ยามเช้าวันนี้ แม้เสียงระฆังแรกจะดังขึ้นแล้ว ทว่าโซกังกลับไม่สามารถลุกขึ้นจากที่นอนได้ แน่นอนว่าเขาได้ยินเสียงนั้น แต่ร่างกายมันขยับไม่ได้เลย ฟันกระทบกันจนดังกึกๆ ด้วยความหนาวสะท้าน
เหล่าทาสคนอื่นๆ ต่างพากันลุกขึ้นเดินออกไปด้านนอก พลางก่นด่ากล่าวโทษเมื่อเห็นร่างบางยังคงนอนนิ่ง บางคนก็เผลอเตะเท้าใส่อีกต่างหาก ระหว่างที่ทั้งหมดทยอยออกไปเพื่อกินข้าวเช้า ก็มีทาสผู้หนึ่งก็สังเกตเห็นอาการผิดปกติของโซกัง
“เจ้านั่นตัวสั่นอยู่นี่”
“หือ? เป็นไข้กระมัง ลองจับหน้าผากดูสิ”
เจ้าตัวจึงวางมือลงบนหน้าผากของโซกังตามคำพูดของทาสอีกคน อุณหภูมิบริเวณนั้นร้อนจนไม่อาจร้อนกว่านี้ได้อีก อย่างไรก็ดูท่าจะเป็นไข้เข้าเสียแล้ว แต่หากตนไปกินข้าวสายจะต้องถูกนายหญิงของห้องครัวตำหนิ ดังนั้นทาสผู้นั้นเลยลุกขึ้นแล้วเดินก้าวออกไปข้างนอก พลางเอ่ยพูดคุยกับอีกคน
“หน้าผากเจ้านั่นร้อนเชียว”
“รีบไปก่อนเถอะ ไว้ค่อยไปแจ้งผู้คุม แล้วจะส่งหมอมาดู หรือจะเอาศพไปทิ้งก็แล้วแต่”
เหล่าทาสเร่งเดินไปกินมื้อเช้า ส่วนผ้าห่มผืนนั้นเป็นทาสที่เดินออกมาคนสุดท้ายช่วยนำมาห่มให้ ยังอุตส่าห์ช่วยสะบัดให้ก่อนห่มถึงสองครา
แต่ถึงอย่างไร โซกังก็ถูกทิ้งไว้ที่เรือนนอนหน่วยสามเพียงลำพัง
“อา… ท่านพ่อ โซยง… มูฮยอน…”
เอ่ยเรียกผู้ที่ตนอยากพบด้วยน้ำเสียงสั่นเทา เนื่องจากมีสติรับรู้เพียงครึ่งๆ กลางๆ ด้วยพิษไข้ จึงไม่รู้แม้กระทั่งว่าตนเรียกชื่อพวกเขาเหล่านั้นออกมา ไม่นานโซกังก็ยกเปลือกตาขึ้นช้าๆ ภาพเลือนรางไม่สามารถคาดเดารูปร่างเริ่มปรากฎเบื้องหน้า สิ่งเหล่านั้นค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นภาพของคนที่คิดถึงอย่างสุดหัวใจ
ใบหน้าเปี่ยมความใจดีของท่านพ่อ ใบหน้าแดงระเรื่ออย่างขวยเขินของโซยง รอยยิ้มอย่างใจกว้างพร้อมมือที่ยื่นมาของมูฮยอน ภายในงานแต่งงานกับบุตรสาวตระกูลแม่ทัพ มีผู้คนมากมายที่ตัวเขาไม่ได้รู้จัก หาใช่เหล่าพลทหารทั้งหมด ท่านมหาเสนาบดีฝ่ายพลาธิการกำลังกล่าวฝากฝังบุตรของท่าน กระทั่งภาพของนายหญิงที่จับมือเอาไว้แน่นก็ยังปรากฎขึ้นอย่างพร่ามัว
