ตอนที่ 3 เข้าหอ
หมอทำการตรวจดูชีพจรและอาการของโซกังอย่างตั้งใจ ฝ่าบาทยังคงรั้งรออยู่ด้านหลังโดยไม่คิดจะผละห่างเพราะเป็นกังวลอย่างมาก เดินไปเดินมาขณะหมอตรวจชีพจรให้ผู้หมดสติ เฝ้ามองอย่างใจจดใจจ่อว่าทำอะไรบ้าง
เพียงได้สบตาแค่ครั้งเดียว ไม่สิ ไม่รู้เหตุใดถึงต้องเป็นห่วงเป็นใยกับทาสคนหนึ่งเช่นนี้ ทว่าเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายหมดสติ มันส่งผลให้จิตใจเขาไม่อาจสงบได้เลย
ชื่อคุ้นเคยและรูปลักษณ์งดงามที่ค้นหาในความทรงจำไม่พบ รวมถึงความเศร้าหมองที่ซุกซ่อนอยู่ในแววตา หมอตรวจชีพจรและลองกดเบาๆ ลงแถวขมับ หลังคอ หน้าผากและหลังใบหู หลังจากลองสัมผัสเรียบร้อยแล้วก็ปลดผ้าแพรสีขาวที่ปิดคลุมบนข้อมือเรียวออก ก่อนจะหันไปค้อมศีรษะต่อองค์จักรพรรดิ
“ทูลฝ่าบาท ขอประทานอนุญาตให้กระหม่อมตรวจดูบริเวณหน้าท้องได้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
“เจ้าตรวจเถอะ”
“พ่ะย่ะค่ะ”
เมื่อได้รับอนุญาตแล้ว หมอจึงนำผ้าแพรสีขาวผืนเดิมมาคลุมมือ เลิกผ้าห่มขึ้นอย่างระมัดระวังและค่อยๆ ยื่นมือสัมผัส แม้จะได้รับประทานอนุญาตแล้ว แต่ถึงอย่างไรก็ไม่อาจรีบร้อนได้ หมอลองจับกดตามหน้าท้องแบนราบอย่างรอบคอบ กระทั่งกดลงมาถึงบริเวณหน้าท้องส่วนล่างก็ชักมือกลับแล้วกล่าวรายงานอีกครั้ง
“ฝ่าบาท ประเดี๋ยวกระหม่อมจะต้มยาลดไข้มาถวายพ่ะย่ะค่ะ”
“ด้วยร่างกายเช่นนี้สามารถขึ้นเกี้ยว หรือรถม้าเดินทางไปวังหลวงได้หรือไม่”
“แม้หนทางจะมิได้ไกลนัก ก็อาจทำให้อาการทรุดลงได้ ตามความเห็นของกระหม่อม หลังทานยาจนไข้ลดลงได้แล้วค่อยเดินทาง จะเป็นการดีกว่าพ่ะย่ะค่ะ”
“เช่นนั้นเจ้าจงรีบไปต้มยามา”
“รับบัญชาพ่ะย่ะค่ะ”
เมื่อหมอประจำกรมรีบร้อนออกไปจัดเตรียมยา เขาก็นั่งลงข้างๆ ร่างบอบบางแล้วใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดหน้าผากและตามกรอบหน้า หลังหมอออกไปไม่นานนัก เสียงรายงานว่าขันทีโชขอเข้าเฝ้าก็ดังให้ได้ยิน ผู้มีอำนวจสูงสุดจึงรับสั่งอนุญาต ประตูก็เปิดออกทันทีพร้อมกับขันทีโชพรวดพราดเดินเข้ามา
ขันทีโชไม่เพียงเป็นกังวลเท่านั้น ระหว่างลอบสังเกตพระพักตร์วุ่นวายใจของฝ่าบาทก็เอ่ยปากขึ้น
“แม้ฝ่าบาทจะทรงเป็นห่วงสุขภาพของท่านผู้นั้นมากถึงเพียงไร ก็ต้องรับสำรับบ้างนะพ่ะย่ะค่ะ”
“ข้าไม่อยากอาหาร เอาแค่พวกของว่างกับชามาก็พอ”
