ในที่สุด หลังจากพำนักอยู่ในตำหนักคอนรยุงมาสามวัน โซกังก็สามารถกลับตำหนักฮงฮวาของตนได้เสียที เมื่อเข้ามาถึงห้องบรรทมภายในตำหนักฮงฮวาก็อดยิ้มออกมาไม่ได้ เพราะเหล่าขันทีขนเอาผ้าไหม (ผ้าแพรเนื้อหนา สินค้าคุณภาพดีที่สุด) สิบพับ ผ้าแพรสิบพับ ผ้าเนื้อโปร่งสิบพับ รวมถึงบรรดาอัญมณีที่นำขึ้นมาจากท้องทะเลและดอกไม้กลิ่นหอมยืนรออยู่
“นี่คืออะไรกันหรือ”
“ฝ่าบาททรงประทานให้พ่ะย่ะค่ะ ทั้งยังรับสั่งว่าเนื่องด้วยพระองค์ไม่ได้พระราชทานของขวัญอภิเษก ดังนั้น หากมามาต้องการสิ่งใดก็ขอให้ทรงกล่าวได้เลยพ่ะย่ะค่ะ และต่อไปฝ่าบาทจะเสวยสำรับเย็นและสรงน้ำที่ตำหนักฮงฮวาพ่ะย่ะค่ะ”
“เข้าใจแล้ว”
เมื่อขันทีออกไป บรรดานางกำนัลคอยรับใช้ก็จัดการกับข้าวของเหล่านั้นอย่างรวดเร็ว โซกังนั่งลงบนขอบเตียง พยายามอดกลั้นเสียงหัวเราะที่ใกล้จะหลุดออกมาอยู่เรื่อย
นี่คงจะเป็นเหตุผลที่ฝ่าบาทถามอยู่หลายคราว่าเมื่อใดจะกลับตำหนักฮงฮวา ของอื่นๆ อาจจะไม่เป็นไร ทว่ากับดอกไม้แล้ง หากเร่งเด็ดออกมามันก็จะโรยราไปเสียก่อน หากมาช้าเกินไปก็จะไม่สามารถนำมาประดับตกแต่งได้ ส่วนใหญ่จึงประทานเป็นของมีค่าให้ องค์จักรพรรดิดูจะรู้จักความอ่อนหวานและมีรสนิยมกว่าที่เห็น แต่หากที่อื่นมักจะทำสีหน้าเย็นชา
ขณะโซกังอยู่ในตำหนักฮงฮวา ก็พลันนึกถึงดอกไม้ที่เหล่านางกำนัลนำมาปลูกจึงเอ่ยถาม
“จะเอาดอกไม้ไปใช้ที่ใดกันหรือ”
“นำไปประดับแจกัน และส่งส่วนที่เหลือไปให้ฝ่ายมัดย้อมเพคะโซอีมามา”
“ดอกไม้นั่นใช้ย้อมสีได้ด้วยหรือ”
“ใช่แล้วเพคะมามา ดอกไม้นี้ยังใช้เป็นยาบำรุงสำหรับสตรีได้ด้วยเพคะ เพียงได้รับแสงอย่างเพียงพอ ก็จะออกดอกบานสะพรั่ง ช่างเป็นดอกไม้ที่รู้คุณอย่างยิ่งเพคะ”
“เป็นเช่นนั้นเอง หากใช้ย้อมสีได้ เราขอด้วยได้หรือไม่”
“จะทรงนำไปใช้หรือเพคะ”
“ก็คิดว่าจะใช้อยู่”
“ได้เพคะมามา”
หลังได้ฟังคำของโซกังแล้ว อีกฝ่ายก็ไม่คิดจะซักถามเหตุผลต่อ นางยกยิ้มใจดีและอ่อนโยนออกมาพร้อมกับบังอาจเงยหน้าตอบรับ
แม้จะไม่ได้มีตำแหน่งสูงอะไรนัก แต่ก็เป็นคนของฝ่าบาท และถือเป็นเจ้านายที่ตนต้องปรนนิบัติรับใช้ การบังอาจเงยหน้ายิ้มให้เช่นนี้ จึงนับเป็นการกระทำไร้มารยาทอย่างร้ายแรง ควรถูกตำหนิว่าปฏิบัติตัวไม่เหมาะสม ทว่าบรรดานางกำนัลของตำหนักฮงฮวาต่างก็มักจะเงยหน้าขึ้นและยิ้มแย้มเสมอ เพราะโซกังเป็นผู้ร้องขอให้ทำเช่นนี้เอง ก่อนจะกลายเป็นทาส เขาไม่เคยปฏิบัติต่อผู้ใดอย่างดูถูกมาก่อน การที่เหล่านางกำนัลและขันทีที่ปฏิบัติตัวเยี่ยงทาสรับใช้ มันทำให้เขาอึดอัดใจจนเป็นฝ่ายเอ่ยขอให้ทุกคนทำตัวตามสบาย
ดังนั้น บรรดานางกำนัลจึงยิ่งแสดงมิตรไมตรีมากขึ้น คอยพูดคุยเรื่องนู่นนี่ต่างๆ ให้ฟัง เมื่อจัดการด้านในเรียบร้อยแล้ว พวกนางก็ยกชาและของว่างเข้ามาให้ ร่างบางเอ่ยขอบคุณพร้อมรอยยิ้มก่อนจะนั่งลงบนเก้าอี้ แต่ด้วยร่างกายที่ยังไม่แข็งแรงดีนัก อย่าว่าแต่ของว่างเลย ชาดื่มไปได้ไม่ถึงครึ่งก็ต้องวางลงแล้ว