ทุกคนต่างยิ้มแย้มและกำลังเรียกให้เขาเข้าไปมา หยาดน้ำตารินไหลลงมาจากดวงตาคู่สวย ใจจริงตนอยากไปเหลือเกิน ปรารถนาให้ผู้คนเหล่านั้นช่วยมารับตัวเขา จับมือเขา ช่วยนำพาเขาไปอยู่ข้างๆ ด้วยกัน
ร่างบางพ่นลมหายใจอุ่นร้อนออกมา มันแจ่มชัดราวกับภาพความจริง เขาพยายามยื่นมือออกไปหากลุ่มคนตรงหน้า ทว่ามือสั่นเทากลับทำได้เพียงไขว่คว้ากลางอากาศ เห็นชัดเจนว่าอยู่ตรงหน้าแท้ๆ เห็นชัดว่าทุกคนกำลังส่งมือมาทางเขา แต่กลับคว้าไว้ไม่ได้ น้ำตารินไหลจากดวงตาของโซกังอย่างไม่มีสิ้นสุด
“ช่วยพาข้าไปที ได้โปรด ได้โปรด…”
โซกังเอ่ยด้วยเสียงกระซิบแผ่วเบา ทว่าสมองกลับย้ำเตือนว่าคนที่ตนคะนึงหาอย่างยิ่งล้วนตายจากกันไปแล้วทั้งสิ้น จากนั้นเหตุผลที่ตัวเขาไม่อาจตายก็ผุดวาบออกมา ตามด้วยคำว่า ‘ถ้าหาก’
ถ้าหากตายด้วยโรคที่ไม่อาจรักษาได้ จะนับว่าคำพูดนั้นไม่เคยมีอยู่ได้หรือไม่ แม้จะพยายามช่วยชีวิต แต่ก็ยังต้องตายด้วยฟ้าลิขิตอยู่ดี เช่นนั้นคงไม่ใช่ว่าไม่รักษาลมหายใจเพื่อพวกเขา
แม้หมอจะมาถึง แต่หากป่วยหนักจนไม่อาจยื้อเอาไว้ได้แล้ว จะไม่เห็นใจกันเลยหรือ
โซกังจมอยู่ในภวังค์ความคิด ก่อนจะค่อยๆ เลิกผ้าห่มคลุมตัวออกคล้ายตัดสินใจได้แล้ว เมื่อผ้าห่มพ้นร่างกาย อากาศหนาวเย็นก็ปะทะลงมาบนเสื้อผ้าเนื้อบาง เขาจึงเริ่มใช้มือสั่นเทาคลายปมที่มัดผูกออก เพราะคิดว่าแค่นำผ้าห่มออก มันยังไม่เพียงพอ แต่เนื่องจากอ่อนแรงเป็นอย่างมาก การคลายปมจึงกินเวลาเนิ่นนาน แต่สุดท้ายโซกังก็คลายปมและปลดเสื้อผ้าลงให้ผิวเนื้อเปลือยเปล่าส่วนบนปรากฎ อากาศภายในเรือนนอนไม่ต่างจากอากาศด้านนอกนัก ความเย็นจัดจึงกระทบลงบนผิวเนื้อโดยตรง
“ฮึก”
อาการหนาวสั่นเข้าครอบคลุมสติจนยากจะหลับต่อ แต่เขาก็ยังกัดฟันและดื้อดึงฝืนหลับ คราแรกตั้งใจจะปลดอาภรณ์ออกจนหมด ทว่าไม่เหลือเรี่ยวแรงแล้วแม้แต่น้อยนิดจึงไม่อาจถอดมันได้ แต่แค่อากาศเย็นปะทะกับผิวส่วนบนก็หนาวเกินทน จนถึงกับต้องเกร็งหน้าท้องและกัดฟันแน่น โซกังกัดฟันพยายามไม่ใส่ใจร่างกายสั่นสะท้านราวกับต้นหลิวต้องลม
เพียงรอหมอมาทำการตรวจชีพจรและกล่าวว่าไร้หนทางรักษาแล้ว เท่านั้นก็เพียงพอ หากเป็นเช่นนั้นร่างกายก็จะเป็นอิสระ ความละอายใจ ความอัปยศ ความรู้สึกผิด ยิ่งกว่านั้นคือ ความรู้สึกที่เก็บกดสะสมเอาไว้ทั้งหมด รวมถึงร่างกายแปดเปื้อนนี่ เขาหลับตาแน่นภาวนาให้ตนสามารถหลุดพ้นได้เสียที
