ซองจูทำท่าทางฮึดฮัดพร้อมจ้องไปที่เซจุนซึ่งทำท่าทางไม่สนใจกับระดับความสามารถที่ได้รับการฝึกฝนเพียงเล็กน้อยจากโรงเรียนใกล้บ้านๆ แบบนั้น พอหันมองไปรอบตัว ซองจูก็สังเกตเห็นอัพไรท์เปียโน[1]ตั้งอยู่ตรงมุมหนึ่งของห้องทำงาน จึงตะโกนถามจองอู
“นั่นน่ะ ยังดีอยู่ใช่ไหม”
“หือ”
จองอูที่ตกใจกับเหตุการณ์กะทันหันนั้นจึงได้ตอบกลับไปอย่างงุนงง ซองจูชี้มือออกไปทางเปียโน แล้วถามขึ้นอีกครั้ง
“นั่นไง”
“อ้อ อือ”
ทิ้งจองอูที่ตอบตะกุกตะกักเอาไว้ แล้วซองจูก็ก้าวฉับๆ ไปทางเปียโน สีหน้าของจองวอนที่กำลังมองดูเหตุการณ์ทุกอย่างอยู่นั้นยกยิ้มค้างอย่างไม่รู้จะทำอย่างไรต่อไป เจ้าตัวใช้สายตาที่เต็มไปด้วยความสงสัยเฝ้ามองสถานการณ์ทั้งหมดต่อไป
ซองจูหยุดเท้าตรงหน้าอัพไรท์เปียโน เปิดฝาที่มีฝุ่นบางๆ เกาะอยู่ราวกับไม่เคยถูกแตะต้องเลยนั้นขึ้นมา สูดหายใจเข้าลึก ก่อนจะวางนิ้วหนึ่งลงบนแป้นเปียโน
ติ๊ง
เสียงกังวานใสดังก้องขึ้นมา ที่จริงแล้วเปียโนนี้อยู่ในสภาพที่ต้องปรับเสียงเสียก่อน แต่ซองจูก็ไม่ได้รู้ถึงขนาดนั้น พอลองกดลงบนแป้นเปียโนแล้วก็ปล่อยเวลาให้ผ่านไปอยู่นาน ตัวเขาไม่ได้มีเซนส์ด้านดนตรีเหมือนกับคนส่วนใหญ่ที่อยู่ในห้องนี้
ครืด
พอลากเก้าอี้ออกมาแล้วนั่งลงไป เขาก็เอียงคอแล้วครุ่นคิดว่าจะเล่นเพลงอะไรดี เขารู้จักเพลงมากมาย แต่แล้วเขาก็ใช้นิ้วมือเคาะลงบนปลายคาง ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นซองจูจึงวางนิ้วมือลงบนแป้นเปียโนก่อนจะเริ่มกดลงไป
“อ้า…”
ในตอนที่เสียงเพลงดังขึ้น จองอูก็หลุดยิ้มขำออกมา เพลงที่ซองจูเริ่มเล่น k265 [Ah! vous dirai-je, Mama] ของโมสาร์ท หรือก็คือ [Twinkle, Twinkle, Little Star] นั่นเอง
สีหน้าที่ดูตื่นตระหนกกลายเป็นอ่อนโยนขึ้นมา จนกระทั่งจบเพลง ทุกคนที่รวมตัวอยู่ในห้องนี้ต่างก็คิดว่าซองจูโมโหจึงได้แสดงท่าทีโอ้อวดออกมาเท่านั้น แต่ทว่าท่าทางที่บรรเลงเพลงแสดงเดี่ยวเปียโนของเจ้าตัวนั้นไม่ได้ดูลำบากยากเย็น นิ้วมือที่ได้รับความทรมานจากการเล่นเบส กลับวางไล่ไปตามแป้นเปียโนได้อย่างเป็นธรรมชาติ
“อืม แค่นี้พอหรือยังล่ะ”
พอการแสดงจบลง ซองจูทำเสียงติ๊งๆ ด้วยการขยับเรียวนิ้วไปมาบนแป้นเปียโน แม้จะเป็นการแสดงที่ไม่มีอะไรนัก แต่ก็รู้สึกได้ว่าเป็นการขยับนิ้วด้วยความผ่อนคลาย ซองจูที่ขยับไล่เรียวนิ้วไปตามใจอยู่ไม่นานนัก สอดเรียวนิ้วทั้งสองข้างเข้าหากัน ก่อนจะเหยียดมือไปมา หลังจากนั้นจึงวางนิ้วเรียวลงบนแป้นเปียโนอีกครั้ง
“โอ๊ะ”
เมื่อปลายนิ้วของซองจูกดลงไป บทเพลงที่ถูกบรรเลงออกมาอีกครั้ง ทำให้ดวงตาของทุกคนเบิกโพลงขึ้นทันที บทเพลงที่พริ้วและนุ่มนวลกว่าเมื่อครู่กำลังถูกบรรเลงออกมา
“โชแปง?”
