เขานึกถึงถึงคำพูดของอาจารย์ที่เคยกล่าวถึงส่วนประกอบบริเวณนั้นบริเวณนี้ของวังหลวงขณะก้าวเท้าเข้าไปด้านใน เมื่อเห็นรองเท้าปักลวดลายดอกไม้หรูหรา ก็มั่นใจว่าที่นี่คือเรือนพักของผู้เป็นภรรยาอย่างแน่นอน
แม้จะเป็นการกระทำผิดกฎหมาย ทว่าตนก็ขอขมาต่อบรรพบุรุษในใจแล้ว หลังจากนั้นก็ทำการบุกรุกทันที และเมื่อเปิดประตูออก ก็ปรากฎร่างสตรีผู้หนึ่งกำลังปลดสายคาดเอวสีเงินเพื่อถอดเสื้อตัวนอกออก นางทำท่าจะกรีดร้องออกมาเพราะความตกใจ แต่ก่อนจะได้ร้องออกมา เขาก็ใช้มือปิดปากนางไว้ กลิ่นเครื่องหอมฉุนกระจายจากร่างบอบบาง ฝ่าบาทกระซิบกับคนตัวสั่นเทิ้ม
“ข้าไม่ได้ต้องการทำให้เจ้าเสื่อมเสีย เพียงมีบางสิ่งจะถามเท่านั้น อย่าได้ส่งเสียง เข้าใจหรือไม่”
แม้สตรีที่ตัวสั่นจะพยักหน้าเข้าใจ แต่ก็คิดอยู่ว่าหากผู้บุกรุกเอามือแล้ว นางก็จะร้องตะโกนพร้อมวิ่งหนีไปด้านนอก แต่เขาก็ไม่ได้เอามือออก เพียงเอ่ยปากถามต่อ
“เจ้าคือสตรีนามว่าซออ๊ก แห่งสกุลซุกใช่หรือไม่”
นางพยักหน้ารับ ดูท่าจะเจอตัวเข้าแล้ว จากนั้นฝ่าบาทก็พลันนึกถึงสนมกีโซอีขึ้นมาอีกครั้ง
“จงรู้ไว้ หากเจ้าร้องออกมาล่ะก็ ข้าจะตัดหัวเจ้าเสีย นายกองชินแทจูสามีเจ้าตอนนี้อยู่ที่ใด”
หลังจบคำพูดก็ค่อยๆ ละมือออกจากปากนาง แต่ก็ไม่ได้ลดมือลงจนสุด เกิดอีกฝ่ายตุกติกก็สามารถยกมาปิดปากไว้ได้ทันท่วงที สตรีผู้นั้นตระหนักถึงสิ่งเหล่านี้ สุดท้ายจึงทำได้เพียงแค่ยอมเปิดปาก เพราะหากไม่ตอบตามตรง ก็ไม่เห็นหนทางใดจะเอาชีวิตรอดได้
“ยะ อยู่ในคุกเจ้าค่ะ”
“เช่นนั้นเจ้ามาเป็นอนุภรรยาของรองแม่ทัพด้วยเหตุผลใด เอาชีวิตของสามีตนมาต่อรองอย่างนั้นหรือ”
แม้จะถามออกไปเช่นนั้น ทว่าตนก็รู้ดีว่ามันไม่ใช่ เจ้าของกลิ่นแป้งฟุ้งกระจายไม่ได้สวมใส่อาภรณ์หรูหรา อีกทั้งเตียงด้านหนึ่งก็มีผ้ายองกยอนสองผืนถูกจัดวางอย่างงดงาม แถมยังมีกระปุกนํ้ามันหอมอีกด้วย ที่แห่งนี้ไม่ต่างอะไรจากสถานที่ที่รองแม่ทัพกับสตรีผู้นี้ใช้พลอดรักกัน นอกจากเรื่องนั้นแล้ว สตรีผู้นี้ก็ไม่มีความจำเป็นใดต้องใช้น้ำมันหอมนั่น
“บุตรของเจ้าถูกบิดามารดาบังคับพาตัวไป”
“เด็ก เด็กนั่น!”
