เมื่อถึงยามยู[1] ขันทีนำข่าวมาแจ้งว่าพระสนมโซอีตื่นจากบรรทมแล้ว ฝ่าบาทจึงได้ถ่ายทอดคำสั่งแก่ขันทีว่า ‘ห้ามโซอีไปไหน และให้รออยู่ที่ตำหนักคอนรยุง’ หลังจากจัดการกับบรรดาบันทึกที่ค้นพบเสร็จแล้ว จาฮอนก็กลับตำหนักอย่างอารมณ์ดีเพราะพบสิ่งที่ตนต้องการ
ระหว่างขยับก้าวเดินไป ก็เอ่ยถามเสียงเบากับขันทีโชที่ตามติดราวกับเงาอยู่ตลอดเวลา
“ข้าปล่อยให้ควีบี ซุกบีและฮยอนบีอยู่อย่างโดดเดี่ยว เอาแต่ใกล้ชิดเพียงโซอี ประเดี๋ยวคงจะมีฎีการ้องทุกข์จากบรรดาขุนนางใช่หรือไม่”
“ย่อมเป็นเช่นนั้นพ่ะย่ะค่ะ”
“เช่นนั้นหากโซอีเป็นสตรี ยังจะมีฎีการ้องทุกข์จากเหล่าขุนนางอีกหรือไม่”
“ย่อมสร้างความเชื่อมั่นได้บ้าง แต่ก็คงรับฟังแค่รับสั่งของฝ่าบาทเท่านั้นพ่ะย่ะค่ะ หากพระสนมโซอีเป็นสตรี และเป็นคนของฝ่ายเชก็เป็นที่น่ายินดี หรือหากเป็นบุรุษ แต่เป็นคนของฝ่ายเช ก็คงมิได้เกิดการต่อต้านมากมายนักพ่ะย่ะค่ะ ทว่าหากแบ่งแยกตามฝ่าย พระสนมโซอีนับเป็นคนของฝ่ายซอน ตลอดช่วงเวลากว่าสิบรัชสมัย นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เกิดการล้มล้างราชวงศ์หรอกหรือกระหม่อม และเนื่องจากเป็นสายเลือดของผู้เข้าร่วมกลุ่มนั้น อย่างไรก็ต้องมีฎีการ้องเรียนอย่างแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ”
“นั่นสินะ”
“อีกทั้งฝ่ายที่ถือข้างควีบีมามา ก็คือฝ่ายเช ญาติของมหาเสนาบดีฝ่ายตุลาการมิใช่หรือพ่ะย่ะค่ะ ซุกบีมามาและฮยอนบีมามาเองก็เป็นบุตรสาวของเหล่าขุนนางฝ่ายเชเช่นกัน ดังนั้น กระกม่อมคิดว่ามันเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ โซอีมามาก็ไม่สามารถตั้งครรภ์ได้อีกด้วย”
“ขอบใจที่แนะนำขันทีโซ”
“หามิได้พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท”
จาฮอนขยับก้าวต่อไปพร้อมทอดถอนหายใจออกมาแผ่วเบา เขาเกิดความคิดขึ้นมาอีกคราว่าจักรพรรดิองค์ก่อนช่างไร้ความสามารถ ขณะเดียวกันความเกลียดชังก็เพิ่มขึ้น ช่วงเวลามัวเมาในตัณหา อย่างไรก็ควรรักษาสิ่งจักรพรรดิองค์ก่อนๆ ปรับแก้ไข เพราะหากเป็นเช่นนั้น ก็จะไม่มีการสร้างอำนาจของฝ่ายๆ เดียว
พอคิดเกี่ยวกับการแก้ไขการแบ่งฝักแบ่งฝ่าย ก็ยิ่งพาลให้ถอนหายใจแรงขึ้น
เดิมทีราชสำนักแบ่งออกเป็นสามฝ่าย คือ ฝ่ายซอน ฝ่ายเช ฝ่ายกน
แต่ละฝ่ายมีอำนาจเท่าเทียมกัน จักรพรรดิองค์ก่อนๆ แต่งตั้งบรรดาขุนนางของสามฝ่ายอย่างเหมาะสม ดังนั้นจึงไม่มีฝ่ายใดมีอำนาจมากกว่าหรือน้อยกว่ากัน
สภาพสมดุลเป็นอย่างดีนั้นสืบทอดมาเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงคราจักรพรรดิองค์ก่อนขึ้นสืบทอดราชบัลลังก์
