“ดังนั้นเมื่อพบว่าคุณชายกลายเป็นทาสอยู่ที่กรมฝ่ายใต้ ข้าจึงโศกเศร้าเป็นที่สุดเจ้าค่ะ”
นางจงใจละเว้นการกล่าวถึงว่าเขาเป็นบุตรชายของขุนนางกรมราชเลขา เรื่องที่คุณชายถูกจับขัง เรื่องขุนนางกรมราชเลขาผู้เป็นบิดาให้การเกี่ยวกับพวกกบฏโดยไม่รู้สาเหตุ กระทั่งข่าวว่าอีกฝ่ายทรมานจนสิ้นใจอยู่ในคุก นางล้วนได้ยินมาทั้งสิ้น
ดังนั้นยามเห็นเขาอยู่ท่ามกลางเหล่าทาสของกรมฝ่ายใต้ นางจึงตระหนกตกใจเป็นอย่างยิ่ง ผู้ที่ได้ยินว่าสิ้นใจแล้วกลับมีชีวิตฟื้นคืนมา จะไม่ให้ตกใจก็คงเป็นไปไม่ได้
แม้ไม่อาจล่วงรู้ว่าเพราะเหตุใดชายสองคนนี้ถึงอยากรู้เกี่ยวกับอีกฝ่ายนัก แต่นางคิดว่าหากใครบางคนต้องการปกปิดตัวตนของคุณชาย ตัวนางก็ไม่เห็นความจำเป็นจะต้องเปิดเผยมัน เพราะไม่ปรารถนาจะให้เกิดเรื่องอันตรายต่อเขาอีก
สายตาของบุรุษตรงหน้าจดจ้องสังเกตสีหน้าของนางราวกับพยายามเฟ้นหาข้อเท็จจริง
“มีเพียงเท่านั้นหรือขอรับ”
“เจ้าค่ะ มีเพียงเท่านี้”
“ข้าทราบแล้ว”
จากนั้นองครักษ์ฮวังรยงก็แสดงความขอบคุณแก่นาง ก่อนจะออกจากบ้านหลังนั้นไปพร้อมกับสหายที่คอยเฝ้าสังเกตการณ์อยู่ด้านนอก ทว่าพวกเขาไม่ได้ตรงกลับไปรายงานตามนั้น แต่ออกตามหาอดีตสามีของสตรีผู้นี้แทน
บุรุษที่หย่าร้างด้วยฝีมือของยูโซกัง ตอนนี้ทำงานเป็นคนงานอยู่ในหอมโยวอล ไม่รู้ด้วยเหตุอันใดชายผู้สง่างามในเรื่องราวที่เพิ่งได้ฟังถึงมีสภาพขาเป๋เช่นนี้ ทว่าเพียงมอบเหรียญทองคำจำนวนหนึ่งให้อีกฝ่าย พวกเขาก็ได้รับฟังเรื่องราวทั้งหมดแล้ว ยูโซกังเป็นบุตรชายของขุนนางกรมราชเลขายูจินมยอง ชายอันธพาลที่แย่งภรรยาของตนไป คนตรงหน้าพรั่งพรูความคับแค้นใจอยู่สักพักใหญ่ หลังเหล่าองครักษ์ฮวังรยงรับฟังเรื่องราวอย่างตั้งใจแล้วก็จัดการปลิดชีพอีกฝ่ายในกระท่อมโกโรโกโสของมันเองทันที
คนปากสว่างเห็นแก่เงินทอง จะกลายเป็นปัญหาในภายหน้าได้ ดังนั้นฝ่าบาทจึงได้รับสั่งว่าจงทำให้มันเปิดปากไม่ได้อีก
เมื่อองครักษ์ฮวังรยงทั้งสองสืบทราบตัวตนแท้จริงของโซกังได้แล้ว ถึงสามารถกลับวังหลวงไปรายงานต่อองค์จักรพรรดิได้ในยามดึกของวันที่สิบ
