ประชุมนี้ท่าทางจะยืดเยื้อกว่าที่คิด เรื่องราวที่กำลังพูดคุยกันตอนนี้ ไม่ต่างอะไรจากการโต้เถียงกันโดยเปล่าประโยชน์เลย จองอูที่โดยปกติแล้วก็ไม่ได้ชื่นชอบการแสดงแบบอะคูสติกอยู่แล้วนั้น จึงไม่ยินดีกับข้อเสนอของจองวอน ถึงแม้จะเป็นปัญหาที่พอจะหลับหูหลับตายอมรับได้ก็ตาม แต่การพยายามยื้อไปมาแบบนี้ก็เพราะไม่อยากทำจริงๆ ครึ่งหนึ่งของข้อเสนอนั้นเขายอมรับได้ ก็แค่อยากขึ้นเวทีร่วมกับวงคราฟท์เท่านั้น จองอูกล่าวออกมาด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
“ถ้าสมาชิกวงคราฟท์ทุกคนอยากทำแบบอะคูสติก ผมก็จะลองคิดดูอีกครั้ง แต่พูดตรงๆ นะครับ ผมไม่ชอบใจกับการแสดงแค่แบบอะคูสติกนักหรอกครับ”
“ทำไมเหรอครับ ถามเหตุผลได้ใช่ไหมครับ”
“เวลาหกสิบนาทีมันนานกว่าที่คิดนะครับ แต่ละเพลงให้พยายามเล่นยืดขนาดไหนก็ได้แค่เพลงละหกถึงเจ็ดนาทีเองครับ แล้วเพลงทั้งหมดก็ไม่ได้ทำออกมายาวขนาดนั้นด้วย รวมเวลาพูดเปิดแต่ละช่วง และเวลาเซ็ทเครื่องดนตรีเข้าไปแล้ว ยังไงก็ต้องเล่นถึงเจ็ดเพลงมันถึงจะพอ มันเป็นเวลาที่โอเคเลยกับการเล่นแบบจริงจังตามต้นฉบับเพลงที่มี”
จองอูกล่าวออกมาด้วยสีหน้าจริงจัง ซองจูเห็นว่าดูอย่างไรก็เป็นท่าทางที่สง่าผ่าเผยอย่างมาก จึงได้ปิดหนังสือที่อ่านอยู่เมื่อครู่ลงเสีย แล้วก็ใช้มือเท้าคาง ขณะเฝ้ามองดูท่าทางเช่นนั้น
“อีกอย่าง เพลงทั้งหมดที่ปล่อยออกมาก็เป็นซาวนด์อิเล็กทรอนิกส์ ถ้าจะแสดงอะคูสติกก็จำเป็นต้องแก้ไขใหม่ทุกเพลงไม่ใช่เหรอครับ คราฟท์มีเพลงที่เป็นแบบอะคูสติกประมาณเพลง สองเพลงในแต่ละอัลบั้มอยู่แล้ว ถ้าต้องการเราเอามาใช้สักเพลงก็ได้ วันแสดงอยู่ประมาณช่วงไหนเหรอครับ”
“กลางเดือนหน้าครับ”
“กลางเดือนหน้า…งั้นก็เหลือเวลาอีกแค่ประมาณหนึ่งเดือน เวลาแค่นี้กับการจัดเตรียมการแสดงจะไม่กระชั้นเกินไปหน่อยเหรอครับ ผมเองตอนนี้ก็มีงานที่ทำกับศิลปินคนอื่นอยู่ด้วย”
“อืม พวกฝาแฝดเองก็มีงานส่วนตัวกันด้วย คงจะเรียกมาตามใจชอบไม่ได้หรอกนะครับ ทำแบบที่จองอูบอกจะไม่ดีกว่าเหรอครับ”
ทั้งสี่คนต่างแลกเปลี่ยนสายตากันไปมา
หากเป็นแบบนี้ เห็นทีการประชุมคงจะยืดเยื้อโดยเปล่าประโยชน์ หนักสุด อาจจะถึงขั้นเสียความรู้สึกกันทั้งสองฝ่าย ถึงจะแค่มองสถานการณ์อยู่ข้างๆ ก็พอจะเข้าใจคนพวกนั้นได้ไม่ยาก ซองจูเองก็ไม่สบายใจที่ได้เห็นสีหน้าที่เคร่งเครียดขึ้นเรื่อยๆ ของจองอู เขาไม่อยากเห็นหน้าบึ้งตึงแบบนั้นไปตลอดช่วงเย็นหรอกนะ