จองวอนพึมพำออกมา เพลงที่ซองจูกำลังเล่นอยู่คือน็อกเทินส์ โอพัสที่ 9 ของโชแปง (Chopin Nocturne Op.9 No.2) นั่นเอง
การแสดงของซองจูนับว่าไม่เลวเลย ดังเช่นคำโอ้อวดของเจ้าตัว อาจจะไม่ถึงขั้นเทียบเท่ากับนักเปียโนผู้เชี่ยวชาญ แต่ทว่าก็เป็นการแสดงที่รู้สึกได้ว่าผ่านการฝึกฝนมาอย่างยาวนาน
ทุกคนหยุดทุกสิ่งที่ทำอยู่ลง แล้วตั้งใจฟังการแสดงของซองจู ในตอนที่การแสดงจบลงไม่มีใครพูดอะไรออกมา เพียงมองไปยังซองจูที่นั่งอยู่หน้าเปียโนด้วยแววตาเลื่อนลอย ซองจูยกยิ้มกว้าง ทันทีที่ได้เห็นสีหน้าที่อึ้งทึ่งเช่นนั้น รอยยิ้มนั่นยิ่งทำให้อีกฝ่ายดูดีและมีเสน่ห์มาก
“เห็นหรือยัง เล่นได้ดีกว่าที่คิดใช่ไหมล่ะ”
นับว่าเป็นการแสดงที่ไม่เลวเลยทีเดียว ออกมาดูดีจนทำให้สีหน้าของเจ้าตัวพลันดูสดใสด้วยความรู้สึกกระหยิ่มยิ้มย่องอยู่ในใจ
“การแสดงแบบนั้นเหมือนกับอาจารย์อีซองจุนเลย”
พอการแสดงของซองจูจบลง จองวอนที่ขบคิดคำพูดบางอย่างละเอียดอยู่นั้นก็ได้พูดพึมพำออกมา ต่างจากคนอื่นที่มองไปทางจองวอนราวกับถามว่ากำลังพูดเรื่องอะไร หน้าของซองจูนั้นกลับยังมีรอยยิ้มพอใจประดับอยู่
“อ้อ อาจารย์ฉันเองน่ะ”
“หา?”
