“ทำไมเอาแต่ทำหน้าแบบนั้นทั้งวันเลยล่ะ”
เมื่อเข้ามาในบ้านและจัดการอาบน้ำเรียบร้อย ก็ตรงมานอนแหมะอยู่บนเตียง จองอูก็เอ่ยถามขึ้นทันที ตลอดทั้งวันเอาแต่ประชุมและซ้อมเพลง พอได้เห็นสีหน้าอ่อนล้าและมองมาที่ตนเองเต็มไปด้วยความห่วงกังวล ดังนั้นซองจูจึงส่ายหน้ากลับไป
“ไม่รู้สิ สีหน้าฉันเป็นยังไงเหรอ”
“เหมือนจะร้องไห้ออกมาเดี๋ยวนี้เลย”
ซองจูยิ้มบางๆ ให้กับคำพูดนั้น
“ไม่ได้ทำหน้าแบบนั้นสักหน่อย”
จองอูไม่ได้ตอบอะไรกลับ เพียงจ้องมองซองจูอยู่อย่างนั้น
“ถึงอย่างงั้นก็เถอะ นายโอเคแน่นะ”
“อะไรเล่า”
“ถ้ายังเป็นแบบวันนี้ ก็จะเจ็บไปทุกวันเลยนะ”
ซองจูกล่าวเช่นนั้นออกมา ก่อนจะมองไปที่ใบหน้าของจองอู
หากเป็นวันที่ฝนตก จองอูมักจะไม่สบายตัวอยู่ตลอด
ถึงจะไม่ได้แสดงออกมาชัดๆ ว่าเจ็บ แต่แค่มองหน้าก็รู้ได้แล้ว เริ่มจากช่วงเอวไปจนถึงแขนทั้งสองข้าง ไหล่ ข้อมือ และนิ้วมือ ไม่มีตรงไหนเลยที่เจ้าตัวไม่เจ็บ
“เป็นแบบนั้นตอนไหนกัน”
“มันยังไม่หายดีสักหน่อย รอยแผลพวกนั้นน่ะ อย่ามาทำเป็นปฏิเสธหน่อยเลย”
พูดโพล่งออกมาเสียงแผ่ว แล้วซองจูก็เบะปากอย่างขัดใจ
ตัวติดกันอยู่ตลอดขนาดนี้ คิดว่าจะไม่รู้เลยหรือไง แล้วสัมผัสอุ่นก็แตะลงมาบนแผ่นหลังของเจ้าตัวที่เอาแต่บ่นงึมงำด้วยความไม่พอใจออกมา เป็นจองอูที่กอดตัวซองจูเอาไว้
“อะไร”
“อยู่แบบนี้สักพักนะ”
จองอูกล่าวออกมาเช่นนั้นพร้อมกับซุกหน้าลงไปตรงต้นคอของซองจู กลิ่นแชมพูและกลิ่นของจองอูที่ฟุ้งออกมาพร้อมกันนั้น กระตุ้นประสาทรับกลิ่นของซองจู
“ขอโทษ ช่วงนี้มัวแต่เตรียมการแสดงเลยไม่ค่อยได้ใส่ใจนายเลย”
“ช่างเถอะ ก็มันเป็นงานนี่นา”
“เพราะมีคนอื่นอยู่ด้วย ก็เลยจะถูกสังเกตได้”
“รู้แล้ว เข้าใจแล้วพอเถอะ”
ซองจูวางมือทาบลงบนแขนของจองอูที่โอบรอบเอวเขาเอาไว้โดยไม่ทันรู้ตัว พร้อมกับตอบกลับไป
เขาเข้าใจดีที่อีกคนบอกว่าอย่าไปที่ห้องทำงานนั้นเลย แต่เพราะยังรู้สึกว่าไม่อาจสงบใจได้ จึงปรารถนาที่จะอยู่ใกล้ชิดกับจองอูตลอดเวลา ถึงจะรู้ดีว่าอีกคนไม่คิดจะหนีไปจากเขา แต่ก็ไม่เข้าใจตัวเองเลยว่าทำไมถึงรู้สึกสบายใจได้ก็ต่อเมื่อได้อยู่ใกล้กับอีกคน แม้กระทั่งตอนเด็กๆ เขาก็ไม่เคยยึดติดกับพ่อแม่ ไม่รู้เหมือนกันว่าเพราะเหตุผลอะไรที่ยิ่งอายุมากขึ้นก็ยิ่งทำตัวเด็กลง หากคิดว่ามันอาจจะเป็นเพราะคิมจองอู ในหัวกลับหยุดต่อต้านไปเอง