“คือว่า…”
ยกมือข้างหนึ่งขึ้น ก่อนจะกล่าวออกมา
“ขอพูดอะไรหน่อย”
ด้วยเป็นเรื่องที่ไม่คาดคิด สายตาทั้งหมดจึงมารวมกันที่ซองจู
“คือว่า นายชื่อจองวอนใช่ไหม คือ เออ…ไงดีล่ะ ต้องทำแบบนั้นเลยหรือไง”
คำถามของซองจูทำให้จองวอนกล่าวออกมาด้วยสีหน้าเลิ่กลั่ก
“ไม่ครับ ไม่ได้จำเป็นต้องทำแบบนั้นครับ”
“งั้นก็ไม่จำเป็นต้องดื้อดึงจนพานให้ทะเลาะกันนี่ใช่ไหม”
“ก็ใช่ครับ…”
สีหน้าของจองวอนดูจะมึนงงอยู่เล็กน้อย เขาเองก็ไม่ได้รู้อะไรเกี่ยวกับดนตรีดีมากมายนัก การมาก้าวก่ายแบบนี้ก็ทำเขารู้สึกผิดอยู่บ้าง แต่ทว่าเพื่อความสุขและความสงบของครอบครัว ซองจูจึงต้องพูดต่อไป
“การที่ฉันมาพูดแบบนี้มันก็ยังไงๆ อยู่ แต่ว่าการแสดงน่ะ มันก็คือสิ่งที่ศิลปินอยากแสดงออกมาให้เห็นไม่ใช่หรือไง ก็ใช่ที่มันมีเรื่องของธุรกิจแบบผู้ใหญ่มาเกี่ยวข้องด้วย แต่การบังคับให้ทำในสิ่งที่ไม่อยากทำ มันก็คงไม่ใช่เรื่องที่ดีนัก ถ้าเป็นฉันเอง การเตรียมพร้อมกับบทที่ถูกบังคับมา มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยนะ เจ้าพวกนี้เองก็เหมือนกันนั่นแหละ”
ด้วยคำพูดของซองจู ทำให้จองวอนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง สีหน้าของซองจูที่มุ่งมันกับการหยุดการถกเถียงนี้ เปลี่ยนกลับไปเรียบนิ่งเช่นเดิม ในตอนที่โยนหนังสือที่ไม่อ่านแล้วไปไกลตัว ก็ได้สบตากับเซจุนเข้า
‘ขอบคุณครับ’
เจ้านั่นขยับปากพูดความรู้สึกออกมาโดยไร้เสียง ซองจูยกยิ้มตอบรับกลับไป
“งั้นก็แสดงแบบปกติเจ็ดเพลง ช่วงอังกอร์แบ่งคนละเพลงก็รวมเป็นเก้าเพลง แล้วจะแบ่งกันยังไงดีล่ะ”
“ของผมรวมเพลงอังกอร์แล้วก็เป็นสี่เพลง อีกห้าเพลงก็ใช้เพลงของพวกพี่ๆ ในนั้นก็จะเลือกเพลงอะคูสติกมาเพลงนึง ให้พี่ซองฮุนเป็นคนร้อง”
“แบบนี้โอเคเหรอ นายจะเล่นห้าเพลงก็ได้ พวกเราไม่ว่าอะไรอยู่แล้ว”
“ยังไงเพลงของพวกพี่ก็มีเพลงที่ผมร่วมทำด้วยอยู่แล้วนี่ครับ ไม่เป็นไรหรอก สำคัญที่การจัดเวลาให้มันสมดุลกัน งั้นเล่นสิบเพลงเพิ่มเพลงโปรโมตเข้าไปด้วยแบบนั้นเป็นไงครับ”
“เอางั้นเหรอ จองวอน บริษัทนายมีเพลงที่อยากให้เล่นเป็นพิเศษไหม”
“อ้อ มี มีสิ เพลงนั้นไง…”
