จาฮอนถือตะเกียบรอ ขณะเฝ้าสังเกตโซกังทดสอบพิษในสำรับจานที่สามเสร็จสิ้น เมื่อโดนสายตาจดจ่อเช่นนี้จึงรู้สึกกดดันอย่างยิ่ง โซกังเคี้ยวอาหารช้าลงกว่าเมื่อครู่ จ้องมองสำรับแล้วถอนหายใจเฮือกใหญ่
“ใยถึงถอนหายใจอย่างกลัดกลุ้มเช่นนั้นเล่า”
“เรียกนางกำนัลทดสอบพิษเข้ามาไม่ได้หรือพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท”
“ไม่สบายใจที่ในสำรับอาจจะมีพิษอยู่หรือ”
“ไม่ใช่พ่ะย่ะค่ะ แค่กระหม่อมคิดว่านางกำนัลทดสอบพิษยอดเยี่ยมกว่านัก หากลองชิมทั้งหมดแล้ว เกรงว่ากระหม่อมคงจะทานต่อไม่ไหว”
“เพียงเท่านี้ก็ทานไม่ไหว ยังจะนับเป็นบุรุษได้อย่างไร”
กล่าวตำหนิอย่างหยอกเย้า แต่เมื่อเห็นเรียวคิ้วของโซกังขมวดแน่น ก็พลันหลุดหัวเราะออกมาเสียอย่างนั้น ถึงไม่รู้ว่าด้วยเหตุใด แต่กลับเพลิดเพลินยามเห็นอีกฝ่ายแสดงความรู้สึกมากมายออกมา
“ยามโอบกอด ทรงกระทำราวกับกระหม่อมเป็นสตรี ทว่าช่วงเวลาเช่นนี้กลับถือเป็นบุรุษงั้นหรือพ่ะย่ะค่ะ”
ร่างบางเก็บกลั้นลมหายใจไว้ภายใน ก่อนจะตอบโต้กลับ หลังจากนั้นจาฮอนจึงเอ่ยรับสั่งด้วยเสียงดังไปทางด้านนอก
“ให้นางกำนัลทดสอบพิษเข้ามา”
“พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท”
“พอใจเจ้าหรือยังเล่า”
“ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะ”
แม้ฝ่าบาทจะเอาแต่ตำหนิตนอย่างหยอกเย้าอยู่เรื่อย แต่ก็รู้สึกได้ว่าสุดท้ายแล้ว พระองค์คอยรับฟังทุกสิ่งที่ตนกล่าว ทว่าเป็นถึงจักรพรรดิจะมาหลงใหลกับทาสเพียงผู้หนึ่ง มันก็คงจะไม่ใช่ โซกังพลันเจ็บแปลบในอกอย่างน่าประหลาด ทั้งรู้สึกคันๆ จนเผลอตัวยกมือสัมผัสหน้าอกทั้งๆ ที่ยังขมวดคิ้วมุ่น
จาฮอนยังคงไม่ได้ละสายตาจากโซกัง ไม่ใช่สิ ต้องเรียกว่าทำไม่ได้ต่างหาก ทั้งเรียวคิ้วขมวดชิด ทั้งใบหน้ากระจ่างใส ทั้งริมฝีปากแดงระเรื่อ กระทั่งต้นคองามและขาวกระจ่าง เนื่องจากร่องรอยดอกไม้ที่ตนประทับไว้เลือนหายไปสิ้นแล้ว เขาไม่อาจละสายตาจากทั้งหมดนั่นได้เลย
ตั้งแต่คราแรกที่พาอีกฝ่ายมา ไม่สิ ตั้งแต่ครั้งแรกที่พบหน้าจนกระทั่งถึงตอนนี้ เขาไม่อาจเข้าใจการกระทำของตนเลย ถึงจะพยายามสร้างเหตุผลให้เข้าใจไปอย่างนั้น แต่ความเข้าใจกับสิ่งนั้น มันเป็นคนละเรื่องกัน
ความเงียบงันไหลผ่านพวกเขาอยู่เช่นนั้นครู่หนึ่ง ก่อนเสียงเอ่ยรายงานจะดังมาจากด้านนอก
“นางกำนัลทดสอบพิษมาถึงแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“ให้เข้ามา”
จากนั้นประตูก็เปิดออกอย่างแผ่วเบา เมื่อเข้ามาแล้ว นางกำนัลทดสอบพิษก็ค้อมศีรษะลง ขยับไปยืนด้านข้างโต๊ะทรงกลมระหว่างทั้งสองคน นางถือถ้วยใบเล็กกับตะเกียบและค่อยๆ ทดสอบพิษจากสำรับทีละอย่างเงียบๆ