“พ่ะย่ะค่ะ”
กระทั่งขันทีโชไปสั่งการข้ารับใช้ด้านนอก สายตาของเขาก็ไม่ละห่างจากโซกังเลย และเมื่อรู้สึกได้ว่าขันทีโชขยับมายืนข้างๆ ก็ออกคำสั่งอีกครั้งทั้งๆ ที่ยังตกอยู่ในภวังค์ความคิด
“ไปนำทะเบียนทาสของยูโซกังมา”
“พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท”
ขันทีโชมั่นใจชัดแจ้งทันทีว่าผู้เอนกายอยู่บนแท่นบรรทมขององค์จักรพรรดิ ก็คือยูโซกังนั่นเอง ทาสที่ฝ่าบาททรงดูแลด้วยตัวพระองค์เองตลอดเวลา ทว่าหากเป็นสกุลยูแล้ว มิใช่ว่าเป็นหนึ่งในกลุ่มกบฏเมื่อครั้นจักรพรรดิองค์ก่อนหรอกหรือ
ตัวเขาจดจำเรื่องในคราวนั้นได้ค่อนข้างละเอียด ด้วยเพราะเวลายังไม่ได้ผ่านพ้นไปนานมากนัก กบฎในเหตุการณ์นั้นมีขุนนางสกุลยู สังกัดกรมราชเลขา ก่อนเจ้าตัวจะได้รับโทษประหาร ทายาทของเขาก็สิ้นชีพจากการทรมานในคุก
คงไม่ใช่เช่นนั้นหรอกกระมัง ขันทีโชคิดว่าความคิดของตนช่างไร้เหตุผลจึงส่ายหน้าเบาๆ สกุลยูก็ใช่จะมีเพียงแค่หนึ่งหรือสองตระกูล
จากนั้นก็ออกมาด้านนอกถ่ายทอดคำสั่งขององค์จักรพรรดิแก่ข้ารับใช้ และไม่นานก็นำสำรับของว่างกลับเข้ามาด้วย บนถาดสำรับมีของว่างกับชาวางอยู่ ข้ารับใช้ค้อมคำนับอย่างมีนอบน้อมแล้วก้าวถอยหลังออกไป เพียงไม่ได้รับสำรับแค่หนึ่งมื้อ ขันทีโชก็ทำสีหน้าวิตกกังวลราวกับตัวเขาป่วยหนัก ดังนั้น เขาจึงต้องนั่งลงบนเก้าอี้อย่างเสียไม่ได้ ก่อนจะหยิบขนมของว่างใส่ปากหนึ่งคำ
ด้วยความห่วงใยของขันทีโชที่คอยดูแลอยู่ข้างกายมาตั้งแต่ยังเยาว์วัย เลยยอมฝืนเอาของว่างเข้าปากเป็นชิ้นที่สอง ทว่ามันกลับให้รสชาติขมปร่า
“ฝ่าบาท หากทรงรู้สึกไม่ดีให้จัดยามาถวายดีหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
“ไม่ล่ะ ข้าไม่เป็นไร เพียงแค่…”
เขาละคำพูดช่วงท้ายครู่หนึ่งพลางขมวดคิ้วมุ่น ใยถึงต้องรู้สึกไม่ดีเช่นนี้ด้วย อย่างไรก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี จากนั้นก็ปิดปากเงียบและขบคิดเกี่ยวกับความรู้สึกของตน ขันทีโชรอคอยฝ่าบาทจัดการกับความคิด ซึ่งระหว่างนั้นหมอก็นำยาเข้ามาถวายพอดี
ขันทีโชจึงรับถ้วยยามาถือและใช้ปลายนิ้วก้อยตรวจวัดอุณหภูมิ
“ยาพร้อมแล้ว ฝ่าบาทหากทรงอนุญาต กระหม่อมจะป้อนยาเองพ่ะย่ะค่ะ”
“ข้าจะทำเอง”