ขณะทำเช่นนั้นอยู่ครู่นึง อาการหนาวสั่นยามปะทะกับความเย็นในฤดูหนาวก็ยิ่งเพิ่มพูน เหมือนออกไปข้างนอกทั้งที่ร่างกายเปลือยเปล่า และความหนาวเย็นนั้นก็นำพาความทรงจำที่เคยมีร่วมกับโซยงในฤดูหนาวหนึ่งออกมา
ฤดูหนาวครั้งนั้น เขากุมมือโซยงเดินเล่นบนเส้นทางปกคลุมด้วยหิมะขาวโพลน ทว่าหิมะที่ปิดทับพื้นดินกลับละลายและจับตัวเป็นน้ำแข็งจนเกือบลื่นล้ม ซึ่งผู้ที่ลื่นก็ไม่ใช่โซยง แต่เป็นตัวเขาเอง โซยงหัวเราะสดใสพร้อมช่วยคว้าจับเขาเอาไว้
นึกถึงกระทั่งกลอนที่เคยเขียนให้นางบนพื้นหิมะด้วยผงชาด แต่เมื่อหิมะละลาย ตัวอักษรก็เลือนหายไป พลันรู้สึกเสียดายอย่างมาก โซยงจึงเอ่ยขอให้เขาเขียนให้อีกครั้ง และใบหน้าของนางก็แดงระเรื่อไม่แพ้สีของตัวอักษรพร้อมกล่าวชม ‘ลายมือของท่านพี่ประณีตงดงามดังรูปโฉม’ อีกทั้งยังชื่นชมว่าสละสลวย ใบหน้าขาวกระจ่างยกยิ้ม ใช้คำชมว่างดงามกับบุรุษได้อย่างไรกัน
ใบหน้าของโซยงเริ่มปรากฎชัดภายในดวงตาหลับสนิทของโซกัง
เวลานั้นสติรับรู้ของเขาค่อยๆ ล่องลอยคล้ายเริ่มปิดรับการรับรู้โดยรอบ ทว่าก่อนจะเป็นเช่นนั้น ระหว่างสติพร่ามัว ก็มีความวุ่นวายอึกทึกครึกโครมแทรกเข้ามา ได้ยินเหมือนมีใครบางคนเอ่ยเรียกว่ายูโซกัง… ชื่อของเขา และรอบด้านก็ยิ่งวุ่นวายขึ้น
แต่มันก็จบลงเพียงเท่านั้น เพราะสุดท้ายร่างบางก็หมดสติด้วยความรู้สึกไร้กังวล
* * *
เมื่อได้ยินว่าทาสคนหนึ่งของหน่วยสามไม่ได้ออกมากินข้าวเพราะป่วย เขาก็ให้ขันทีโชนำทางไปยังเรือนนอนหน่วยสามทันที ขันทีโชไม่อาจทัดทานฝ่าบาทจึงได้แต่สับเท้าก้าวนำอย่างรวดเร็ว
“ฝ่าบาท จำเป็นต้องเสด็จไปที่นั่นด้วยหรือพ่ะย่ะค่ะ ส่งพวกข้ารับใช้ไปตรวจดูแทนไม่ดีกว่าหรือ”
“เราต้องไปตรวจดูด้วยตนเอง”
คำยืนกรานหนักแน่นทำให้ขันทีโชไม่กล้าเสนอความคิดใดๆ อีก ปกติฝ่าบาทไม่ชอบแทนพระองค์ด้วยคำว่า ‘เรา’ ถึงกับกล่าวอย่างเน้นย้ำเพียงนี้ ย่อมเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่งแน่นอน แต่เพียงทาสหลวงต้อยต่ำจะมีเรื่องสำคัญอันใดต่อพระองค์กัน
เมื่อมาถึงหน้าเรือนนอนหน่วยสาม ขันทีโชก็เอ่ยถามกับฝ่าบาทด้วยสีหน้าไม่สบายใจ