เมื่อเอ่ยถึงเด็กผู้นั้นออกมา นางพลันทำตาเบิกกว้าง ตั้งใจจะตะโกนร้องออกมา แต่เมื่อเห็นสีหน้าเด็ดขาดของเขาก็รีบหุบปากลง สูดหายใจเข้าลึกอยู่หลายครั้งก่อนจะเอ่ยออกมาช้าๆ
“เด็กนั่นไม่ใช่ลูกของข้า สามี ไม่ใช่ เจ้าชินนั่นเอาตัวมาจากที่อื่น”
“เด็กนั่นก็รู้ใช่หรือไม่”
“แน่นอนว่าย่อมไม่รู้ มันถูกพามาตั้งแต่ยังเล็กนัก”
“เช่นนั้นเจ้าจึงเต็มใจมีสัมพันธ์กับชังจีกยอมสินะ และนายกองผู้นั้นก็คงจะขัดขวางงั้นสิ?”
“หากเป็นสตรีแปดเปื้อนก็จะถูกตีตรา หากข้ากลายเป็นสตรีเช่นนั้น เจ้านั่นก็ผิดเช่นกันมิใช่หรอกหรือ นำตัวเด็กที่เกิดจากสายเลือดผู้อื่นมาเช่นนั้น ใยถึงมีเพียงข้าที่ผิดเล่า”
“นั่นสิ ข้าถึงต้องมาตรวจสอบ เช่นนั้นข้ารบกวนเพียงเท่านี้”
และเขาก็ออกมาจากที่นั่น จากนั้นอีกฝ่ายก็ตะโกนแผดเสียงว่ามีผู้บุกรุกไล่ตามหลัง
ฝ่าบาทวิ่งข้ามกำแพงมาขึ้นควบม้าแล้วออกวิ่งทะยานในทันที ด้วยเป็นการบุกรุกที่พักของขุนนาง จึงไม่สามารถแสดงตนว่าเป็นจักรพรรดิแก่บรรดาทหารยามที่ไล่ตามมาถึงประตูหน้า ดังนั้นจึงวิ่งหนีเข้าไปในตรอกโดยทิ้งม้าเอาไว้กลางทาง หลอกล่อคนเหล่านั้นให้ไปยังทิศทางอื่นได้ครู่หนึ่ง ส่วนตัวเขาวิ่งเข้าไปในที่ลับตาภายในเขตกรมฝ่ายใต้
ขยับเคลื่อนตัวในเส้นทางไร้แสงคบไฟ รู้ตัวอีกทีก็เข้ามาภายในโรงอาบน้ำกว้างขวาง ภายนอกนั้นถูกจัดเตรียมไว้ให้เหล่าทาส คนงาน หรือไม่ก็พวกข้ารับใช้มาใช้งาน ทว่ามันโล่งและกว้างขวางจนไม่มีที่ใดให้ซ่อนตัวได้เลย ขณะนั้นสายตาของเขาพลันสังเกตเห็นเรือนไม้เล็กๆ ตั้งอยู่ลึกเข้าไป
หากเปิดเผยว่าตนเป็นจักรพรรดิจะจบเรื่องก็จริง แต่อาจถูกเอาชีวิต หรือมีข่าวลือแพร่กระจายว่าจักรพรรดิเสด็จลักลอบมาพบอนุภรรยาของขุนนาง หากเข้าใจผิดไปเพียงนิด อาจถึงขั้นต้องรับนางเข้ามาเป็นสนม นั่นจะยิ่งทำให้ชีวิตยุ่งยากขึ้นไปอีก เพียงสนมที่มีอยู่ตอนนี้ก็น่ารำคาญเกินทน เขาไม่มีทางยอมรับเรื่องนั้นได้
จากนั้นจึงกระโจนมุ่งตรงไปที่เรือนไม้หลังนั้น ทว่าทันทีที่ประตูเปิดออกก็พรวดพราดเข้าไปอย่างรีบร้อน
พอเข้ามาด้านในก็คิดได้ว่าควรลงกลอนประตูเสียก่อน แต่ยามหันสายตากลับมาที่ถังอาบน้ำ บุรุษที่นั่งอยู่ในนั้นก็ปรากฎในครรลองสายตา คราแรกพลันเกิดความคิดไร้สาระว่าเทพธิดาฮังอาลงมาโปรดหรือเปล่า แต่เมื่อเห็นหน้าอกแบนราบก็แน่ชัดว่าอีกฝ่ายเป็นบุรุษ
ทว่านี่ไม่เวลาที่ควรสติหลุด คนพวกนั้นคงไม่ปล่อยผ่านที่นี่ไปเฉยๆ แน่
“รบกวนสักครู่ พอจะมีที่ใดให้หลบซ่อนบ้างหรือไม่”