และหนึ่งในเหตุผลที่ไปที่นั่นก็คือ หากไปที่นั่นก็จะได้พูดคุยกับซองฮี แม้จะเป็นการโต้เถียงกันก็ตาม
พอซองฮีมาถึง ก็จะถามว่ามาสร้างเรื่องอะไรอีกล่ะพร้อมกับทำหน้านิ่วคิ้วขมวด แต่ว่าไม่ว่าจะเมื่อก่อนหรือตอนนี้ ซองจูก็รู้สึกสนุกมากที่ได้เถียงกับน้องชาย ทุกครั้งที่อีกคนเยาะเย้ยหรือทับถมเขา เขาก็จะยิ่งโกรธ แล้วก็เพลิดเพลินกับการตอบโต้กลับมา ซองฮีในช่วงที่เด็กกว่านี้อีกสักหน่อย ไม่สนใจซองจูเลยสักนิด สิ่งที่น่ากลัวกว่าการตอบกลับอย่างรุนแรงคือการไม่สนใจกัน ซองจูคิดว่าการที่ซองฮีโมโหใส่ตัวเองนั้นคือส่วนหนึ่งของการแสดงความสนใจ หากเป็นเช่นนั้น กระทั่งเจ้าตัวแสดงอารมณ์ฉุนเฉียวเหมือนสายฟ้าฟาด หรือทำท่าทางหงุดหงิด ก็ยังทำใจกว้างมองข้ามไปได้ ความจริงแล้วก็แค่พี่น้องที่ผิดแปลกไปบ้าง
“เรื่องอื่นก็ไม่เป็นไร แต่ก็เบื่อๆ บ้าง ที่แทบไม่เข้าใจในสิ่งที่พวกนายเอาแต่คุยกันได้เลยน่ะ”
“มันก็เรื่องงานนั่นแหละ ส่วนใหญ่ก็เป็นเพลงที่นายไม่เคยฟังด้วย”
“ฉันรู้จักเพลงที่นายทำนะ”
“แต่ไม่เคยฟังอัลบั้มของพวกพี่เขานี่”
“เออ จริงๆ มันก็น่าอายนิดหน่อยนั่นแหละ ไอ้เพลงที่น้องชายเป็นคนร้องนั่นน่ะ”
ซองจูรู้สึกขนลุกขึ้นมาทันที
อันที่จริง เขาเคยดูการแสดงของวงคราฟท์แค่เพียงครั้งเดียวเท่านั้น แล้วนั่นก็ไม่ใช่ว่าตั้งใจจะดู บังเอิญเปลี่ยนช่องมาเจอเฉยๆ พอได้เห็นใบหน้าของน้องชายที่ปรากฏอยู่ในรายการเพลง มันเหมือนเขาจะตัวชะงักค้างไปเลย
ฮันซองฮีที่ร้องเพลงอยู่นั้น ไม่ใช่น้องชายของเขาเลย ไม่ใช่ซองฮีคนนั้น คนที่ตั้งแต่เดินเข้าประตูมา ก็ทักทายพ่อแม่และตัวเขาด้วยใบหน้าเคร่งเครียด ก่อนจะเข้าห้องไปแล้วไม่ก้าวออกมาอีกเลยแม้แต่ก้าวเดียว คนในจอที่จับไมค์และยืนอยู่บนเวทีโดยไม่ขัดเขินนั้น ช่างดูมีเสน่ห์ดึงดูดเป็นอย่างมาก น้ำเสียงที่เคยพูดเถียงและเต็มไปด้วยความโกรธ กลับเปลี่ยนเป็นแหบพร่าติดจะขึ้นจะจมูกอยู่หน่อยๆ สายตาที่หันมองมาทางกล้อง ทำให้ยิ่งรู้สึกถูกดึงดูด สำหรับซองจูที่จดจำได้เพียงท่าทางเหมือนนักเรียนตัวอย่างนั่น มันก็ยังกระแทกใจได้อย่างรุนแรง
“ไม่รู้ทำไมเจ้านั่นถึงได้ดูเปลี่ยนไปได้ขนาดนั้น”
“หืม”
เมื่อพึมพำออกมาเสียงแผ่ว เสียงหายใจที่มาพร้อมกับคำถามก็ดังขึ้นข้างหูทันที
