เสียงปังดังขึ้นเมื่อประตูถูกปิดลง จีฮุนที่ขมวดคิ้วมุ่นก่อนหน้านี้ค่อยๆ ถอนหายใจออกมาพร้อมยกมือขึ้นกอดอกไว้ทันที
“คุณซองฮี ผมเข้าใจนะ เพราะเรื่องสตอล์กเกอร์กับเรื่องฮันซองจูถึงได้ไม่อยากให้เปิดเผยสถานที่ตั้งออกไปในการถ่ายทำแบบนั้น แต่ว่าถึงขนาดเรื่องของคนที่อาศัยอยู่ด้วยกัน ก็ยังต้องตัดออกหมดแบบนั้น ผมไม่เข้าใจเลยจริงๆ นอกจากสมาชิกแล้วยังรวมถึงโปรดิวเซอร์ด้วย พูดตรงๆ ผมก็ไม่คิดจะถามเรื่องแบบนั้นกับโปรดิวเซอร์หรอกนะ ทำไมคุณซองฮีถึงดูไม่เป็นตัวเองเลย ผมก็ไม่รู้ว่าไปทำอะไรให้คุณโกรธหรือเปล่า…”
“ท่านประธานไม่เคยทำให้ผมโกรธหรอกครับ ก็แค่การถ่ายทำนี้มันไม่ถูกใจผมก็เท่านั้นแหละครับ”
พอจีฮุนได้ฟังคำพูดของซองฮุนแล้ว ก็ถึงกับยกมือขึ้นมานวดขมับตัวเองในทันที มันเป็นสถานการณ์ที่ตัดสินใจยากสำหรับเขาจริงๆ
ครั้งแรกที่ได้เจอซองฮีก็ผ่านทางดงฮยอนนั่นแหละ
ในตอนที่เซจองกลับมาที่เกาหลีได้ไม่นานเท่าไหร่ แล้วจีฮุนกับเซจองก็เพิ่งคบกันอย่างเป็นทางการได้ไม่นานนัก เซจองจึงแนะนำให้เขารู้จักกับรุ่นพี่มหาลัยที่เคยติดหนี้บุญคุณไว้
ในวันนั้นพวกเขาได้แลกนามบัตรกัน แล้วจีฮุนก็ได้รู้ว่าดงฮยอนรุ่นพี่สมัยมหาลัยของเซจอง ก็คือประธานบริษัทที่เป็นต้นสังกัดเดิมของอีกคน พอดงฮยอนรู้ว่าจีฮุนเป็นพีดีผู้เชี่ยวชาญด้านการถ่ายทำสารคดีเกี่ยวกับมนุษย์ เจ้าตัวก็ได้ไปพูดแนะนำเขาให้กับธุรกิจในเครือต่อ ในตอนนั้นจีฮุนที่ไม่เคยคิดฝันว่าจะได้ออกมาทำตามฝันด้วยตัวเองได้ คนที่ดงฮยอนพามาให้เขารู้จักก็ทำให้เขาสามารถมาจับธุรกิจของตัวเองได้ในที่สุด ซองฮีเองก็เป็นหนึ่งในคนที่ตอนนั้นดงฮยอนแนะนำให้เขารู้จัก
อีกคนเพียงแนะนำว่าเป็นเพื่อนที่ทำงานด้านดนตรี แต่ตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอกัน จีฮุนก็สัมผัสได้ถึงความรู้สึกบางอย่างจากซองฮี ถึงอีกคนจะเรียบร้อยแต่ความรู้สึกด้านที่คลับคล้ายกับความไม่พอใจอะไรแบบนั้น มันก็ทำให้เขานึกไปถึงฮันซองจูขึ้นมา แต่ทว่าหน้าตาและภาพลักษณ์ที่ต่างกันอย่างสิ้นเชิง ทำให้เขาไม่นึกไม่ฝันว่าทั้งคู่นั้นเป็นพี่น้องกัน พอเห็นเซจองทักทายอีกฝ่ายด้วยความยินดีแบบนั้น มันทำเอาเขาทำตัวไม่ถูก
“ถ้าไม่ชอบใจกับการถ่ายทำ ก็ควรจะแก้ไขกับทางบริษัทของคุณก่อนที่จะมาที่นี่สิ มาทำท่าทางนักเลงใส่ผมแบบนี้มันใช่เรื่องหรือไง”
จีฮุนพูดเช่นนั้น พร้อมกับยกยิ้มขมขื่นออกมา