“ฝ่าบาท เมื่อคืนมีผู้ปรนนิบัติพระวรกายหรือพ่ะย่ะค่ะ หาก หากว่าตัวตนของคนผู้นั้น…”
“อือ แล้วก็ปรนนิบัติอย่างดีด้วย ดังนั้นข้าจึงว้าวุ่นเช่นนี้ เพราะคนผู้นั้นหายตัวไป”
“ถึงกระนั้น กระหม่อมต้องเข้าไปด้านในก่อนพ่ะย่ะค่ะ”
“เอาตามที่เจ้าว่าดีเถอะ”
ขันทีโชค้อมคำนับ จากนั้นสั่งให้ขันทีผู้ติดตามยกม่านถักจากฟางที่ใช้แทนประตูออก แล้วตนก็เดินเข้าไปด้านในเรือนนอน กลิ่นสาปรุนแรงปะทะเข้ากับจมูกทันทีจนต้องยกชายเสื้อขึ้นมาปิดจมูกและสูดหายใจให้น้อยที่สุด ภายในมีชายผู้หนึ่งผ้าผ่อนเปลื้องออกกำลังนอนตัวสั่นอยู่ ร่างกายท่อนบนจึงเผยออกมาอย่างไม่เรียบร้อย ส่งผลให้เรียวคิ้วของขันทีโชขมวดแน่น
ผู้ปรนนิบัติฝ่าบาทเป็นบุรุษอย่างนั้นหรือ แม้กระทั่งยามเป็นรัชทายาท หรือหลังจากขึ้นครองราชย์ก็ตาม อย่าว่าแต่บุรุษเลย กระทั่งสตรีพระองค์ก็ไม่เคยเข้าใกล้ แล้วเหตุใดครั้งแรกถึงเป็นทาสชายต่อยต่ำเช่นนี้ได้เล่า
ขันทีโชขยับเท้าเข้าไปใกล้บบุรุษที่กำลังนอนตัวสั่นเทา ปราดสายตามองอย่างแช่มช้าราวกับพินิจผลงานล้ำค่า แล้วก็ต้องพยักหน้าเล็กน้อย แม้ฐานะจะเป็นเพียงทาส หากรูปลักษณ์ภายนอกกลับงดงามควรค่ากับการได้ปรนนิบัติพระวรกาย จากนั้นจึงยื่นมือออกไปแตะสัมผัสตัวอีกฝ่าย
“ลุกขึ้นเสีย ระฆังแรกดังแล้วมิใช่หรือ”
ทว่าทันทีที่แตะมือลงกลับสัมผัสถึงความร้อนสูง ขันทีโชวางมือตนลงบนหน้าผากชายตรงหน้า แม้จะถือเป็นการบังอาจทำเรื่องไม่ควรกับผู้ได้รับความโปรดปราน แต่การตรวจสอบก็คือการตรวจสอบ ก่อนจะลองเลื่อนมือแตะตรงหน้าอกและหน้าท้องของอีกฝ่ายบ้าง พบว่าทั้งสามบริเวณต่างก็ร้อนเช่นเดียวกัน ขันทีโชเร่งเท้ากลับออกไปข้างนอก ค้อมคำนับพร้อมเอ่ยรายงานต่อองค์จักรพรรดิ
“ฝ่าบาท ผู้ที่พระองค์ทรงตามหาดูท่าจะเป็นไข้หนัก ตัวร้อนราวกับไฟเลยพ่ะย่ะค่ะ”
“ว่าอย่างไรนะ? เตรียมรถม้าเสีย ข้าจะกลับวังเดี๋ยวนี้”
“ควรตรวจดูอาการก่อนจะดีกว่าพ่ะย่ะค่ะ ไข้สูงนัก หากรีบร้อนเดินทางอาการ อาจจะทรุดลงได้พ่ะย่ะค่ะ”
ฝ่าบาทรับฟังพลางพยักหน้าเล็กน้อย เขาส่งสัญญาณให้ขันทีโชหลีกทาง ก่อนจะเดินเข้าไปภายในเรือนนอนของทาสหน่วยสามอย่างไม่ลังเล ขันทีโชพลันตะโกนออกมาอย่างตื่นตระหนก
“ฝ่าบาท! กระหม่อม!”