บรรยากาศเย็นยะเยือกเมื่อครู่สลายไปราวกับไม่เคยเกิดขึ้น เพราะต่างฝ่ายก็มีเป้าหมายที่อยากให้การแสดงนั้นออกมาดีเช่นกัน ต่างกันแค่เงื่อนไขเล็กน้อยเท่านั้น และต่างฝ่ายก็ไม่ได้ประสงค์ร้ายต่อกันเลย ด้วยเพราะแบบนั้น ทั้งหมดจึงสามารถตกลงเงื่อนไขกันได้ แต่ซองจูไม่ใช่แบบนั้น ที่ออกมาไกล่เกลี่ยด้วยตัวเอง เพราะไม่อาจทนดูสีหน้าขมขื่นของอีกคนได้ เพราะว่าเขาเข้าใจความรู้สึกของจองอูดี สายตาของซองจูจ้องมองไปที่มือข้างซ้ายที่วางอยู่บนต้นขาของจองอูโดยไม่รู้ตัว
คิมจองอูน่ะ ตอนที่อยู่กับคนที่ไม่สนิทกันก็มักจะซ่อนมือข้างซ้ายเอาไว้ที่ไหนสักที่ ปกติแล้วจะซุกมือซ้ายไว้ในกระเป๋าของชุดที่ใส่หรือไม่ก็กำมือไว้หลวมๆ ดังนั้นซองจูจึงไม่เคยรู้เลยว่ามือข้างซ้ายของจองอูนั้นมีปัญหา
เช่นเดียวกับการไว้ผมยาวปิดบังบาดแผลบนใบหน้าเอาไว้ จองอูก็คอยซ่อนนิ้วก้อยข้างซ้ายที่ผิดปกติเอาไว้อยู่เสมอเช่นกัน ซองจูเองก็ไม่เคยรู้ว่านิ้วมือนั้นกลายมาเป็นแบบนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่ เช่นเดียวกับบาดแผลบนใบหน้าที่เกิดจากการถูกแม่เตะ นิ้วมือที่มีสภาพไม่อาจใช้การได้ปกตินั่น ก็คงเกิดจากการถูกใช้ความรุนแรงแบบหนึ่งเช่นกัน การคาดเดาก็เป็นแค่เพียงการคาดเดา ด้วยไม่เคยมีอะไรหลุดลอดออกมาจากปากของจองอูเลย จึงไม่สามารถยืนยันอะไรได้
เพราะนิ้วมือนั้นทำให้เกิดผลเสียมากมายในตอนนี้ โดยเฉพาะเมื่อใช้เครื่องดนตรีทำเพลงก็ยิ่งเห็นชัดเจนขึ้นไปอีก
เวลาจองอูเล่นกีต้าร์นั้น ไม่สามารถเล่นให้เสียงมันออกมาสมูทได้เลย แต่เพราะมีเครื่องมือและอุปกรณ์อัดเสียงคุณภาพดี จึงสามารถปรับแต่งเสียงกีต้าร์ไฟฟ้าหรือเบสได้ ถ้าต้องเล่นอะคูสติกกีตาร์ต่อหน้าคนอื่นแล้วละก็คงสามารถรู้สึกได้ถึงความผิดแปลกเล็กน้อยนั่นได้ กระทั่งคนภายนอกแบบเขายังรู้สึกได้ พวกมือโปรก็คงดูออกได้ทันที การปฏิเสธการแสดงแบบอะคูสติกก็คงด้วยเหตุผลนั้นอย่างแน่นอน
ซองจูปิดปากเงียบ
หากเจ็บปวดเพราะบาดแผลที่เขาเป็นคนสร้างก็คงขอโทษออกไป หรือบังคับให้ปล่อยวางมันไปได้ แต่ทว่าบาดแผลแบบนี้ คงไม่สามารถทำแบบนั้นได้ อุปสรรคและรอยแผลเป็นที่อาจลบมันไปได้ตลอดชีวิตนั่น สร้างความเจ็บปวดให้จองอูได้มากมายเหลือเกิน แม้จะอยู่ร่วมกันก็ไม่สามารถรับความเจ็บปวดพวกนั้นแทนกันได้ ดังนั้นซองจูคอยคิดถึงความเจ็บปวดของอีกคนอยู่เสมอ