กลัวใครจะไม่รู้ว่าเป็นพี่น้องกันหรือไง ในตอนนี้ฮันซองฮีไม่ต่างอะไรกับฮันซองจูเลยสักนิด
“แต่ว่าคนนั้นคือคนที่พี่เขาคบอยู่นะครับ”
พอเพื่อนๆ ออกไปกันหมดแล้ว ซองฮีก็แสดงความรู้สึกในใจออกมาทันที ท่าทางขมวดคิ้วอย่างยืนกรานแบบนั้น จีฮุนที่เข้าใจผิดก็ถึงกับตกใจ ปกติแล้วฮันซองฮีเคยแสดงท่าทางเป็นห่วงเป็นใยกับเรื่องของพี่ชายออกมาแบบนี้ด้วยเหรอ เท่าที่จีฮุนรู้ มันไม่เคยปรากฏออกมาเลย เขาหันกลับไปถามซองฮีด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
“โปรดิวเซอร์เป็นผู้หญิงเหรอ”
จีฮุนที่ไม่จำเป็นต้องสนใจสายตาคนอื่นแล้ว จึงได้ถามแบบนั้นกับซองฮี ทั้งสองกำลังรักษาท่าทางสบายๆ ต่อกันอย่างเช่นปกติ ซองฮีแสดงสีหน้าไม่ชอบใจพร้อมกับส่ายหน้ากลับไป
“เฮ้อ…เจ้านั่นยังนิสัยเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนเลย”
เขาบ่นพึมพำออกมา ก่อนจะทิ้งตัวลงไปพิงพนักเก้าอี้ แล้วเคาะนิ้วลงบนกระดาษ ดูท่าทางจะหงุดหงิดพอตัว ซองฮีที่เห็นท่าทางเช่นนั้นของจีฮุน จึงได้มองอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะส่ายหน้าไปมา
“ไม่ใช่แบบนั้นหรอกครับ ผมเป็นคนเข้าไปยุ่งเอง”
“ว่าไงนะ คุณจะให้ผมเชื่ออย่างนั้นเหรอ ฮันซองจูลงลักปักฐานได้แล้วเหรอ แล้วกับผู้ชายด้วย? ให้บอกว่าเจ้านั่นลาออกจากวงการยังน่าเชื่อซะกว่า”
“เบาเสียงหน่อยเถอะครับ ข้างนอกได้ยินหมดพอดี”
“ที่นี่เป็นห้องเก็บเสียงหรอก ผมต้องทำอะไรอีก เราก็มีประกันชีวิตแล้วด้วย”
“ตอนนี้เรื่องนั้นมันสำคัญเหรอครับ ยังไงซะปัญหาเรื่องสตอล์กเกอร์ก็ส่วนนึง แล้วถ้ามีข่าวลือว่าฮันซองจูอยู่กับผู้ชายหลุดออกไปก็คงไม่ใช่เรื่องดีนัก ถึงมันจะเป็นแค่ข่าวลือ แต่ถ้าพ่อแม่เราเกิดไปได้ยินเรื่องแปลกๆ เข้า มันคงวุ่นวายน่าดู แล้วยังเรื่องที่ถอนหมั้นนั่นอีก ก็อาจทำให้เดือดร้อนอีกได้”
“เฮ้อ เหลือเชื่อจริงๆ เลย”
จีฮุนที่ได้ฟังคำพูดของซองฮีก็ยิ่งเคาะนิ้วลงไปแรงขึ้นอีก ซองฮีอยากจะบังคับให้หยุดท่าทางแบบนั้นเสีย แต่ก็ได้แค่อดทนเอาไว้ ก่อนจะเอ่ยปากออกมาอีกครั้ง
“ยังไงก็จะรับฟังไว้ใช่ไหมครับ”
คำพูดนั้นยิ่งทำให้จีฮุนเคาะนิ้วดังตึกๆ ลงไป ก่อนจะกะพริบตาอีกสองสามครั้ง
“มันก็ช่วยไม่ได้ ถ้าเซจองโกรธเพราะเรื่องไม่เป็นเรื่องคงไม่ดีเท่าไหร่”
“สุดท้ายก็ตัดสินใจฟังเพราะเซจองงั้นเหรอครับ”