ภายในห้องอักษรส่วนพระองค์ในตำหนักคอนรยุง พวกเขาเอ่ยรายงานต่อเกี่ยวกับเรื่องราวที่สืบทราบมาตามความจริง เมื่อฝ่าบาทได้ฟังว่ายูโซกังเป็นบุตรชายของขุนนางกรมราชเลขายูจินมยอง ก็พลันเกิดสีหน้างุนงงขึ้นชั่วขณะ ทว่าในพริบตาก็กลับคืนสู่ความเคร่งขรึม กล่าวชมเชยองค์รักษ์ทั้งสองคนแล้วรับสั่งให้ออกไปพักผ่อนได้
และทันทีที่พวกเขาออกไป สีหน้าประหลาดใจก็กลับเข้ามาเยือนพลางเคาะนิ้วลงกับโต๊ะ
“อย่างนี้เองสินะ เด็กในตอนนั้น มิน่า ถึงรู้สึกคลับคล้ายคลับคลาว่าเคยพบที่ไหนมาก่อนเช่นนี้…”
เสียงพึมพำเบาๆ ดังแผ่วภายในห้องอักษร เขามองแสงไฟในตะเกียงไหววูบ รอยยิ้มบางๆ ปรากฎบนริมฝีปาก เมื่อหวนนึกย้อนไปเมื่อสิบปีก่อน ในวันอากาศแจ่มใสขณะตนไปเยือนจวนของมหาเสนาบดีฝ่ายพลาธิการ
* * *
“องค์รัชทายาท แม้เทียบกับวังหลวงแล้วที่ใดๆ ก็ล้วนนับว่าซ่อมซ่อทั้งสิ้น แต่ที่นี่ก็นับเป็นจวนหรูหราพอควรสำหรับเมืองหลวงแทรยุงแห่งนี้ หากทรงเดินเล่นในสวนสักหน่อยแล้วจัดการกับความคิด กระหม่อมก็คิดว่าไม่เลวนักพ่ะย่ะค่ะ”
“คงจะต้องเป็นเช่นนั้น ขอบคุณท่านมหาเสนาบดีที่ช่วยชี้แนะ”
รัชทายาทยังจาฮอนมาเพื่อไถ่ถามเกี่ยวกับการคลังของอาณาจักร รวมถึงเรื่องการใช้จ่ายจากมหาเสนาบดีฝ่ายพลาธิการ เพียงหนึ่งชั่วยามครึ่งก็ก้าวออกมาจากห้องทำงานของเจ้าบ้าน ซึ่งผนวกรวมกับห้องหนังสืออยู่ภายใน เขาเหยียดกายคลายความเมื่อยล้า และหลังจากผ่อนคลายความตึงเครียดแล้วก็พบว่าสวนบริเวณนั้นงดงามอย่างยิ่ง เนื่องจากภรรยาของมหาเสนาบดีชื่นชอบการปลูกดอกไม้เป็นอย่างมาก ดังนั้นพื้นที่ของสวนทั้งหมดจึงถูกสร้างเป็นไร่ดอกไม้
เขาขยับก้าวย่างอย่างเชื่องช้าพลางจัดการความคิดในหัวไปด้วย ทว่าทันใดนั้นภาพเด็กน้อยผู้หนึ่งตรงมุมสวนก็ปรากฎขึ้นในคลองสายตา อีกฝ่ายนั่งอยู่บนพื้นดิน แม้นอาภรณ์จะเปรอะเปื้อนก็หาใส่ใจไม่ และกำลังเหม่อมองมวลดอกไม้ ถึงไม่ได้เห็นใบหน้าชัดเจน ทว่าจากท่าทางอย่างไรก็ดูเป็นเช่นนั้น
จาฮอนขยับเข้าไปราวกับต้องมนต์บางสิ่งเข้า แต่เจ้าของเส้นผมปล่อยยาวสลวย สวมอาภรณ์สีฟ้าคราม อาจจะไม่รู้สึกถึงการเคลื่อนไหว เพราะถึงเขาจะขยับเข้าใกล้แล้ว อีกฝ่ายก็ไม่แม้แต่จะผินหน้ามามอง ไม่ขยับเขยื้อนสักครา จนพาลให้รู้สึกใคร่รู้อย่างน่าประหลาด