“อ้า น่าเสียดาย ดูท่าคงจะไม่ได้บทสรุปง่ายๆ”
เสียงนั้นดังมาให้ได้ยินอย่างกะทันหัน ซองจูที่เอาแต่มองไปที่มือของจองอูจึงได้เงยหน้าขึ้นเพราะตกใจกับเสียงนั้น แล้วจึงได้สบกับสายตาของจองอูที่มองมาที่เขาอยู่ก่อนแล้ว ก่อนจะยกยิ้มแหยให้กับอีกคน แล้วหันมองไปโดยรอบ จึงได้เห็นว่าพวกนั้นกำลังหาว หรือไม่ก็บิดขี้เกียจกันอยู่ ซองจูเอนตัวพิงไปกับเก้าอี้ แล้วจึงก้มมองไปด้านข้าง ตรงนั้นมีกีต้าร์เบสที่ซองจูเอามาเล่นอย่างนึกสนุกเมื่อนานมาแล้ว วางตั้งอยู่บนแท่นวางตัวหนึ่ง
“นี่ เซจุน”
“ครับพี่”
“ทำไมนายถึงเริ่มเล่นดนตรีล่ะ”
ซองจูมองไปที่เบสพร้อมกับเอ่ยถามเซจุน แต่เหมือนคำตอบจะง่ายกว่าที่คิด คำถามสุดท้ายจึงถูกพับเก็บไปเหมือนเปลือกหอยที่ปิดสนิทลง ซองจูย้ายสายตาที่จ้องมองเบสไปที่เซจุนแทน
“มันต้องมีเหตุผลไม่ใช่เหรอ”
เซจุนตอบกลับคำถามนั้นด้วยสีหน้างุนงง
“อืม ตอนตีกลองมันช่วยให้หายเครียดได้มั้งครับ”
“อะไรกัน ไม่เห็นจะเข้าท่า”
คำตอบที่ได้รับไม่เห็นจะเท่เลยสักนิด หัวคิ้วจึงได้ขยับเข้าหากันโดยอัตโนมัติ เซจุนมีสีหน้าอึ้ง เมื่อรู้สึกได้ถึงความผิดหวังของซองจู ก่อนจะหลุดขำออกมา
“คนที่เริ่มต้นด้วยเหตุผลเท่ๆ น่ะมีแค่ไม่กี่คนเองครับ ส่วนมากก็เริ่มจากเหตุผลธรรมดาๆ เริ่มเล่นเพราะอยากดูดีเวลาอยู่ต่อเพื่อนๆ หรือไม่ก็เพราะไม่ชอบการเรียนหนังสือ ส่วนใหญ่ก็ด้วยเหตุแบบนี้กันทั้งนั้นแหละครับ”
“งั้นตอนนี้ เวลานายตีไอ้นั่นก็จะทำให้หายเครียดเหรอ”
“อืม ยังไงดีละ ผมเริ่มตีกลองก่อนเป็นอย่างแรก เวลาตีกลองก็เหมือนกับต้องใส่พลังกายลงไปด้วย เพราะแบบนั้นก็เหมือนได้ออกกำลังกาย แถมยังได้เงิน แบบนั้นมันก็ดูไม่เลวเลยนะครับ”
“งั้นเหรอ”
ซองจูหลุดขำออกมา ทั้งจองวอนและจีฮยอนที่รู้สึกสนใจกับบทสนทนาของคนทั้งคู่จึงได้เฝ้ามองพวกเขาอยู่อย่างนั้น
“พวกนายใช้ชีวิตอยู่กับดนตรีทุกวันแบบนั้น ฉันก็เลยลองเรียนดูบ้าง อยากรู้ว่ามันสนุกยังไง แต่ว่าฉันก็ไม่เข้าใจมันเลยสักนิด ให้แสดงละครยังดีซะกว่า”
“ทุกคนต่างก็มีหนทางของตัวเองนี่ครับ กับพี่เองทางนั้นก็ไม่ใช่ดนตรีไงครับ”
“งั้นจะบอกว่าทางของเจ้าซองฮีคือดนตรีงั้นเหรอ”
“ก็อาจจะใช่มั้งครับ จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่เคยได้ยินซองฮีบ่นว่าไม่ชอบดนตรีเลยสักครั้งนะครับ”
คำตอบของเซจุนทำให้สีหน้าของซองจูเคร่งเครียดขึ้นมา