คำตอบที่ไม่คาดคิดนั่น ทำให้ทุกคนเกิดอาการตกใจขึ้นมาอีกครั้ง ในบรรดาทั้งหมดนั้นมีเพียงจองวอนที่ยังคงรักษาสีหน้าสงบนิ่งเอาไว้ได้
“เป็นลูกศิษย์ท่านเหรอครับ”
“มันก็ไม่ใช่เรื่องยิ่งใหญ่อะไรหรอก แค่ได้เรียนกับท่านมาตั้งแต่เด็กๆ แล้วน่ะ จนถึงตอนม.ปลายปีสองล่ะมั้ง แม่เขาอยากให้เก่งอะไรแบบนั้นน่ะ”
จบคำพูดของซองจู เซจุนก็โพล่งคำพูดออกมาทันที
“ซองฮีบอกว่าไม่เคยได้เรียนเกี่ยวกับดนตรีเลยนะ”
“เออ เรื่องนั้น…”
ซองจูมีสีหน้ากระอักกระอ่วนขึ้นมา
“ส่วนใหญ่เจ้านั่นได้เรียนพวกกีฬากับวิทยาศาสตร์น่ะ เพราะว่าดูแมนๆ ก็เลยคิดว่าไม่มีความจำเป็นจะต้องเรียนพวกดนตรีหรือศิลปะอะไรแบบนั้น”
คำพูดนั้นทำให้ทุกคนทำสีหน้าแปลกประหลาด
ภายนอกพ่อและแม่ของซองจูก็เพียงแค่ดูสง่างาม ถึงจะรู้ดีว่ามีความคิดที่ไร้เหตุผลอยู่บ้าง แต่ก็คิดไม่ถึงว่าจะเป็นขนาดนี้ การพูดแบบนี้ต่อหน้าคนที่เพิ่งจะเคยเจอกันครั้งแรกนั้นก็ทำให้กังวลอยู่บ้างเล็กน้อย แต่ทว่าก็มั่นใจว่าทุกคนไม่คิดติดใจอะไรหรอก ซองจูที่อยู่ตรงหน้าเปียโนยกมือขึ้นกอดอก แล้วพูดเสียงแผ่วเบาออกมา
“ฟังดูเหลวไหลใช่ไหม ก็นะ สุดท้ายแล้วก็ได้เข้าเรียนด้านวิศวกรรม สมัยอยู่มหาวิทยาลัย ถึงจะลาออกก็เถอะ”
สีหน้าของซองจูตอนที่กล่าวคำนั้นดูหงอยลงไป
เป็นพี่น้องที่ทุกอย่างตรงข้ามกันไปหมด ทั้งรูปลักษณ์ ทั้งท่าทาง ทั้งนิสัย กระทั่งความสามารถก็ต่างกันอย่างสิ้นเชิง ซองจูจบคณะบริหารจัดการจากมหาวิทยาลัยเอกชนชื่อดัง ส่วนซองฮีนั้นเข้าเรียนในคณะวิทยาศาสตร์และวิศวกรรมของมหาวิทยาลัยเอกชนชื่อดังที่เป็นคู่แข่งกับของซองจู สุดท้ายแล้วก็บอกว่าจะเป็นนักดนตรี หลังจากปลดประจำการแล้วก็ไม่กลับไปเรียนอีกเลย เมื่อคิดถึงช่วงมหาวิทยาลัยแล้ว ซองฮีนับว่าเป็นคนที่เรียนเก่งมาก
พ่อแม่หวังให้ซองจูได้เดินในเส้นทางสายดนตรีหรือศิลปะ จึงได้ส่งสัญญาณให้รับรู้ ด้วยการให้ไปเรียนดนตรีคลาสสิค
แต่ทว่าซองจูนั้นไม่มีพรสวรรค์ในด้านดนตรีเลย ถึงจะฝากฝังให้ได้เรียนกับนักเปียโนชื่อดัง ขนาดยอมจ่ายเงินเพิ่มให้ จัดการให้ได้เรียนแบบตัวต่อตัว แต่ทว่าพ่อแม่ก็ยังให้ซองจูเล่นเปียโนไปจนกระทั่งขึ้นมัธยมปลายปีสองถึงขนาดนั้นก็ต้องมีความเชี่ยวชาญกันบ้าง แต่เอาเข้าจริงเขากลับได้แต่แค่นเสียงเฮอะออกมาเท่านั้นแหละ
คนที่ต้องการความเชี่ยวชาญอะไรแบบนั้น ความจริงแล้วน่าจะเป็นซองฮีมากกว่า แต่พ่อแม่ของพวกเขานั้นไม่เคยรับรู้เลยว่าแท้จริงแล้วลูกมีความต้องแบบไหน หรือมีพรสวรรค์อะไร สุดท้ายก็เป็นพวกเขาที่ได้ความเสียหายจากเรื่องนั้น ความไม่ปรองดองกันของซองจูและซองฮีก็มาจากสาเหตุพวกนี้เช่นกัน
“ว่าแต่ทำไมไม่เล่นต่อไปล่ะครับ ถึงจะหยุดไปนานก็ยังเล่นได้ถึงขนาดนี้ ก็คงไม่ถึงกับไม่มีพรสวรรค์เลยไม่ใช่เหรอครับ”
“อ้า ถามอะไรแบบนั้นเล่า! ก็เพราะว่าทำไม่ได้ไงล่ะ!”