ด้วยเพราะฝ่าบาทเสด็จเข้าไปภายในอาศัยของเหล่าทาส ไม่เพียงแต่สกปรก ทว่ามันยังเต็มไปด้วยกลิ่นเหม็นสาบ ทำให้ผู้น้อยอย่างตนแต่ทำอะไรไม่ถูก และเมื่อตะโกนออกไปก็พึงระลึกได้ว่าตัวเองทำความผิดใหญ่หลวงเสียแล้ว ทรงตรัสว่าเมื่อคืนได้รับการปรนนิบัติจากคนผู้นั้น ถึงแม้ตนจะเป็นขันทีที่รับใช้ฝ่าบาทใกล้ชิดเสียยิ่งกว่าพระมเหสี แต่ก็ดันแตะต้องกายผู้ถวายงานใกล้ชิดพระวรกายไปเสียแล้ว ขันทีโชจึงตั้งใจคุกเข่าลงเพื่อขอประทานอภัย ทว่าก่อนจะได้ทำเช่นนั้นก็ได้ยินเสียงฝ่าบาทดังออกมาจากด้านในเสียก่อน
“ข้ารู้ว่าเจ้าไม่ได้เจตนา อย่าได้วิตกไปเลย”
“เป็นพระกรุณาพ่ะย่ะค่ะ”
ขันทีโชรีบค้อมคำนับและรั้งรออยู่ตรงหน้าประตูของเรือนทาสหน่วยสาม
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง ฝ่าบาทก็อุ้มตัวทาสที่มีอาภรณ์ของพระองค์คลุมร่างกายออกมาด้านนอก อีกฝ่ายหมดสติอยู่ในอ้อมกอดขององค์จักรพรรดิ หากไม่ทรงอนุญาต ผู้ใดก็ไม่สามารถบังอาจแตะต้องของสำคัญของพระองค์ได้ ดังนั้นผู้คนโดยรอบจึงไม่อาจเอื้อมไปรับตัวชายผู้นั้นมาจากฝ่าบาทได้
ตัวเขาเองก็ไม่คิดจะส่งร่างบางให้แก่ผู้ใดอยู่แล้ว และเริ่มออกเดินทั้งๆ ที่ยังคงอุ้มอีกคนไว้เช่นนั้น บรรดาองครักษ์ฮวังรยง ขันที นางกำนัล รวมถึงขันทีโชก็เดินตามติดอยู่ด้านหลังฝ่าบาทเรียงเป็นแถว เร่งฝีเท้าไปทางเรือนพำนักที่ประทับอยู่ตั้งแต่เมื่อวาน
เมื่อเดินเข้าไปภายในเรือน ก็วางบุรุษในอ้อมแขนลงบนแท่นบรรทมที่จัดระเบียบไว้อย่างเรียบร้อย ก่อนจะคลุมผ้าห่มผืนหนาให้จนถึงช่วงคอ แล้วสั่งให้ขันทีไปตามหมอมาโดยเร็ว ทั้งยังสั่งให้นางกำนัลยกอ่างน้ำและผ้าสะอาดเข้ามา
เหล่านางกำนัลเร่งนำอ่างน้ำกับผ้าสะอาดเข้ามาถวายทันที ฝ่าบาททรงรับอ่างน้ำมา แล้วนำผ้าชุบน้ำเช็ดตัวให้อีกฝ่ายด้วยตัวพระองค์เองระหว่างรอให้หมอมาถึง ผ่านไปไม่นานเสียงตึกๆ ก็ดังมาจากนอกประตูพร้อมเสียงกล่าวรายงาน
“ฝ่าบาท หมอประจำกรมมาถึงแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“หมอประจำกรม…”
“เข้ามา”
เขาเอ่ยแทรกขึ้นก่อนขันทีโชจะกล่าวจบ ขันทีโชจึงแจ้งตามรับสั่งไปด้านนอกอีกครั้งว่าให้เข้ามาได้ เมื่อเปิดประตูออก หมอประจำกรมก็เดินเข้ามาด้านใน จากนั้นก็คุกเข่าลงกับพื้นค้อมศีรษะลงต่ำและเอ่ยขึ้น
“ถวายพระพรพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท”
“ลุกขึ้น”
“ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะ”
ฝ่าบาททรงอนุญาตให้หมอผู้นี้สัมผัสร่างกายของยูโซกังได้ หมอขยับนั่งลงข้างเตียงอย่างระมัดระวัง ก่อนจะคลุมผ้าแพรสีขาวลงบนข้อมือเรียว จากนั้นจึงทำการตรวจชีพจรและสัมผัสได้ถึงอุณหภูมิร่างกายของผู้ไม่ได้สติผ่านผ้าแพรผืนนั้น