่อนจะวางแก้วกาแฟที่มีน้ำแข็งอยู่เต็มแก้วไปตรงหน้าซองจูเป็นคนสุดท้าย
“อย่าให้มันเกินไปนักสิ”
เจ้าตัวลูบลงไปบนกลุ่มผมของซองจูแผ่วเบา ก่อนจะนั่งลง จองวอนที่มองท่าทางของคนทั้งสองอย่างสนอกสนใจนั้น เคาะฝ่ามือเบาๆ ลงบนโต๊ะ
“เอาล่ะ งั้นรีบๆ เริ่มประชุมกันเลยดีกว่าครับ คุณเลซี่เองก็ต้องมาหยุดทำงานเพราะพวกเราที่เข้ามากะทันหันแบบนี้ด้วย”
“ไม่เป็นครับ แล้วก็ผมคิมจองอู เรียกผมด้วยชื่อก็ได้ครับ”
“เอางั้นเหรอ เอาเป็นว่ามาประชุมกันเถอะครับ”
เป็นเรื่องที่ไม่ค่อยเกิดขึ้นนัก กับการที่บอกให้เรียกตัวเองด้วยชื่อคิมจองอูแบบนั้นตั้งแต่เจอกันครั้งแรก ดูอย่างไรซอนจองวอนก็ดูจะได้คะแนนอย่างท่วมท้นในการเจอกันครั้งแรกกับจองอูและคู่รักของเจ้าตัว เซจุนส่งแผนงานที่จองวอนนำมาให้กับจองอูด้วยหนึ่งฉบับ
ในแผนงานนั้นไม่ได้มีข้อมูลที่ซับซ้อนอะไรเลย จองอูมองดูแผ่นกระดาษที่ในนั้นเพียงอธิบายสถานที่แสดง จุดประสงค์ รูปแบบที่ทางบริษัทต้องการเอาไว้เพียงคร่าวๆ ก่อนจะวางมันลง แล้วกล่าวขึ้นอย่างช้าๆ
“เรื่องอื่นก็ไม่มีปัญหาอะไร แต่ในแผนงานนี้ระบุว่ามีการแสดงแบบอะคูสติกกับแบบปกติมาด้วย แบบนี้คือให้มาเป็นตัวเลือกที่ทางเราจะตัดสินใจหรือเปล่าครับ”
“อ้า ก็อย่างที่พูดมาแหละครับ ทางเราอยากให้เป็นการแสดงแบบอะคูสติก แต่ว่าตอนประชุมเมื่อกี้ เซจุนบอกว่าไม่สามารถตัดสินใจเรื่องนี้เองคนเดียวได้ ก็เลยทำมาให้เลือกแบบนี้ครับ”
พอได้ฟังคำพูดของจองวอน สายตาของจองอูก็เหลือบมองไปทางเซจุนทันที แต่ทว่าสีหน้าของเซจุนที่ทำเป็นไม่รับรู้กับสายตาที่บอกว่านี่เป็นครั้งแรกที่ได้ยินอะไรแบบนี้กลับเคร่งเครียดขึ้นเล็กน้อย จองอูเคาะปากกาที่ถืออยู่ในมือลงบนโต๊ะ ก่อนจะกล่าวออกมา
“ผมคิดว่าแสดงแบบปกติดีกว่านะครับ”
สีหน้าของเซจุนที่ได้ยินคำพูดนั้นเคร่งเครียดขึ้นทันที
“ผมคิดว่าตัดความหลากหลายออกไป แล้วก็เล่นแบบอะคูสติกอย่างเดียวจะดีที่สุดนะครับ เวลาการแสดงทั้งหมดมีประมาณหกสิบนาที รวมช่วงอังกอร์ด้วยแล้วคงสักเก้าสิบนาที กับเวลาขนาดนี้ ถ้าเราทำการแสดงให้มันออกมาผ่อนคลายมากกว่าแสดงแบบใส่พลังจัดเต็มอย่างที่เคยทำทุกที มันจะไม่ดีกว่าเหรอครับ”
“การแสดงอะคูสติก เมื่อก่อนก็ไม่ใช่ว่าไม่เคยทำนี่ครับ ประมาณสองปีก่อน ถ้าผมจำไม่ผิด มันเป็นการแสดงที่ทางเอ็นเคมิวสิคจัดขึ้นด้วยนะครับ”
“นั่นมีแค่วงคราฟท์นี่ครับ พวกเราอยากเห็นคุณจองอูมาร่วมเล่นแบบอะคูสติกด้วยไงครับ”
“ไม่รู้สิครับ…”