“ถึงมันจะเป็นข้อเรียกร้องที่พอฟังขึ้น แต่เรื่องมันไปไกลถึงขนาดนั้น ถ้าผมยังไม่ยอมรับฟังก็คงวุ่นวายไม่จบไม่สิ้น แต่ผมเองก็มีเรื่องจะขอร้องนะ”
“จะขออะไรครับ”
ไม่ยอมรับฟังคำพูดของเขาแต่โดยดี ตอนนี้ยังมาบอกว่ามีเรื่องจะขอร้องอีก ทำเอาซองฮีทำหน้าบึ้งตึงออกมา แต่ว่าสิ่งที่ออกมาจากปากของจีฮุนก็เป็นเรื่องที่ละเลยไม่ได้เช่นกัน
“ถ้าผมออกหน้าเองโดยไม่จำเป็น เจ้านั่นอาจจะเรื่องมากอย่างนู้นอย่างนี้ได้ แล้วผลที่ได้ก็อาจจะตรงข้ามจากที่ควรเป็น ถูกต้องไหม”
“ก็น่าจะอย่างนั้นครับ”
“เพราะฉะนั้นก็ขอให้คุณซองฮีช่วยออกหน้าจัดการแทนด้วยนะ เพราะผมคงจะแวบเข้าไปใกล้ๆ สถานที่ถ่ายทำได้ไม่บ่อยนัก ถ้าเขาเกิดพูดอะไรขึ้นมา ให้คุณบอกไปว่าคุณกำลังถ่ายทำอยู่ ผมจะได้ไม่ต้องออกหน้าเองครับ”
“ก็ได้มั้งครับ จริงๆ คุณจะไปบ้างก็ได้เหมือนกันนะครับ”
“ทำไม”
“ใครจะไปรู้ใจอีกคนได้ละครับ”
จีฮุนเผลอพยักหน้ารับกับคำพูดของซองฮีอย่างไม่รู้ตัว กับคนนั้นเขาไม่รู้ แต่กับฮันซองจูก็น่าจะเป็นอย่างนั้น แต่ก็ยังมีความคิดอื่นแล่นเข้ามาในหัว
“ถึงยังไงหมอนั่นก็คงจะฟังคำพูดน้องชายแท้ๆ ใช่ไหมล่ะ”
“ยังจะคิดอะไรไร้สาระแบบนั้นอยู่เหรอครับ”
คำกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่นนั่น ทำเอาจีฮุนถึงกับขมวดคิ้วขึ้นมาอีกครั้ง
“จากเรื่องเมื่อครั้งก่อน ฉันคิดว่าจะเป็นผู้ใหญ่ขึ้นบ้างแล้ว ดูท่าจะไม่ใช่สินะ”
“เรื่องที่ว่านั่น มันเรื่องอะไรกันล่ะครับ”
“ไม่ได้เล่าให้ฟังหรอกเหรอ”
“คงไม่ได้คิดว่าคนอย่างฮันซองจูจะมานั่งเล่าเรื่องของตัวเองให้ผมฟังเป็นจริงเป็นจังอย่างนั้นหรอกใช่ไหมครับ”
ก็นั่นสินะ คนอย่างฮันซองจู ถึงจะเกิดเรื่องคอขาดบาดตายขนาดไหน ก็คงไม่มีทางมานั่งระบายให้น้องชายแท้ๆ ฟังหรอก จีฮุนพรูลมหายใจออกมาก่อนจะกล่าวขึ้น
“ก็แค่เซจองประกาศชัดว่าจบความรู้สึกทุกอย่างที่มีต่อฮันซองจูแล้วก็เท่านั้น”
“อย่างงั้นเหรอครับ แล้วท่านประธานทำยังไงล่ะ”
“จะทำอะไรซะอีกล่ะ ฉันไม่ชอบให้สองคนนั้นเจอกันตามลำพัง ก็เลยอาสาไปจัดการแทนเซจองไง”
“คงจะตีกันเละเลยสินะครับ”
“บอกว่าไม่เลยก็คงจะไม่ถูกซะทั้งหมด”
จีฮุนกล่าวเช่นนั้น ก่อนยกยิ้มเจื่อนๆ ออกมา ซองฮีที่ได้เห็นสีหน้าเช่นนั้นก็ไม่ได้มีท่าทางที่สบายใจนัก
การที่เขาได้มาสนิทสนมกับเซจอง มันคือเรื่องบังเอิญ