เขาสงสัยสิ่งที่อยู่ในใจของจองอูที่ยังคงเล่นดนตรีต่อไป ทั้งที่นิ้วมือไม่ปกติแบบนั้น แล้วเขาก็สงสัยน้องชายของตัวเองที่ยอมแพ้กับอนาคตอันสวยหรูแล้วบอกว่าจะมาเป็นนักดนตรีนั่นด้วย
ดนตรีมันดีขนาดนั้นเลยเหรอ กระทั่งตอนที่เลือกเส้นทางการแสดง เขาคิดคำนวณอยู่นานว่าสิ่งนี้มีประโยชน์กับเขาหรือไม่ ให้ผลประโยชน์อะไรบ้าง มั่นใจแล้วจึงได้เริ่มทำมัน เทียบกันแล้ว การตัดสินใจของซองฮีนั้นไร้ความรอบคอบอย่างมาก
อันที่จริงแล้ว ซองฮีต้องอดทนว่าสิบปีถึงจะประสบความสำเร็จเช่นนี้ แต่ทว่าพ่อแม่ไม่ได้พูดอะไรและยอมรับการตัดสินใจแบบนั้นของซองฮี แต่บรรยากาศช่างแตกต่างกันอย่างมากกับตอนที่เขาเลือกเป็นนักแสดงและโน้มน้าวใจพ่อกับแม่ ซึ่งซองจูเองก็พอจะแยกแยะได้
“ฉันไม่เข้าใจเลย”
“มันไม่จำเป็นต้องทำความเข้าใจไม่ใช่เหรอครับ”
“มันก็ใช่ ตอนนี้ฉันเองก็ไม่รู้สึกว่าจำเป็นต้องทำอย่างนั้นเลยเหมือนกัน แต่ช่วงนี้เอาแต่สงสัยอะไรแปลกๆ แหะ”
“พี่เองก็มีอะไรที่เปลี่ยนไปหลายอย่างนะครับ แล้วพี่ลองเรียนเครื่องดนตรีอะไรล่ะครับ”
เซจุนจิบกาแฟเข้าไปอึกหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยตอบออกไป กาแฟที่น้ำแข็งละลายไปโดยไม่รู้ตัวนั้นไหลผ่านเข้าไปในท้อง แล้วจึงยื่นขนมชิ้นหนึ่งที่วางอยู่บนโต๊ะไปให้จีฮยอนที่นั่งอยู่ข้างๆ ระหว่างที่รอคอยคำตอบของซองจู
“นั่นไง”
“เบสเหรอครับ”
เซจุนมองตามปลายคางของซองจูที่พยักพเยิดชี้ไป
เฟนเดอร์ พรีซิชัน เบส แน่นอนเลยว่านั่นเป็นเบสของจองอู ที่เคยทำท่ารังเกียจเมื่อพูดถึงดนตรี พอได้คบกับนักดนตรีเข้าก็ถึงกับอยากเรียนดนตรีขึ้นมา ทำให้เขาหลุดขำออกมา ถึงใครจะว่าอย่างไร หากฮันซองจูก็มีเสน่ห์แบบลึกลับอยู่บ้าง
“ไม่ดีเหรอครับ”
“ไม่ เจ็บมือเปล่าๆ ยุ่งยากด้วย”
“งั้นก็ยอมแพ้เถอะครับ ไม่จำเป็นต้องเล่นดนตรีเก่งขนาดนั้นสักหน่อยนี่ครับ”
“ไอ้ นายกำลังเยาะเย้ยเพราะฉันเล่นไอ้นั่นไม่ได้ใช่ไหม”
คำพูดของเซจุนทำเอาซองจูหัวร้อนขึ้นมาทันที
ซองจูที่รับรู้ถึงการตกเป็นเป้าสายตาจากจองวอนที่งงว่าทำไมสองคนที่คุยกันอยู่ดีๆ เมื่อครู่ถึงกลายเป็นแบบนั้นเสียได้ กับจองอูที่รู้อยู่แล้วว่าต้องกลายเป็นแบบนี้ และยังสายตาจากจีฮยอนอีก ดังนั้นเขาจึงแผดเสียงตะโกนออกมา
“นี่ ฉันเล่นเปียโนเก่งนะ”
“อ้า ครับ…”