ว่าแล้วก็ขยับเข้าไปใกล้เตียงนอนเพื่อประคองคนที่ยังตัวสั่นเทา แต่ไม่มีทีท่าว่าจะฟื้นให้ลุกขึ้น รองศีรษะและขยับเปิดปากอีกฝ่ายออก จากนั้นจึงทำการป้อนยา ทว่ายากลับไม่ไหลเข้าปากแม้แต่น้อย
เขากระเดาะลิ้นเล็กน้อย ก่อนจะดื่มยาเข้าปากตัวเอง และวินาทีต่อมาก็ทำเอาขันทีโชถึงกับเบิกตากว้าง เพราะฝ่าบาททรงประกบริมฝีปากกับทาสผู้นั้น ปล่อยยาผ่านลงไปในลำคอของโซกังแล้วผละริมฝีปากออกมาและทำเช่นเดียวกับเมื่อครู่อีกครั้ง
กระทำซ้ำๆ อยู่เช่นนั้นหลายต่อหลายครา จนกระทั่งร่างบอบบางดื่มยาลงคอจนหมด จึงวางให้เอนลงนอนเช่นเดิมพร้อมห่มผ้าให้จนถึงช่วงคอ ส่วนตนเองก็เดินไปที่โต๊ะเพื่อดื่มชาล้างปาก
“ใยทำสีหน้าเช่นนั้นเล่าขันทีโช”
“กระหม่อมเพียงนึกถึงยามควีบี[1]มามา[2]ทรงมีอาการอาหารไม่ย่อยพ่ะย่ะค่ะ”
“ฮยอนควีบีเคยเป็นเช่นนั้นด้วยหรือ”
“ทุกสัปดาห์ทรงต้องเสวยโอสถ อีกทั้งยังเสวยได้เพียงแค่โจ๊กข้าวพ่ะย่ะค่ะ”
“จริงหรือ”
“แม้จะทรงเป็นบิดาของราชฎร ทว่าทรงเป็นสามีเพียงพระองค์เดียว ช่างน่าสงสารควีบีนักที่ฝ่าบาทไม่ทรงใส่พระทัย กระหม่อมกราบทูลไปหลายคราแล้ว ทว่าฝ่าบาทก็ไม่ยอมเสด็จวังฮึงด็อกเลยพ่ะย่ะค่ะ”
เขาเลยพึมพำออกมาว่าอย่างนั้นหรือขณะหวนคิดย้อนไป แต่ก็นึกไม่ออกเลยจริงๆ
ก็คงจะเป็นเช่นนั้น ทันทีที่ได้ขึ้นเป็นจักรพรรดิ สิ่งแรกที่ต้องเผชิญก็คือปัญหาเรื่องการอภิเษก ส่วนใหญ่การอภิเษกจะจัดขึ้นตั้งแต่ครั้นเป็นรัชทายาท ทว่าตั้งแต่ขึ้นครองราชย์มา เขาก็ไม่คิดจะอภิเษก
คราจักรพรรดิองค์ก่อน ตำแหน่งฝ่ายใน สามบี หกบิน สิบสองชอ ยี่สิบเจ็ดชิล ล้วนถูกเติมเต็มด้วยเหล่าหญิงงามจนไม่มีตำแหน่งใดว่าง
สูงสุดคือแทฮวังแทฮู[3]มามาผู้เพรียบพร้อม รองลงมาคือเหล่าสนมที่ต้องใช้สวามีร่วมกัน ซึ่งรวมถึงพระมารดาของเขา ไม่มีกระทั่งอำนาจแม้กระทั่งจะดูแลบุตรเพียงคนเดียว เพราะอดีตจักรพรรดิรักพระมเหสีผู้ให้กำเนิดเขาเพียงแค่ช่วงสั้นๆ เท่านั้น พระมเหสีต้องพยายามรักษาตำแหน่งจากเหล่าสนมมากมายของจักรพรรดิองค์ก่อน และตั้งแต่เล็กจนถึงยามเติบใหญ่จนสามารถเข้าถึงจิตใจพระมารดา ตนก็ต้องทนเห็นสิ่งนั้นมาตลอด กระทั่งถึงยามพระมารดาสิ้นลมหายใจ
เรื่องของสนมกีโซอี[4]ก็เป็นเช่นนั้น ต้องทนเห็นทั้งเหล่าสนมอีกตั้งเท่าไหร่ ไม่มีทางที่นางจะยินดี