ซองจูหงุดหงิดจนโมโหออกมา
“ฉันน่ะไม่มีหรอกนะไอ้เพอร์เฟกต์ พิตช์[2]ที่ใครเขาบอกกันน่ะ แล้วฉันก็ไม่ได้เรียนมันเพราะอยากเรียน ก็แค่เลียนแบบคนอื่นไปเท่านั้น ไม่ได้รู้สึกสนุก แล้วก็คิดแค่ว่ามันเป็นสิ่งที่ต้องทำแค่นั้น ไม่รู้จักหรอกการเรียนอย่างง่ายๆ น่ะ เพราะเริ่มต้นฉันก็ได้เรียนอะไรที่มันเกินคำว่าง่ายไปแล้ว ก็เลยได้เห็นว่าเป็นทางตันแล้ว”
สีหน้าของซองจูที่กำลังหวนนึกถึงเรื่องราวในอดีตอย่างเงียบๆ นั้น ถึงอยากจะแสดงความหงุดหงิดออกมา แต่ก็ทำได้แค่กดมันเอาไว้เท่านั้น
“ฉันอ่านโน้ตในทันทีไม่ได้ บรรดาพวกที่เรียนด้วยกัน มีคนนึงที่เป็นเหมือนกับฉัน เจ้านั่นถึงจะเป็นแบบนั้นก็ยังต้องเปิดหูรับฟัง ให้ตายยังไงก็พยายามฟังที่คนอื่นเล่นแล้วทำตาม แต่แล้วก็มาถึงจุดที่กระทั่งการทำแบบนั้นมันก็ยังยากไป ครอบครัวของหมอนั่นน่ะเป็นนักดนตรีกันหมด สุดท้ายก็มาพบว่าตัวเองเข้าเรียนด้านดนตรีไม่ได้ เทียบกันแล้ว ฉันก็ยังถือว่าดีกว่ามาก พอบอกให้รู้แต่เนิ่นๆ ว่าฉันไปต่อไม่ได้แล้ว พวกท่านก็บอกว่าแค่เรียนไว้เป็นความรู้ติดตัวก็พอ”
เรื่องราวของซองจูฟังดูน่าเศร้า คนอื่นที่ไม่รู้ว่าควรจะตอบรับอย่างไรกับคำพูดนั้น จึงแค่มองมาเท่านั้น ซองจูลุกขึ้นจากนั่ง แล้วปิดฝาครอบเปียโนลง
“ยังไงก็ช่าง ฉันก็ไม่ใช่ว่าเล่นดนตรีอะไรไม่เป็นเลยแล้วกันเถอะ!”