หลังจากวันนั้นแล้ว เซจองก็มาเที่ยวที่บ้านของซองจูอยู่บ่อยๆ ซองจูที่พอจะมีจิตสำนึกอยู่บ้างจึงไม่ได้แสดงท่าทีเกินเลยกับเซจองในบ้านที่ยังมีพ่อแม่อยู่ด้วยเช่นกัน แต่ว่าสายตาที่อีกคนมองไปที่เซจอง หรือการกระทำต่างๆ ก็ทำให้รับรู้ได้ไม่ยากว่าทั้งคู่ไม่ใช่แค่เพื่อนกันเฉยๆ
เพราะเขาเองก็ต้องปวดหัวกับรักแรกที่เป็นรักข้างเดียวของเพื่อนตัวเองอย่างซองฮุน จึงไม่ได้ต่อต้านกับความรักของเพศเดียวกัน แต่ว่ามันเป็นเรื่องน่าตกใจที่ได้เห็นว่าคนอย่างฮันซองจูก็สามารถรักใครจากใจจริงได้เหมือนกัน สายตาเวลาที่มองมาที่เซจองนั้น มันต่างจากเวลาที่ยิ้มพร้อมกับมองมาที่เขาหรือพ่อแม่ แค่ได้เห็นเช่นนั้น มันก็ทำให้ซองฮีเกิดความรู้สึกแปลกประหลาดขึ้นมา
แม้ในตอนนั้น ภาพแววตาของซองจูที่ฉายแววมุ่งร้ายกับเขาในตอนที่ซองฮียังเป็นเด็กนั้นก็ยังผุดวาบขึ้นมา ไม่ว่าอีกคนจะชอบใคร แต่ฮันซองจูที่กระซิบคำรักด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความรู้สึกที่สามารถเผยให้เห็นทั้งความเกลียดชังและความไร้เดียงสาแบบเด็กๆ นั้น มันช่างแปลกประหลาด
พูดคุยกันเพียงไม่กี่คำ ซองฮีก็ได้รู้ว่าเซจองนั้นอายุรุ่นราวคราวเดียวกับเขา พอสนิทสนมกับซองจู ก็ได้ทำงานเป็นนักแสดงประกอบในภาพยนตร์โดยไม่คาดคิด ทั้งที่เซจองเป็นคนคุยสนุกกว่าที่คิด และมักจะยิ้มแล้วบอกว่าไม่เป็นไรเสมอ แต่ว่าบนใบหน้านั้น นานๆ ทีจะปรากฏร่องรอยของความหมองหม่นออกมา นั่นทำให้เขาได้ตระหนักว่า อีกคนก็มีชีวิตที่ไม่ได้แตกต่างกันกับพวกเขานัก
ถึงพวกเขาจะแลกเปลี่ยนเบอร์ติดต่อกันแล้ว แต่ก็ไม่ได้มีเรื่องให้ติดต่อกันบ่อยนัก ส่วนหนึ่งเป็นเพราะฮันซองจูอาจจะเข้าใจผิดด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่องขึ้นมาได้ แต่ทว่าเขาก็ไม่ได้ละเลยเซจองที่เหมือนจะตกอยู่ในอันตราย
เทียบกับเรื่องของอีกคนที่บังเอิญไปรับรู้มากับชีวิตของพวกเขาแล้ว มันโหดร้ายเสียยิ่งกว่า หลังได้รู้เรื่องนั้น สายตาซองฮีที่มองไปยังเซจองก็ยิ่งเวทนามากขึ้นไปอีก นั่นเป็นการแสดงออกถึงความเห็นใจประเภทหนึ่ง
คนที่แม้แต่รับผิดชอบชีวิตตัวเองยังลำบากขนาดนั้น ไม่เข้าใจจริงๆ เลยว่าการมาคบกับคนแบบพี่ชายเขา มันไม่ยิ่งลำบากเข้าไปอีกหรืออย่างไรกัน ดังนั้นหลังจากที่เซจองหนีหายไปอย่างกะทันหัน ความโกรธของซองฮีที่มีต่อซองจูก็ไม่เคยลดน้อยลงอีกเลย