มือเรียวขาวผ่องขยับชี้ไปที่ใต้ถังอาบนํ้า ตามด้วยน้ำเสียงอธิบายว่าให้ซ่อนตัวด้านล่างนี้ จากนั้นเขาก็ได้ยินเสียงห้าวหาญของกลุ่มชายฉกรรจ์และเสียงนุ่มนวลของชายผู้ช่วยให้ที่หลบซ่อนพูดคุยกัน เมื่อคนเหล่านั้นถูกโน้มน้าวให้จากไป เขาก็ขบคิดว่าคนผู้นั้นคงเป็นคนงาน เพราะหากไม่ใช่ ก็คงไม่มีทางเกลี้ยกล่อมกลุ่มคนที่กำลังตามหาผู้บุกรุกให้วางมือกลับไปทั้งๆ ที่ยังหาเป้าหมายไม่พบได้ นั่นคงจะเป็นท่าทางจริตมารยาที่เคยกระทำต่อหน้าบุรุษมากมาย
ผ่านไปครู่หนึ่ง ก็มีเสียงเคาะตึกๆ จากด้านบนดังมาขึ้นส่งสัญญาณ
“พวกเขาไปแล้ว ออกมาได้แล้วขอรับ”
เมื่อออกจากที่ซ่อนก็พบอีกฝ่ายปิดคลุมกายด้วยผ้าอย่างไม่เรียบร้อยนัก ก้าวถอยหลังยืนก้มหน้า หลังจากอันตรายผ่านพ้น เพียงแค่ก้าวออกจากเรือนไม้หลังนี้ก็ย่อมได้ ทว่าตัวเขาอยากมองใบหน้าคนผู้นี้ต่อ อยากพินิจให้ละเอียดกว่านี้
“การคุ้มกันของกรมพลาธิการมิใช่กระจอก เงยหน้าขึ้น”
คนตรงหน้าเงยหน้าขึ้นตามคำสั่งอย่างช้าๆ แม้แสงจะส่องเข้ามาไม่ถึง กลับเห็นผิวขาวกระจ่าง ดวงตาสีดำสนิทกับเรือนผมสีดำราวกับแพรไหมตัดกันเด่นชัด ไม่เพียงเท่านั้น ทุกครั้งที่กะพริบตา แพขนตายาวก็จะขยับไหวราวกับปีกผีเสื้อ หน้าอกแบนราบทว่ากลับปรากฎเด่นชัด ไม่ว่าจะมองที่ใดก็เป็นร่างกายของบุรุษอย่างแน่ชัด หากกลับให้ความรู้สึกงดงามยิ่งนัก
เป็นบุรุษอย่างไม่ต้องสงสัยและไม่ได้ใกล้เคียงสตรีสักนิด ไม่รู้ทำไมเขาถึงเกือบเผลอยื่นมือออกไป คนผู้นี้มีเหตุผลอันใดต้องมาเป็นคนงานกันนะ
จักรพรรดิยกยิ้มอ่อนโยนพร้อมกับเอ่ยขึ้น
“รูปลักษณ์ควรค่าแก่การใช้แผนสาวงามเช่นนี้นี่เอง ช่างเป็นบุรุษที่มีเสน่ห์ยิ่ง”
เป็นเพียงคำเอ่ยชม เพราะคิดว่าไม่มีคำชมใดเหมาะสมมากกว่าคำว่างดงามและเสน่ห์อย่างที่ใช้ชื่นชมต่อนางคณิกา ทว่าแววตาของอีกฝ่ายกลับแปรเปลี่ยนเป็นความไม่พอใจ น้ำเสียงที่ใช้ปฏิเสธ ยิ่งทำให้สัมผัสถึงความไม่สบอารมณ์ยิ่งขึ้น ทั้งยังก้มหน้าลงคล้ายรังเกียจที่ถูกจ้องมอง
ทว่าเป็นเรื่องแปลก เพราะเขากลับคิดว่าเหมือนตนเคยเห็นใบหน้าบูดบึ้งเช่นนี้มาก่อน
หากเคยพบกับผู้งดงามเช่นนี้ คงไม่อาจลืมได้ ใครกันนะ
“เจ้ามีนามว่าอะไร”
“สกุลยู นามโซกังขอรับ”
“โซกัง… ยูโซกัง”
ยิ่งได้ยินชื่อยิ่งรู้สึกคุ้นเคย ทว่าคิดเท่าใดก็นึกไม่ออก และขณะนั้นอีกฝ่ายพลันงอตัวทรุดลงกับพื้น เหมือนจะบาดเจ็บที่ใดสักแห่ง ตนจึงตั้งใจจะเข้าไปดู แต่กลับได้รับท่าทางรังเกียจตอบแทน