ตลอดระยะเวลาห้าปีในการขึ้นครองราชย์ บรรดาขุนนางชั้นผู้น้อยของฝ่ายกนได้ก่อปัญหาขึ้น แน่นอนว่าสาเหตุต้นๆ ก็คือตัวองค์จักรพรรดิเอง ไม่รู้ว่าทรงหลงเชื่อถ้อยคำของผู้ใด ถึงรับสั่งให้พัฒนาการศึกษาเรื่องเหมืองแร่อย่างจริงจัง หลังจากเริ่มการขุดค้น ก็ทรงเรียกเก็บภาษีแต่ละส่วนเพื่อเริ่มต้นการครอบครองกรรมสิทธิ์เหมืองแร่ และสุดท้ายก็เรียกมันว่า ‘ภาษีเหมืองแร่’ อันเป็นจัดเก็บภาษีในการถือครอง
บรรดาขุนนางสังกัดฝ่ายกนถือครองพื้นที่เหมืองแร่มากที่สุด ซึ่งมันเป็นสิ่งที่แน่นอน แต่แล้วกลับเกิดปัญหาขึ้นจนทำให้ถูกกวาดล้าง ด้วยเหตุนั้น อำนาจของฝ่ายกนจึงตกตํ่าลงอย่างถึงที่สุด
ภายหลังฝ่ายซอนและฝ่ายเชก็ถ่วงดุลกันอยู่เพียงสองฝ่าย แม้ว่ายามนั้น ฝ่ายซอนจะมีอำนาจแข็งแกร่งกว่าฝ่ายเช เพราะความโปรดปรานในตัวของมหาเสนาบดีฝ่ายพลาธิการมีมากกว่า
ทว่าฝ่ายซอนมีอำนาจมากเกินไป กระทั่งมหาเสนาบดีฝ่ายพลาธิการก่อการกบฏ ลานไต่สวนเจิ่งนองด้วยหยาดโลหิตถึงขนาดบันทึกไว้ว่า ต้องใช้กระบวยนํ้าเต้าตักออกอยู่หลายวัน ครานั้นผู้คนในฝ่ายซอนต้องรับโทษกันมากมายเหลือคณา ผลของมันทําให้ราชสำนักที่ยังจาฮอนครองราชย์อยู่ มีเพียงเหล่าขุนนางที่ส่วนใหญ่ล้วนสังกัดฝ่ายเช ซึ่งไม่ค่อยลงรอยกับเขานัก
เมื่อคิดมาถึงบทสรุป จาฮอนก็หลุดหัวเราะออกมา ด้วยตระหนักว่ากำลังขบคิดถึงปัญหาที่ไม่อาจทำอะไรได้ หากต้องการคว้าคนที่ปรารถนาตนไว้ในมือ ไม่ว่าจะด้วยวิธีใดก็มีแต่ต้องปกป้องเท่านั้น
ฉุดดึงอำนาจของจักรพรรดิเพื่อไม่ให้ถูกสั่นคลอนจากขั้วอำนาจ และต้องไม่ใช่การกระทำอย่างทรราช
ร่างสูงมองโคมสีแดงที่ยังคงประดับอยู่หน้าประตูตำหนักคอนรยุง ก่อนจะยกยิ้มแล้วเดินเข้าไปภายใน
เดิมทีโคมนี้จะแขวนไว้ที่ตำหนักของชายาหรือสนมเท่านั้น ทว่ายามเป็นช่วงร่วมหอ ไม่ว่าที่ใดเป็นห้องหอก็จะมีโคมแขวนเอาไว้
สีของโคมแต่ละสีมีความหมายแฝงอยู่ โคมแดงหมายความว่าวันนั้นฝ่าบาทประทับอยู่ที่นั่น โคมเหลืองหมายถึงห้ามร่วมหอด้วยอาจจะตั้งครรภ์ และโคมน้ำเงินคือกำลังอยู่ในช่วงมีระดู
ขณะเดินเข้าห้องบรรทม เขาก็คิดว่าจะสั่งให้ปลดโคมจากตำหนักคอนรยุงลง แล้วเอาโคมแดงไปแขวนที่ตำหนักฮงฮวาอย่างถาวรเสีย
จาฮอนหยุดยืนอยู่หน้าประตูชั้นนอกสุดจากบรรดาประตูทั้งสามชั้น ทั้งๆ ที่เป็นห้องบรรทมของตนก็ยังไม่อาจเดินเข้าไปข้างในเฉยๆ ได้ เขารับสั่งให้แจ้งแก่ด้านในก่อน นางกำนัลจึงเปิดปากกล่าวรายงานเสียงดัง
“โซอีมามา ฝ่าบาทเสด็จมาถึงแล้วเพคะ”
“เชิญเสด็จเถิด”
หลังได้ยินเสียงของโซกัง นางกำนัลก็ทำการเปิดประตู และพอเดินผ่านประตูเข้ามา ภาพโซกังกำลังขยับลุกจากแท่นบรรทมก็ปรากฎในคลองจักษุ