“อะแฮ่ม”
“อา…”
เสียงกระแอมไอของยังจาฮอนทำให้ร่างเล็กส่งเสียงอุทานออกมาเล็กน้อยก่อนจะหันหน้า นัยน์ตาสีดำซุกซ่อนความเศร้าโศกมองมาด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์อยู่เล็กน้อย
“มีเรื่องอันใดหรือขอรับ”
ทั้งสีหน้าไม่สมเป็นเด็ก ทั้งน้ำเสียงไม่แหลมสูงไม่ทุ้มต่ำ มันดังแว่วมาถึงโสตประสาทของจาฮอน เอกลักษณ์เฉพาะแฝงในน้ำเสียงนั้นทำเอาเขาหลงลืมคำพูดไปชั่วขณะ จนต้องกระแอมออกมาในหนที่สองอย่างไม่สมควรกับวัยแล้วเอ่ยปากขึ้น
“ไม่รู้สึกว่าข้าเข้ามาใกล้เลยหรือ”
“คุณชาย ท่านคงจะเป็นผู้ไร้เชาว์ปัญญาสินะขอรับ”
“ว่าอย่างไรนะ”
จายอนท้วงถามด้วยน้ำเสียงคาดไม่ถึง แค่มองก็เห็นชัดแล้วว่าเป็นเพียงเด็กน้อยเยาว์วัย แต่กลับกล้าย้อนวาจาสั่งสอนตัวเขา ซึ่งเห็นจะเป็นอื่นไปไม่ได้ ร่างเล็กเบือนสายกลับไปทางดอกไม้พร้อมชี้แจงอย่างแผ่วเบา
“การก้าวเดินย่อมมีความสั่นไหว และการสั่นไหวก็ย่อมมีเสียงสะท้อนชัดเจน ดังนั้นข้าจะไม่รับรู้ได้อย่างไรกันเล่า ที่ไม่ตอบรับก็ย่อมมีเหตุผลอยู่แล้วมิใช่หรือขอรับ หากท่านกลับเมินเฉยต่อสิ่งนั้น อีกทั้งยังเอ่ยปากขึ้นมาเช่นนี้ ย่อมนับว่าไร้เชาว์ปัญญาถูกต้องหรือไม่”
การตอบโต้กลับมาแต่ละทีทำเอาเขาไร้ถ้อยคำจะกล่าวแย้ง ดังนั้นแทนที่จะตอบโต้กลับเลือกจะพินิจพิจารณารูปลักษณ์ของอีกฝ่ายแทน เพราะมันคือสิ่งที่ดึงดูดให้ตนขยับเข้ามาใกล้
ผิวพรรณขาวผ่องเสียจนสงสัยว่าเปล่งประกายด้วยตนเองได้หรือไม่ เส้นผมดำขลับยาวทิ้งตัวสลวย หากเติบใหญ่เห็นจะกลายเป็นสตรีที่งดงามยิ่งนัก ทว่าวาจากลับให้ความรู้สึกว่าคงจะได้อ่านตำหรับตำรามามากทีเดียว ยังจาฮอนกวาดสายตามองเด็กน้อยจนถ้วนทั่ว จากนั้นจึงเอ่ยปากถามอีกครา
“ปีนี้เจ้าอายุเท่าไหร่หรือ”
“สิบสามขอรับ”
“วาจาช่างเป็นผู้ใหญ่ไม่สมวัยเลยเชียว”
“เช่นนั้นคุณชายเอง แม้อายุมากแต่ยังคงไร้เชาว์ปัญญาเช่นเดิม ข้าต้องการอยู่เพียงลำพัง และข้าก็จับจองที่นี่อยู่ก่อนแล้ว ดังนั้นหากประสงค์จะชมดอกไม้ เชิญท่านไปที่อื่นเถิดขอรับ”
ทุกถ้อยวาจาที่กล่าวออกมาราวกับดอกไม้งามที่มีหนามแหลมโผล่ทิ่มแทง จนเขาต้องหัวเราะออกมาเล็กน้อย