“เข้าใจแล้ว หากเจ้ารังเกียจจะรับความช่วยเหลือจากข้า ข้าก็คงต้องขอลา ขอบคุณสำหรับที่หลบซ่อน”
แม้จะไม่ใช่เรื่องที่ทำให้อารมณ์ขุ่นมัว หากกลับขุ่นเคืองอย่างยิ่ง เขาออกมาด้านนอก มองดูทหารยามที่อยู่ในสภาพนอนนิ่งเพียงแวบหนึ่ง ก่อนจะกลับไปยังที่พำนักของตน ด้านนอกมีหัวหน้าหน่วยฮวังรยงเดินเตร่ไปมาพร้อมกับเหล่าองครักษ์ในสังกัด เมื่อเห็นฝ่าบาทก็รีบเร่งก้าวเข้ามาหาพระองค์ทันที
“มีศพถูกทิ้งไว้ที่ด้านนอกโรงอาบน้ำ รีบไปจัดการเสีย แล้วก็จัดการพวกรอยเลือดด้วยล่ะ”
“ฝ่าบาททรงจัดการด้วยพระองค์เองหรือพ่ะย่ะค่ะ”
“เปล่า เหมือนจะเป็นฝีมือพวกทหารอารักขารองแม่ทัพ จริงด้วย ในโรงอาบนํ้านั่นมีคนอยู่ด้วย น่าจะเป็นคนงาน ไปสืบดูว่าเขามาเป็นคนงานได้อย่างไร”
“พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท”
องครักษ์ฮวังรยงทั้งสองคนเริ่มออกเดินไปทางโรงอาบน้ำ ส่วนตัวเขาได้รับการอารักขาจากบรรดาองครักษ์ฮวังรยงที่เหลืออยู่
ฝ่าบาทยืนอยู่มุมหนึ่งเอ่ยถามกับขันทีโชที่กำลังรอคอยอยู่แสนนานแล้ว
“งานเลี้ยงเป็นไปด้วยดีหรือไม่”
“พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท ตั้งแต่บรรดาเหล่าขุนนางจนถึงเหล่าทาส ต่างก็อิ่มหนำสําราญกันโดยทั่วถึงพ่ะย่ะค่ะ”
“ทำดีมาก”
“ฝ่าบาทเรื่องที่ทรงลอบไปตรวจสอบเรียบร้อยดีหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
“เรียบร้อยดี ขันทีโชเจ้าลงไปจัดการด้วยตนเอง สืบเรื่องเด็กผู้นั้นมา หากว่าไม่มีที่ไปหรือประสบความลำบาก ก็ส่งไปเป็นบุตรบุญธรรมของตระกูลที่เหมาะสม หากต้องการเป็นทหารก็ให้เข้าไปอยู่ในหน่วยพยัคฆ์ขาว หากต้องการเป็นขุนนางก็ให้เข้าไปเป็นผู้ช่วยในตำหนักอุนฮยอนเสีย หรือหากต้องการเป็นพ่อค้าก็จงฝากฝังกับขุนนางเจ้ากรมฝ่ายใต้”
“พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท”
“เพราะหนี้ของมารดาและบิดาถึงถูกขายมา มิได้กระทำผิดอะไรเสียด้วยซ้ำ”
“เช่นนั้นกระหม่อมทูลลาพ่ะย่ะค่ะ”
ขันทีโชค้อมตัวลงคำนับและก้าวออกจากที่พำนักขององค์จักรพรรดิ หลังจากนั้นครู่หนึ่งเหล่านางกำนัลที่มาร่วมงานเลี้ยงด้วยก็นำน้ำล้างหน้าและแปรงสีฟันเข้ามา ระหว่างฝ่าบาททรงสีฟัน เหล่านางกำนัลก็ปรนนิบัติช่วยถอดอาภรณ์ชุดดำออก และสวมอาภรณ์ทำจากผ้าแพรเนื้อบางโปร่งสำหรับยามบรรทมให้ จัดเครื่องนอนจนพร้อมสรรพ เมื่อเขาส่งสัญญาณว่าให้ออกไปได้ เหล่านางกำนัลต่างค้อมคำนับก่อนจะล่าถอยออกไป