เดิมทีการเคี้ยวช้าๆ ไม่ให้มีเสียงดังออกมาเป็นกฎยามทดสอบพิษ ทว่านางไม่อาจทำเช่นนั้นได้ ด้วยเพราะบรรยากาศอันไม่ปกติระหว่างโซอีมามาและฝ่าบาท
โซอีมามาใบหน้าแดงซ่านหลุบสายตาลงต่ำ ส่วนฝ่าบาทก็ทรงจ้องมองโซอีมามาด้วยแววตาลุกโชน ราวกับจะอุ้มไปยังแท่นบรรทมเสียในเวลานี้
นางกำนัลทดสอบพิษอยากรีบไปห้องเครื่องแล้วเล่าเรื่องนี้ เพราะคนงานของห้องเครื่องและเหล่านางกำนัลกำลังพูดถึงเรื่องที่โซอีมามาได้รับการแต่งตั้งเพราะความแปรปรวนของฝ่าบาท ดังนั้น ทันทีที่เสร็จสิ้นพิธีอภิเษก ฝ่าบาทจึงไม่ทรงเสด็จมาหา และเมื่อคิดได้ว่าร่างบางเป็นบุรุษที่ไม่สามารถให้กำเนิดทายาท พระองค์ก็คงจะยึดตำแหน่งคืนในเร็ววันและส่งไปอยู่ที่อาราม
ทว่าดูจากวันนี้แล้ว คงจะไม่มีทางเกิดเรื่องเช่นนั้น เป็นครั้งแรกที่ฝ่าบาททรงรับสำรับในตำหนักของพระสนม และครั้งแรกที่นางได้เห็นพระองค์ทำสายตาเช่นนั้น
ทันทีที่นางกำนัลทดสอบพิษจากจานสุดท้ายเสร็จสิ้น จาฮอนจึงเอ่ยปากขึ้นในทันใด
“ออกไปได้แล้ว”
“เพคะฝ่าบาท”
หลังจากตอบรับ นางก็รีบผละตัวจากไปอย่างรวดเร็ว เมื่อออกมายืนนอกประตู นางก็พรูลมหายใจโดยไม่ให้ด้านในได้ยิน จากนั้นก็ขยับก้าวย่างอย่างรีบเร่ง
อีกด้านหนึ่ง ทันทีที่นางกำนัลทดสอบพิษออกไปจากตำหนัก จาฮอนกับโซกังจึงเริ่มทานอาหารกันอย่างเงียบๆ โซกังทานอย่างเนิบนาบ ไม่นานก็วางตะเกียบลงแล้วใช้เวลาขบเคี้ยวอยู่ครู่หนึ่ง
ทั้งสองคนดื่มน้ำเมื่อจบสิ้นการทานอาหาร จาฮอนมองดูโซกังล้างปากด้วยน้ำชา ก่อนจะลุกขึ้นจากที่นั่ง ด้วยน้ำชาอุ่นๆ ส่งผลให้ริมฝีปากอิ่มยิ่งดูมีเลือดฝาด พลันทำให้ร่างสูงรู้สึกกระหายน้ำขึ้นมาเสียอย่างนั้น
จาฮอนขยับเข้ามาใกล้ร่างบางแล้วโน้มลงมาเหนือตัวของคนที่ยังไม่ทันได้ลุกจากเก้าอี้ ใช้มือข้างหนึ่งเชยคางมนขึ้น ส่วนมืออีกข้างก็สัมผัสเส้นผมอีกฝ่ายอย่างอ่อนโยน
จากนั้นก็ประกบริมฝีปากทับบนริมฝีปากเผยออ้าของโซกัง สัมผัสรสชาติสดชื่นของชาขาวจากภายในโพรงปากอุ่นร้อนและชุ่มชื้น
เรียวลิ้นของจาฮอนละเลียดชิมปากอิ่มอย่างนุ่มนวล ความสั่นไหวส่งผ่านออกมาจากทุกส่วนที่สัมผัส มันเรียกความกระหายให้พลุ่งพล่านอย่างน่าประหลาด ขณะเดียวกันก็ทำให้ช่วงล่างอึดอัด
“อือ ฮื้อ”
เสียงครางคล้ายรสจูบมันเกินกำลังหลุดออกมาจากลำคอของโซกัง ด้วยเพราะยังคงเงยหน้าขึ้นรับเรียวลิ้นที่สอดลึกเข้ามาเสียจนทำให้หายใจลำบาก มือสั่นเทาเล็กน้อยยกค้างรั้งรออยู่กลางอากาศครู่หนึ่ง คล้ายครุ่นคิดบางอย่าง ทว่าเมื่อไม่สามารถทนได้อีกต่อไปจึงผลักดันไหล่ของอีกฝ่ายทันที