“ไม่ต้องลุกขึ้นมา เจ้ายังเพลียอยู่”
“แต่ฝ่าบาทเสด็จมา กระหม่อมจะบังอาจ…”
“ไม่เป็นไร ข้าสั่งให้เจ้านอนพักมิใช่หรืออย่างไร”
จาฮอนขยับก้าวเข้าใกล้ประคองร่างบางให้เอนนอนลงอย่างระมัดระวัง จากนั้นตนก็นั่งลงริมแท่นบรรทม เกลี่ยจัดเส้นผมยุ่งเหยิงให้เข้าที่ โซกังวาดยิ้มบางออกมา แต่ด้วยรู้สึกจั๊กจี้เล็กน้อยจากสัมผัสมือที่ปัดผ่านใบหน้า เรียวคิ้วจึงย่นยู่เข้าหากัน เมื่อได้เห็นท่าทางเช่นนั้น ฝ่าบาทก็พลันรู้สึกถึงการขยับของช่วงล่างจนได้แต่ทอดถอนใจเฮือกใหญ่
“ข้าคงต้องมนต์เข้าแล้วสินะ”
“พ่ะย่ะค่ะ?”
ยิ่งเห็นโซกังมองมาด้วยใบหน้าฉายแววสงสัย อาการก็ยิ่งหนักขึ้น นัยน์ตากลมโตไร้จริตสะท้อนเพียงภาพของตนเช่นนี้ ช่างงดงามนัก
เขาลูบไล้ปรางแก้มอีกฝ่ายอย่างอ่อนโยน ไล้ปลายนิ้วโป้งผ่านริมฝีปากติดจะแห้งผากแผ่วเบา ในแววตาคู่สวยฉายแววตื่นตระหนกบางๆ ก่อนจะเผยอริมฝีปากตามสัมผัสอย่างเผลอไผล ดวงตาของจาฮอนพลันโค้งลงตาม
“ข้าคงจะต้องมนต์เสน่ห์ของเจ้าเป็นแน่แท้ ไม่ว่าทำจะอย่างไร หากอยู่ต่อหน้าเจ้า ข้าก็เหมือนไม่เป็นตัวของตัวเองเลย”
“ทรงกล่าวเกินไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ จะเป็นเช่นนั้นได้อย่างไร”
“โซกังอา ข้าควรจะต้องพูดมันเสียก่อน ทว่าเจ้างดงามและหวานลํ้ายิ่ง ข้าจึงข้ามขั้นเช่นนั้น”
กล่าวจบก็กระแอมออกมาอย่างขัดเขิน ครั้งเมื่อยังเยาว์วัย เขาเคยคิดว่าหากได้อภิเษกกับสตรีเช่นนี้ก็ไม่เลวนัก แต่ก็ไม่หลงเหลือความทรงจำนั้นเพราะอีกฝ่ายไม่ใช่สตรี ตอนนี้ไม่สำคัญแล้วว่าได้อภิเษกกันหรือไม่ เขาเพียงปรารถนายูโซกัง ไม่รู้ว่าอะไรทำให้ตนตกหลุมรักเช่นนี้ แต่เหตุผลก็ไม่สำคัญอีกแล้วเช่นกัน
“เจ้าร้องขอคำอนุญาตจากข้า ข้าเองก็ต้องร้องขอคำอนุญาตจากเจ้าเช่นกัน เจ้าจะอนุญาตให้ข้ารักเจ้าได้หรือไม่”
จาฮอนเอ่ยด้วยใบหน้าแดงจัด โซกังตื่นตระหนกเพียงครู่ก่อนจะวาดรอยยิ้มออกมาอย่างยินดี จากนั้นก็ยื่นมือออกไปหาทั้งๆ ที่ยังนอนอยู่ สองแขนโอบรอบลำคอแกร่งทันที เจ้าของใบหน้าแดงระเรื่อแตะริมฝีปากของตนทาบทับอย่างเอียงอาย ทั้งคู่ค่อยๆ เผยอกลีบปาก ส่งปลายลิ้นสีแดงออกมาไล้เลียกันอย่างนุ่มนวล
แต่เพียงครู่เดียว จาฮอนก็ทาบทับริมฝีปากเข้ามาดูดกลืนอย่างตะกละตะกราม ส่งเรียวลิ้นชื้นเข้ากวาดสำรวจภายในโพรงปากของโซกังอย่างรักใคร่ อาศัยจังหวะเผลอไผล มือใหญ่ก็สอดแทรกในอาภรณ์ตัวใน เนื่อจากถูกเคี่ยวกรำจนกระทั่งยามเช้า เมื่อส่วนอ่อนไหวถูกแตะต้อง ร่างกายก็พลันหวามไหวทันทีพร้อมเสียงครางเล็ดรอดจากปาก
“อื้อ!”