“เคยบังเอิญได้ดูน่ะ ตอนเจ้านั่นร้องเพลง เขาไม่ใช่ฮันซองฮีที่ฉันเคยรู้จักเลย ไม่สิ ที่จริง เจ้านั่นเป็นคนแบบไหนฉันเองก็ไม่เคยรู้ แต่ยังไงมันก็ดูแปลกๆ หมอนั่นที่ทุกวันเวลาเจอฉันก็จะเอาแต่โมโห แล้วก็เมินกัน ทำไมแค่จับไมค์ก็ดูพลิกกลับเป็นอีกด้านแบบนั้นได้ เพราะงั้นก็เลยไม่ดูอีกเลย เพราะมันแปลกนั่นแหละ”
“ฉันเองถ้าไปยืนบนเวที ก็พอจะรู้สึกแบบนั้นบ้างเหมือนกัน พอเป็นพี่เขามันก็เลยยิ่งกว่าไปอีกล่ะสิ”
“นายต้องคุ้นกับท่าทางของเจ้านั่นตอนอยู่บนเวทีไม่ใช่หรือไง”
“งั้นเหรอ”
จองอูตอบห้วนๆ ก่อนจะค่อยๆ ประทับจูบลงไปตรงแถวคอของซองจู ซองจูลูบไล้ไปบนแขนของจองอูที่กอดเอวเจ้าตัวไว้ แล้วจึงสอดกระชับมือเข้าหากัน สัมผัสไปที่มือซ้ายตามนิสัย พออากาศเป็นแบบนี้ ใบหน้าของจองอูก็เลยดูบูดบึ้ง ซองจูที่รู้เรื่องนั้นดี จึงได้ค่อยๆ ประทับจูบไปบนนิ้ว
“ไม่ปวดเหรอ”
“ก็พอทนได้แหละ”
“โกหก”
ในตอนนั้นก็ได้ยินเสียงลมหายใจมากระทบที่หู เป็นจองอูที่หัวเราะออกมา
“นายจะปวดในวันที่มีอากาศแบบนี้ แม้กระทั่งกีตาร์ยังไม่ยอมแตะเลยนะ”
บ่นพึมพำออกมาด้วยเสียงแผ่ว ก่อนจะจูบลงบนนิ้วมือนั้นอีกครั้ง แขนของจองอูก็กระชับกอดที่เอวของซองจูแน่นไปอีก
“ปวดแต่ก็ยังขยับได้ แค่นั้นก็พอแล้ว”
จองอูที่พูดคำนั้นออกมทันที พร้อมกับงับลงไปที่ต้นคอของซองจู
“ฮึก!”
“ปวดนิ้วแค่นิ้วเดียว ก็ใช่ว่าจะทำแบบนี้ไม่ได้สักหน่อย”
“อึก!”
ครั้งนี้กัดลงไปตรงผิวเนื้ออ่อนใกล้ๆ ต้นคอ เสียงร้องที่ดังออกมากับฟันที่กัดลงไปไม่ได้รับความสนใจ และการโจมตีของจองอูยังคงดำเนินต่อไป ซองจูคว้าแขนของจองอูเอาไว้อย่างลืมตัว แล้วเอ่ยอ้อนวอน
“อ๊ะ เข้าใจแล้ว พอ หยุดเถอะ!”
หอบหายใจ ก่อนจะเอ่ยห้ามอีกคน หากจองอูก็ยังไม่หยุดริมฝีปากนั้น ไม่ได้คิดที่จะทำให้เจ็บ จึงหัวเราะออกมาด้วยเสียงทุ้มต่ำอยู่ข้างหู ไม่รู้ทำไมถึงได้รู้เกลียดมันขึ้นมาเสียได้ ซองจูที่ดวงตาเริ่มพร่ามัว ออกแรงกระชับนิ้วมือที่เกี่ยวกันไว้แน่นขึ้น
“เจ้าเด็กบ้า”
“แล้วใครที่บอกว่าชอบเด็กบ้าคนนี้ จนถึงขั้นพามาอยู่ที่บ้านด้วย”
“ก็ใช่ ฉันเองไง ฉันนี่แหละ แล้วทำไมต้องทำให้เถียงไม่ได้ด้วย”
ซองจูกล่าวออกมาเช่นนั้น ก่อนจะพิงตัวไปบนแผงอกกว้างของจองอู
“จองอู”
“หืม”
“ทำไมนายถึงเริ่มเล่นดนตรีล่ะ”
จองอูไม่ได้พูดอะไรตอบกลับมาครู่หนึ่ง ซองจูจึงกระตุกมือที่จับกันไว้เบาๆ พร้อมกับเอ่ยทวงคำตอบ
“ตอบเร็ว ก่อนหน้านั้นนายบอกว่าได้ดูการแสดงของใครสักคน แล้วเกิดหลงใหลมันเข้านี่ นอกจากนั้นแล้วมีเหตุผลอื่นอีกไหม”