แม้ร่างกายจะบอบบางและดูอ่อนแอเพียงใด ก็ยังคงเป็นบุรุษอยู่ดี ดังนั้นเมื่อคอยผลักไหล่อยู่เช่นนี้ การจุมพิตก็ออกจะลำบากอยู่บ้าง
อีกแล้ว… สนมผู้ได้รับแต่งตั้งอย่างเป็นทางการ บังอาจผลักไสฝ่าบาทที่ได้ชื่อว่าเป็นพระสวามีของตนอีกแล้ว
จาฮอนไม่ได้ปิดบังความไม่พอใจใดๆ ก่อนจะละริมฝีปากออก ปล่อยมือกอบกุมเส้นผม รวมทั้งมือที่เชยคางอยู่ด้วย
โซกังเองก็ปรับลำคอให้ตั้งตรงเช่นเดิมพลางหอบหายใจแรง ทว่าเนื่องจากฝ่าบาทจดจ้องกลับมาเสียจนรู้สึกแสบร้อนจึงเงยหน้าขึ้นอีกครา หลังสบประสานสายตาก็ต้องห่อไหล่ลู่ลง แล้วหลบเลี่ยงสายตา
ดวงตาดำสนิทซุกซ่อนความเครียดขึงไว้อย่างเข้มข้น คล้ายจะเข้ามาขบกัดลำคอของตนในชั่วพริบตา
องค์จักรพรรดิแสดงความรู้สึกรุนแรงออกมาเช่นนั้น น่าหวาดกลัวอย่างไม่เคยเห็นมาก่อน
ทว่าขณะเดียวกันนั้นก็รู้สึกประหลาดใจและสงสัยด้วย
โดยทั่วไปแล้ว ผู้อ่านตำราและเขียนอักษร มักต้องหักห้ามใจ ต้องทำอารมณ์ให้สมดุล คงไว้ซึ่งความสง่างามในทุกๆ ขณะ ท่านพ่อมักจะกล่าวเช่นนั้นอยู่เสมอ
ครั้นศึกษาจากตำราของเหล่านักปราชญ์ในอดีตก็ล้วนเป็นเช่นนั้น ด้วยเป้าหมายคือจะต้องมีความรู้สึกอย่างพอประมาณ อย่าปล่อยให้ปัญญากับความรู้สึกอยู่คู่ขนานกัน
กระทั่งยามท่านแม่จากไป ก็ยังคงเป็นเช่นนั้น
ทว่าจักรพรรดิผู้ยืนอยู่เหนือบัณฑิตและทหารทั้งหลาย สามารถทำสายตาเช่นนี้ได้อย่างไรกัน
“อา…”
และขณะนั้นโซกังก็พลันรู้สึกคุ้นพระพักตร์ของฝ่าบาทอย่างไรบอกไม่ถูก ราวกับเคยพบที่ไหนมาก่อน รู้สึกเหมือนเคยสบตาคู่นั้นจากที่ไหนสักแห่ง มันเป็นความรู้สึกที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน คลับคล้ายคลับคลาว่าเคยพบกันมาก่อน
ร่างบางพยายามค้นหาในความทรงจำว่าอาจจะปรากฎใบหน้าของอีกฝ่าย ทว่าจาฮอนกลับไม่ยอมปล่อยให้ทำตามใจ ด้วยการพูดโพล่งราวกับเด็กน้อยถูกแย่งชิงของ
“ไม่พอใจในจุมพิตของข้าอย่างนั้นหรือ”
“หาใช่เช่นนั้นไม่”
“ไม่ใช่หรือ แล้วเช่นนั้นเหตุใดถึงผลักออกเล่า”
“ฝ่าบาททรงเคยจุมพิตกับสตรีหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
“ใยจึงถามเช่นนั้น”
จาฮอนพลันฉุนเฉียวขึ้นมาทันที ผู้เอ่ยชมบอกว่าตนทำได้ดี มีเพียงนางกำนัลและขันทีของฝ่ายในเท่านั้น เมื่อครั้นเรียนรู้เกี่ยวกับการร่วมหอตอนเป็นรัชทายาท นอกเหนือจากนั้นก็ไม่เคยลองมีสัมพันธ์กับสตรีหรือบุรุษอีกเลย ยูโซกังถือเป็นคู่สัมพันธ์คนแรก
ด้วยเห็นจักรพรรดิองค์ก่อนลุ่มหลงในสตรีมาก ดังนั้น จะสัมพันธ์กับสตรีหรือสัมพันธ์กับบุรุษ ไม่ว่าอย่างไรก็จะคอยถอยห่างออกมา ทั้งยังไม่เคยพึงใจจะร่วมหอกับสนมควีบี ฮยอนบี และซุกบีที่มีอยู่ตอนนี้ด้วย