“ฝ่าบาท สำรับมาแล้วเพคะ”
ช่างมาได้ถูกเวลาเสียจริง… เสียงกล่าวรายงานว่าสำรับเย็นยกมาแล้วดังขึ้นจากด้านนอก แต่ไม่รู้ว่าไม่ได้ยิน หรือแสร้งทำเป็นไม่ได้ยินกันแน่ เพราะจาฮอนยังคงวุ่นวายกับการคลอเคลียไม่หยุด
กลับกลายเป็นโซกังที่ผลักไหล่ของฝ่าบาทออกทันทีที่ได้ยินเสียงจากด้านนอก ไม่อาจมีสมาธิกับสิ่งที่ทำได้อีกเพราะมีผู้อื่นกำลังยืนรออยู่
สุดท้าย จาฮอนจำต้องผละริมฝีปากออกมาด้วยฝีมือของคนใต้ร่าง
“บัดซบ”
จากนั้นก็สบถออกมาแผ่วเบาพร้อมลุกขึ้น ก่อนจะช่วยจัดอาภรณ์ของร่างบางให้เรียบร้อย ทั้งยังดึงผ้าห่มขึ้นมาปิดจนถึงลำคอ แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงเปี่ยมความขุ่นเคือง
“เข้ามา”
นางกำนัลทดสอบพิษและนางกำนัลที่เหลือต่างนำสำรับเข้ามา พวกนางไม่รู้เรื่องรู้ราวพลางจัดเตรียมโต๊ะเสวยทั้งๆ ที่ถูกมองด้วยความตำหนิ ล้วนตัวเกร็งไปหมดต่อหน้าพระพักตร์ ทว่าคำกระซิบจากโซอีมามาที่ยังนอนอยู่บนแท่นบรรทม กลับทำให้ฝ่าบาทเปลี่ยนไปราวกับต้องมนตร์
“ฝ่าบาท ใยถึงทรงทำสีหน้าเช่นนั้น ผู้อื่นพาลหวาดกลัวกันไปหมดแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
สีหน้าบูดบึ้งอย่างชัดเจนค่อยๆ ผ่อนคลายลงเหมือนหิมะละลายในฤดูใบไม้ผลิ คล้ายไม่เคยทำสีหน้าเครียดขึง ก่อนจะเดินกลับไปยังแท่นบรรทม นั่งลงข้างๆ ร่างบางแล้วเอ่ยหยอก
“หากอิ่มท้องแล้ว ให้ข้าช่วยเติมเต็มให้อีกดีหรือไม่”
“ไม่ต้องแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“มีอันใดไม่ต้องกระทำด้วยหรือ อย่างไรก็เหมือนจะไม่เพียงพอ”
“ถ้างั้นแค่ครั้งเดียว… ให้กอดได้เพียงครั้งเดียวนะพ่ะย่ะค่ะ”
พระพักตร์ของฝ่าบาทพลันเปลี่ยนเป็นเจิดจ้ายิ่งกว่าแสงอาทิตย์ นางกำนัลแน่ใจแล้วว่ายามนี้ ผู้กุมอำนาจยิ่งใหญ่ที่สุดในวังหลวงก็คือโซอีมามา จากนั้นจึงทำการทดสอบพิษในสำรับต่อ
เมื่อจบมื้ออาหารเป็นที่เรียบร้อย จาฮอนก็กอดโซกังตามคำกล่าวอย่างไม่บิดพลิ้ว และแน่นอนว่ามันไม่จบลงเพียงครั้งเดียว ก่อนจะพากันผล็อยหลับไปด้วยความอ่อนล้า ณ ตำหนักคอนรยุงอีกครั้ง แล้วในวันต่อมาก็วนเวียนซ้ำๆ เช่นนี้
[1] ยามยู ช่วงเวลาห้าโมงเย็นถึงหนึ่งทุ่ม