“ฉันจำไม่เห็นได้ว่าเคยพูดแบบนั้น”
“พูดสิ นายบอกว่าเห็นใครเต้นแล้วก็หลงใหลมันเลยไง”
“ยังจำได้อยู่อีกเหรอ ฉันนี่มัน…”
คำพูดของซองจูทำเอาพูดไม่ออก จองอูที่ยังคงซบหน้าอยู่ตรงต้นคอของซองจูหัวเราะออกมาอยู่นานสองนาน ซองจูรู้สึกชอบใจกับแรงสั่นน้อยๆ จากร่างกายที่แนบชิดกันนั้น ถึงจะทำบ่นออกมา แต่ก็รู้สึกยินดีกับการสั่นไหวที่รู้สึกนั่น จองอูที่หัวเราะไม่หยุดอยู่นานสองนานแบบนั้น มันคือความจริงใจที่แสดงออกมา ก่อนเจ้าตัวจะเงยหน้าขึ้น แล้วเอ่ยตอบ
“ที่ฉันชอบดนตรีเพราะวิดีโอนั่นคือเรื่องจริงนะ มันดูสว่างไสวมากเลย แล้วก็ดูมีพลังมากด้วย”
“นายอยากเป็นแบบนั้นเหรอ”
“มากกว่าการที่อยากเป็นแบบนั้น คือฉันอยากจะอยู่ในที่ที่สว่างไสวแบบนั้นดูสักครั้ง เพราะชีวิตของฉันมันมืดอยู่ตลอดเวลาเลยไง”
จองอูกล่าวออกมาเช่นนั้น ก่อนจะออกแรงกระชับเรียวนิ้วแน่นขึ้น
“งั้น ตอนนี้ล่ะ ตอนนี้ยังมืดอยู่ไหม”
“ไม่แล้ว ตอนนี้ไม่เป็นไรแล้ว ไม่ได้สว่างขึ้นมาเพราะได้ใช้ชีวิตเป็นนักดนตรีหรอกนะ แต่เพราะมีนาย”
คำพูดนั้นทำเอาน้ำตาเกือบไหลออกมาแล้ว ซองจูชะงักลมหายใจไปครู่ ก่อนจะขบคิดคำพูดของจองอูอย่างละเอียด แม้ว่าชีวิตจะไม่ได้สว่างสดใส แต่แค่มีตัวเขาก็พอแล้ว คำนั้นมันสำคัญยิ่งกว่าคำไหนๆ บนโลกนี้เสียอีก
“ถ้าที่หลังมากลับคำพูด ฉันไม่อยู่เฉยๆ แน่”
“ไม่ทำหรอก”
“ยอมให้หลอกกันแค่ครั้งเดียวเท่านั้นนะ”
ทั้งสองคนกระซิบกระซาบคุยกันทั้งที่ยังคงนั่งอยู่บนเตียงไม่ได้ขยับไปไหน
“มือนี้น่ะ เป็นเพราะตอนเด็กๆ เหมือนกันเหรอ”
ซองจูเหลือบมองไปที่มือของจองอูก่อนจะเอ่ยถามออกมา นิ้วก้อยที่กระตุกสั่นมาตั้งแต่เมื่อครู่นั้น มันไม่ใช่ธรรมดาเลย ด้วยความปวดใจที่แล่นขึ้นมาทำให้เรียวคิ้วขยับย่นเข้าหากัน หากจองอูก็ไม่ได้ปฏิเสธสัมผัสของซองจู
“เปล่าหรอก มันเกิดหลังออกจากกรมน่ะ”
“ไม่ได้เป็นตอนอยู่ในกรมเหรอ”
“อือ เกิดหลังจากนั้น”
จองอูตอบกลับเรียบๆ ไม่ว่าอย่างไรวันนี้มันก็ต้องเกิดขึ้น ซองจูเริ่มต้นถามในสิ่งที่เคยสงสัยมาตลอด
“เรื่องร้ายแรงขนาดไหนกันที่ทำให้นิ้วมือกลายมาเป็นแบบนี้ได้ หรือว่าเกิดอุบัติเหตุรถชนอะไรแบบนั้นเหรอ”
“ไม่ใช่แบบนั้น…อยากฟัง?”
“อือ”
คำตอบของซองจู ทำให้จองอูนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเริ่มเปิดปากเล่า
* * *