คนอื่นเขาไม่รู้ แต่ฮันซองจูทำแบบนั้นกับเซจองไม่ได้ ถูกพ่อแม่ของตัวเองทอดทิ้ง แล้วยังทำให้ต้องเลิกกันไปด้วยวิธีที่โหดร้ายที่ไม่ว่าใครก็ไม่อาจขัดขืนได้ และอีกคนก็ไม่ใช่ประเภทที่จะหาใครใหม่ที่พอใช้ได้มาแทนที่ได้ทันทีเหมือนอย่างพี่ชายเขา เหลือทิ้งไว้แค่ความผิดหวัง ทำให้ในเวลานั้น ซองฮีไม่คิดจะเข้าข้างซองจู ไม่ใช่ไม่รู้สิ่งที่อยู่ในใจของอีกคน แต่เพราะแบบนั้นเขาถึงได้ยิ่งโมโห ถึงจะเป็นเรื่องที่ผ่านไปแล้ว แต่ทุกครั้งที่เรื่องราวต่างๆ มันผุดขึ้นมาอีกครั้ง เขาก็ไม่อาจห้ามความหงุดหงิดที่ปะทุออกมาอยู่ตลอดได้ เรื่องในตอนนี้ มันก็ไม่ต่างอะไรกับตอนนั้นเลย
“ยังไงซะทั้งคู่ก็ไม่สามารถมีชีวิตอยู่โดยที่ไม่เจอหน้ากันเลยตลอดชีวิตได้หรอก เพราะความสัมพันธ์ที่มีต่อกันมันยุ่งเหยิงเกินไป ไม่นานมานี้ก็เห็นว่าไปเจอกันอยู่นะ”
จีฮุนกล่าวกับซองฮีที่กำลังทำสีหน้าไม่พอใจอยู่ ตอนที่กล่าวคำนั้นออกมา สีหน้าของอีกคนก็ไม่ได้สู้ดีนัก ซองฮีฝืนยิ้มออกมา พร้อมกับยกกาแฟที่วางอยู่ตรงหน้าขึ้นมาดื่มอย่างช้าๆ ของเหลวรสชาติขมปร่าและมีกลิ่นหอมนั่น เข้าไปอยู่ในปากก่อนจะไหลผ่านลงคอไปอย่างช้าๆ
“คงมีใครเรียกให้ไปสินะครับ ประธานชินนั่นสินะ”
“ก็คงอย่างนั้น”
“ถึงขนาดนั้นแล้ว ถ้ายังไม่พอใจอีกก็คงจะวุ่นวายน่าดูนะครับ”
“ก็ไม่ได้ว่าอะไรนี่”
กลิ่นของความไม่พอใจฟุ้งกระจายออกมา ถึงจะคิดจะพูดว่ามันไม่น่าใช่แบบนั้นออกมา แต่สุดท้ายก็ไม่ได้หลุดปากออกไป
“เรื่องพี่ผมจะเป็นคนจัดการเอง เพราะฉะนั้นท่านประธานก็ช่วยให้ความร่วมมือหน่อยละกันนะครับ อย่าทำเรื่องไม่เป็นเรื่องก็พอ”
“ฉันเป็นพวกมือสมัครเล่นหรือไง นายเองพอเป็นแบบนั้น ก็เหมือนพี่ชายไม่มีผิด”
“ก็สายเลือดเดียวกันนี่ครับ”
เพราะซองฮีที่ยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจ พร้อมทำสีหน้าหมั่นไส้แบบนั้นออกมา พาลให้จีฮุนยิ่งอารมณ์ขุ่นเข้าไปอีก จนทำหน้าบึ้งออกมา ก่อนจะยกกาแฟที่เซจองนำมาให้ขึ้นมาดื่มไปอึกหนึ่ง
“มีเหตุผลอะไรที่จู่ๆ ถึงไปถือหางพี่ชายแบบนั้น ดูยังไงคุณซองฮีก็ไม่หน้าจะเข้าข้างฮันซองจูแน่ๆ”
ซองฮีที่ได้ยินคำพูดนั้นก็ทำหน้าเครียด
ถึงเขาจะไม่เข้าใจตัวเองอยู่เหมือนกัน แม้จะใส่ใจซองจูอยู่เสมอ แต่ก็ไม่ได้แสดงออกมา จึงดูเหมือนไม่เข้าข้างอีกคน หากอีกคนทะเลาะกับจองอู จนเกิดเป็นเรื่องใหญ่ขึ้นมา ซองฮีก็ยังจะเข้าข้างจองอูมากกว่า ที่ซองฮีเปลี่ยนไป คงเป็นในตอนที่จองอูกับซองจูกลับมาเจอกันอีกครั้ง เพราะคำพูดที่ซองจูพูดออกมา