ตัวเขาชิงชังสตรีที่เป็นดั่งดอกไม้งามซุกซ่อนพิษร้าย ทว่าหากเป็นดอกไม้ที่มีหนาม อย่างน้อยก็ยังสามารถระมัดระวังตัวได้ตั้งแต่แรกเริ่มดีกว่าดอกไม้ซุกซ่อนหนามแหลมคม อีกทั้งเด็กสาวผู้นี้ยังดึงดูดสายตาอย่างน่าประหลาด ทันทีที่เขาเติบใหญ่ ฎีกาเกี่ยวกับการคัดเลือกชายาก็ถูกส่งมาตลอด จนกระทั่งตอนนี้ก็เหล่าขุนนางก็ยังส่งมาอยู่เรื่อยๆ ชายาของรัชทายาท… หากเป็นสตรีที่สามารถตอบโต้เขาได้ทุกถ้อยคำเช่นนี้ ก็คงจะดีไม่น้อย
ระหว่างปิดปากเงียบและเฝ้ามองผู้กล่าววาจาโน้มน้าวให้ตนออกไปจากที่นี่อยู่ครู่หนึ่ง จาฮอนก็โพล่งถามขึ้นมากะทันหันหลังจากเกิดความคิดบางอย่าง
“ขออภัยที่รบกวนเจ้า แต่ข้ามีเรื่องสงสัย อยากขอไถ่ถามอีกสักข้อแล้วจะไม่รบกวนอีก เจ้าเป็นบุตรีของตระกูลใดกัน”
ซึ่งคำถามนั้นทำให้เสียงถอนหายใจหลุดออกมาจากอีกฝ่ายทันที แน่ชัดว่ามันเจือความขุ่นข้องใจ เด็กน้อยค่อยๆ เบือนสายกลับมาจ้องยังจาฮอนช้าๆ ก่อนหน้านี้ปรากฎร่องรอยความไม่พอใจเพราะถูกขัดขวางการใช้ความคิด แต่ตอนนี้กลับแสดงออกว่าไม่สบอารมณ์อย่างไม่คิดปิดบังและเอ่ยปากตอบกลับ
“ดูจากตอนนี้คงเป็นคนตาบอดด้วยสินะขอรับ”
“อะไรนะ คราแรกข้าอุตส่าห์ไม่ถือสา แต่เมื่อรู้ว่าข้าเป็นถึงผู้ใดแล้ว เจ้าก็ยังบังอาจ”
“ข้าไม่รู้หรอกขอรับว่าท่านเป็นใคร ทว่าหากไม่สามารถแยกแยะกระทั่งว่าผู้ที่อยู่ตรงหน้าเป็นเพศใดได้เช่นนี้ นอกจากจะเป็นคนตาบอดแล้ว ก็ไม่อาจคิดเป็นอื่นได้อีกมิใช่หรือขอรับ”
วาจาของเด็กน้อย ทำให้เขารับมือไม่ถูกจริงๆ
จากนั้นร่างเล็กก็ผุดลุกขึ้นพลางปัดป่ายทั่วอาภรณ์ ก่อนจะโค้งคำนับให้เล็กน้อยแล้วผละจากไป เพียงแค่บังอาจหันหลังใส่รัชทายาทก่อน ก็อาจต้องโทษโบยได้แล้ว ทว่ายังจาฮอนผู้ถือครองอำนาจนั้นกลับเพียงแค่เหม่อมองแผ่นหลังอีกฝ่าย
แต่แทนที่จะไล่ตาม เขากลับบอกกล่าวลักษณะของเด็กน้อยผู้นั้นแก่ท่านมหาเสนาบดีแล้วเอ่ยถามว่าเป็นผู้ใดกัน กระทั่งได้ทราบว่าเป็นบุตรชายของขุนนางกรมราชเลขายูจินมยอง ผู้มีความสนิทสนมกับท่านมหาเสนาบดีจึงนำมาฝากให้ดูแลระยะหนึ่ง ด้วยภรรยาของยูจินมยองเพิ่งเสียชีวิต ยามนี้จึงยังเป็นช่วงเวลาแห่งการไว้ทุกข์
“เด็กผู้นั้นมีนามว่าอะไร”
“ยูโซกังพ่ะย่ะค่ะ”
* * *