จาฮอนรู้สึกขัดเขินอย่างไรบอกไม่ถูก ราวกับว่าอีกฝ่ายได้รับรู้ความไม่ประสาของตน และเพื่อไม่ให้สังเห็นใบหน้าร้อนวูบวาบ จึงได้ก้าวถอยออกมาสองก้าวแล้วหันกายหนีเสียตั้งแต่ตอนนี้
โซกังจ้องมองแผ่นหลังของฝ่าบาทพลางอดกลั้นเสียงหัวเราะเอาไว้ ชีวิตก่อนหน้านี้ ไม่ว่าจะทำอะไรก็ไม่อาจแสดงความคิดของตน ดังนั้นจึงคิดว่าตนสูญเสียเสียงหัวเราะไปแล้ว ทว่าเวลานี้กลับหัวเราะออกมา เมื่อคำถามของตนทำให้ฝ่าบาทคล้ายมีบางอบ่างค้างคาใจ จนแสดงท่าทีตอบรับอย่างน่าเอ็นดู ดูท่าคงจะถามจี้จุดสำคัญเสียแล้ว
หากจดจำได้ถูกต้อง ปีนี้องค์จักรพรรดิก็สามสิบชันษาแล้ว เดิมทีช่วงอายุแต่งงานคือยามล่วงพ้นยี่สิบชันษา
และหากใคร่ครวญพินิจคำถามของตน ก็ไม่มีเหตุผลที่จะทำให้อีกฝ่ายต้องขัดเขินเช่นนั้น ผ่านมาตั้งสิบปี จุมพิตเพียงปีละครั้งก็นับได้เป็นสิบครั้งแล้วมิใช่หรือ
โซกังค่อยๆ ลุกขึ้นจากที่นั่งแล้วเดินอ้อมไปยังเบื้องหน้าของฝ่าบาท เมื่อสีหน้าเคร่งเครียดปรากฏสู่สายตา ก็เผลอหลุดหัวเราะออกมาทันที เจ้าของสีหน้าละล้าละลังจึงเอ่ยพึมพำ
“ห้ามหัวเราะ คิดว่าเจ้าปลอดภัยแค่ไหนกันเชียว ถึงได้หัวเราะออกมาเช่นนี้”
“ก็กระหม่อมอยู่เบื้องหน้าเป็นฝ่าบาทนี่พ่ะย่ะค่ะ”
“หากอยู่ต่อหน้าข้า จะหัวเราะเช่นนั้นก็ได้งั้นหรือ ไร้มารยาทนัก”
“แม้ไม่ได้ออกดอกออกผล เป็นเพียงดอกไม้ไร้กลิ่นหอมของวังหลัง ทว่าหากผีเสื้อบินมา ก็เพียงวิงวอนสายลมพัดพาให้กลีบดอกปลิวไหว เช่นนั้นอย่างไรก็ย่อมถูกมองเห็นมิใช่หรือพ่ะย่ะค่ะ”
จาฮอนคิดจะส่งวาจาติเตียนแก่ร่างบาง ไม่รู้เหตุใดถึงพลันคิดว่าตนอาจจะพลาดช่วงเวลาที่อีกฝ่ายยังไม่ผลิบาน โซกังเรียกขานตนเองว่าเป็นดอกไม้ของเขา ทั้งยังหัวเราะออกมาเช่นนี้ ความคิดที่จะต่อว่าจึงสลายหายไปสิ้น
ช่างเป็นเด็กฉลาดเฉลียวเสียจริง คงจะถูกต้องดั่งคำกล่าวว่า อุปนิสัยที่ติดตัวมาแต่กำเนิด ไม่มีทางเปลี่ยนแปลงได้
ดวงตาวาดโค้งด้วยรอยยิ้มช่างงดงามอย่างยิ่ง จนจาฮอนสูญสิ้นทั้งวาจาเอื้อนเอ่ย ทั้งจิตวิญญาณขณะจ้องมอง
โซกังเองก็มองสบพระเนตรของฝ่าบาท ขณะนึกถึงเรื่องที่เคยเกิดขึ้นเพราะรั้นสวมอาภรณ์และชั้นในก่อนหน้านี้ อีกฝ่ายกระทำต่อตนที่ไม่ยอมเชื่อฟังคำสั่งอย่างรุนแรง แต่หลังจากนั้นก็ยังดึงดันไต่ถาม กระทั่งได้ฟังเหตุผลของการสวมใส่ชั้นใน พอได้ฟังว่าตนขลาดเขินที่ส่วนนั้นตื่นตัวอยู่ทุกครายามอาภรณ์ปัดผ่าน พระองค์ก็หัวเราะออกมาอย่างอารมณ์ดี
ถึงอย่างไรก็เป็นบุรุษที่ดื้อดึงและใจแคบ ทว่าด้วยความไม่ประสาเรื่องนี้จึงกลายเป็นเช่นนั้น