ซองจูกล่าวเช่นนั้นออกมา พร้อมกับกลับไปนั่งที่ตัวเอง
ระหว่างที่เดินมาก็คว้าเบสที่วางตั้งอยู่บนแท่นถือติดมือมาด้วย แล้วซองจูก็หันไปกล่าวกับจองวอน
“ว่าแต่รู้ได้ยังไงว่าฉันเรียนกับอาจารย์อีซองจุน”
“อ้อ เรื่องนั้นเอง”
คำถามที่เอ่ยขึ้นอย่างกะทันหันทำให้จองวอนมีท่าทีตกใจ ก่อนจะตอบกลับไป
“มันมีความเป็นเอกลักษณ์อยู่น่ะครับ ให้อธิบายเป็นคำพูดมันค่อนข้างยาก…คือบริษัทเดิมที่ผมเคยทำงานอยู่ เป็นบริษัทด้านเพลงคลาสสิคน่ะครับ ก็เลยโชคดีได้ดูการแสดงของอาจารย์อีซองจุนอยู่บ่อยๆ”
“รู้เพราะตอนนั้นเหรอ”
“ครับ”
“หืม ฟังออกอย่างนั้นสินะ ฉันไม่เห็นจะรู้เลย”
“มันก็เหมือนเป็นโรคจากการทำงานแหละครับ”
พูดถึงอีซองจุนแล้วล่ะก็ ถือเป็นหนึ่งในบรรดานักเปียโนระดับประเทศที่มีชื่อเสียงโด่งดังคนหนึ่งเลย สอนอยู่ในมหาวิทยาลัยระดับประเทศ แล้วยังมีลูกศิษย์มากมายที่เป็นนักดนตรีที่มีชื่อเสียง กับคนระดับนั้น การฝากลูกชายไปเป็นศิษย์ ถึงจะพิสูจน์ออกมาแล้วว่าไม่มีพรสวรรค์ แต่ก็ยังคงให้เรียนต่อไป พ่อแม่แบบนั้นเป็นคนอย่างไรกันนะ จองวอนได้แต่นึกสงสัยเกี่ยวกับพ่อแม่ของพี่น้องตระกูลฮัน
“ยังไงก็ตาม วันนี้รบกวนเป็นอย่างมากเลยนะครับ หวังว่าคราวหน้าจะได้เจอกัน ในโอกาสที่ดีกว่านี้นะครับ”
จองวอนกล่าวออกมาเช่นนั้นก่อนจะลุกจากที่นั่ง จีฮยอนที่คอยตามหลังอีกฝ่ายอยู่ตลอดก็พลอยลุกขึ้นมาด้วย
“จะไปแล้ว?”
“อือ นี่ก็ทุ่มนึงแล้ว ต้องรีบกลับไปพักผ่อนได้แล้วสิ พรุ่งนี้ยังต้องไปทำงานอยู่นี่นา”
“เอ่อ ผมเองก็ขอตัวนะครับ วันนี้กลับดึกใช่ไหม”
พอเห็นท่าทางของจีฮยอนที่หันกลับมาโค้งให้เขา เซจุนเองก็พลอยลุกขึ้นจากที่นั่งไปด้วยอีกคน
“ไม่ละ ฉันเองก็ต้องกลับเหมือนกัน”
จองอูทำหน้าราวกับกินยาขมๆ พร้อมกับเอ่ยว่า
“บอกว่าอยากกลับด้วยกันแค่นั้นก็สิ้นเรื่อง ไม่เห็นต้องทำท่ามากแบบนั้นเลยนี่ครับ ที่นี่ทุกคนก็รู้เรื่องที่ทั้งสองคนคบกันอยู่แล้วนี่ครับ”
“นี่ ดูพูดเข้า เดี๋ยวนี้ชักจะเหมือนพี่เขาเข้าไปทุกทีแล้วนะ”
จองอูไม่ได้โต้ตอบกับคำกล่าวนั้น
“พี่ครับ พวกผมกลับก่อนนะครับ”
“อือ ไปเถอะ แล้วไว้เจอกัน”
“ครับ พักผ่อนเถอะครับ”
[1] อัพไรท์เปียโน เปียโนที่มีสายและโครงวางในแนวตั้ง
[2] เพอร์เฟกต์ พิตช์ ผู้ที่สามารถระบุโทนเสียงได้อย่างแม่นยำ