เพราะสาเหตุนั้น แม้ว่าเหล่าขุนนางจะเป็นกังวล หากตำแหน่งพระมเหสีก็ยังคงว่างอยู่เช่นเดิม เขาถึงกับประกาศอย่างจริงจังว่า คนผู้นั้นต้องเป็นผู้ที่เขารักด้วยใจจริงของตนเท่านั้น และจนกว่าจะแน่ใจว่าความรู้สึกนั้นไม่มีทางเปลี่ยนแปลง หาไม่แล้ว ไม่ว่าผู้ใดก็ไม่มีสิทธิ์ได้นั่งตำแหน่งนั้นเด็ดขาด ทว่าเหล่าขุนนางก็ยังคงเอ่ยถึงเรื่องทายาท รวมถึงร้องขอให้รับสนมเข้ามาทดแทน
เนื่องจากเหล่าขุนนางเอาแต่พูดเกี่ยวกับตำแหน่งสนมอยู่เรื่อยจนไม่สามารถจัดการทั้งงานราช ทั้งงานหลวงได้ สุดท้ายเขาจึงจัดการคัดเลือกสตรีเข้ามาเป็นสนมเพื่อตัดปัญหา ทุกคนจะได้ใส่ใจกับงานบ้านงานเมืองของตนเองได้เสียที หลังจากรับเข้ามาแล้ว คนพวกนั้นจึงยอมหันมาพูดเรื่องงานบ้านเมืองว่าเป็นมาอย่างไร
และด้วยเหตุนั้น สตรีที่รับเข้ามาก็คือ ฮยอนควีบี ยุนซุกบี[5] ออมฮยอนบี[6]
ต่างกับฝ่ายในเมื่อครั้งจักรพรรดิองค์ก่อน เพราะแน่นอนว่าฝ่ายในของจักรพรรดิองค์ปัจจุบันไม่มีการทะเลาะเบาะแว้งอันใดเกิดขึ้น เนื่องจากสนมเอกทั้งสามคนไม่ได้ร่วมหอกับฝ่าบาทเลยสักครั้ง สตรีทั้งหมดภายในวังหลวงล้วนเป็นสตรีขององค์จักรพรรดิ หากเพียงยื่นมือมาก็สามารถจับผู้ใดวางลงบนเตียงได้ ทว่าพระองค์กลับไม่สนใจสตรีใดเลย
เมื่อเห็นฝ่าบาททรงอมยาแล้วป้อนอีกคนด้วยองค์เอง นับเป็นเรื่องแน่นอนที่ขันทีโชควรตื่นตระหนกตกใจ เขาจ้องมองโซกังที่ยังตัวสั่นอยู่เช่นเดิมก่อนจะกล่าวกับขันทีโช
“ข้ารู้สึกล้าเพราะไม่ได้นอนเต็มอิ่มมาหลายวัน ข้าจะงีบจนถึงยามรับสำรับมื้อเที่ยง”
“เช่นนั้นกระหม่อมจะเรียกขันทีมาเคลื่อนย้ายบุรุษผู้นี้ไปที่อื่นพ่ะย่ะค่ะ”
“ไม่ต้อง ที่นี่พอให้นอนสองคนได้ อีกอย่างข้าไม่ยินดีให้ผู้อื่นมาแตะต้องเขา”
“กระหม่อมทราบแล้ว เช่นนั้นเพียงนำทะเบียนทาสมาวางเอาไว้ด้านในก็พอใช่หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
“ตามนั้น”
จากขันทีโชก็ค้อมศีรษะรับคำสั่งของฝ่าบาทแล้วออกไปด้านนอก
[1] ควีบี (귀비 : 貴妃) ตำแหน่งสนมเอกลำดับที่ 1 ในองค์จักรพรรดิ
[2] มามา (마마 : 媽媽) คำเรียกต่อท้ายตำแหน่งของพระสนมฝ่ายใน
[3] แทฮวังแทฮู (태황태후 : 太皇太后) ตำแหน่งของจักรพรรดินีในจักรพรรดิองค์ก่อนหน้านับขึ้นไป 2 ขั้น หรือเป็นพระอัยยิกาในจักรพรรดิองค์ปัจจุบัน
[4] โซอี/ โซอึย (소의 : 昭儀) ตำแหน่งพระสนมขั้น 2 ชั้นเอก
[5] ซุกบี (숙비 : 淑妃) ตำแหน่งสนมเอกลำดับที่ 2 ในองค์จักรพรรดิ
[6] ฮยอนบี (현비 : 賢妃) ตำแหน่งสนมเอกลำดับที่ 3 ในองค์จักรพรรดิ