“เราจะพักสักหน่อย”
“หม่อมฉันจะเรียกขันทีมาช่วยผลัดเปลี่ยนอาภรณ์ให้นะเพคะ”
“ไม่ต้องหรอก ช่วยปลุกเราก่อนฝ่าบาทจะเสด็จมาก็พอ”
“ทราบแล้วเพคะ”
หลังค้อมคำนับลา นางกำลังก็พากันออกไปนอกห้องบรรทม โซกังจึงค่อยๆ ลุกจากเก้าอี้ ปลดผ้าแพรพันคออยู่ออก คลายปมและถอดตัวนอกออกแขวนเอาไว้ จากนั้นหยิบอาภรณ์ตัวในที่แขวนอยู่มาสวมแทน
จากนั้นก็ผูกปมด้านหน้าของอาภรณ์สีเขียวมรกตเนื้อผ้าบางเบาจนมองเห็นผิวเนื้ออยู่รางๆ แล้วล้มตัวลงนอนบนเตียงปูด้วยผ้านวมหนา ดึงผ้าห่มขึ้นคลุมถึงหน้าอก
เป็นความรู้สึกที่ประหลาดอย่างมาก
สายเลือดของผู้มีส่วนร่วมในแผนก่อกบฏอย่างตน หลังจากถูกขังในคุกหลวง โซกังก็ไม่เคยสบายใจอีกเลย ไม่เคยคาดคิดว่าวันเวลาเช่นนี้จะมาถึง ยามถูกโยนไปที่เรือนทาสของกรมฝ่ายใต้ ยามกลายเป็นของบำเรอของเหล่าทาสหลวง เขาคิดว่านั่นคือโชคชะตาของตน ทั้งๆ ที่ไม่รู้สาเหตุและเพื่อเหล่าคนที่พลอยติดร่างแหไปด้วย จึงคิดว่าถึงอย่างไรก็ไม่มีทางหลุดพ้นออกมาได้
เมื่อครั้นล้มป่วยด้วยพิษไข้ เขาคิดว่านั่นคงเป็นโอกาส โอกาสเพียงครั้งเดียวที่จะสามารถหนีจากที่นั่นได้
ทว่ามันกลับไม่เป็นอย่างที่คิด แม้คิดว่าจะหนี แต่ไม่คิดว่าจะได้หนีออกมาด้วยวิธีเช่นนี้ ทว่าไม่อาจรู้ว่าวันข้างหน้าจะเป็นอย่างไร จึงไม่อยากรีบด่วนสรุป
“ของขวัญอภิเษกงั้นหรือ…”
เช่นเดียวกับชื่อตำหนักฮงฮวา การตกแต่งประดับประดาห้องบรรทมล้วนเป็นสีแดง หากไม่ได้รับคำอนุญาตจากฝ่าบาท สีแดงก็เป็นสีต้องห้าม ไม่อาจนำมาใช้ตามใจชอบได้ โซกังเหม่อมองอยู่เช่นนั้นพลางขบคิดว่าจะขออะไรจากฝ่าบาทดี แน่นอนว่าทำได้เพียงครู่เดียวเท่านั้น
แม้จะอยู่ในอ้อมกอดขององค์จักรพรรดิ เขาก็ยังหลงเหลือความไม่สบายใจอยู่กับตัวตนไม่แน่ชัดของบุรุษผู้พาตัวเขาไปเรือนทาส แม้ไม่รู้ว่าเหตุผลคืออะไร แต่การพยายามทำให้เขาลุกสู้ขึ้นมา แล้วยังต้องการให้ใช้ชีวิตต้อยต่ำต่อไปเช่นนี้ จนจับผู้คนมากมายมาเป็นประกัน ทั้งส่งหมอมารักษาทันทีที่ล้มป่วย
และผู้ที่ส่งหมอมาคือ ‘สกุลแพค’
“เฮ้อ…”
โซกังหยุดความคิดเรื่อยเปื่อยด้วยการหลับตาลง ส่งสิ่งมากมายที่ต้องแบกรับมาตลอดผ่านทางหยดน้ำตา แม้ในใจจะถูกเติมเต็มด้วยฝ่าบาทอย่างมากมาย ทว่าร่างกายที่ได้รับการโอบกอดมาตลอดสามวันกลับเหมือนสำลีเปียกชุ่ม
เมื่อวานช่วงเย็นหมอหลวงก็ถูกเรียกตัวมาที่ตำหนักคอนรยุง และด้วยความไม่เห็นส่วนที่เป็นแผลจึงไม่อาจบอกวิธีการรักษาได้ คำพูดหนักแน่นของหมอหลวงทำให้ฝ่าบาทมีสีหน้าไม่พอพระทัย ก่อนจะอนุญาตให้ตรวจดูแผลแค่ครึ่งเดียวเท่านั้น
ทั้งๆ ที่เป็นร่างกายของตน หากโซกังกลับไม่มีสิทธิ์ตัดสินใจอะไร ทว่าก็ไม่ได้ไม่พอใจอะไรกับเรื่องนั้น ด้วยเป็นดอกไม้ที่ถูกเด็ดและเหยียบยํ่าเช่นนี้แล้ว แต่พระองค์กลับยังหวงแหน
หมอหลวงกล่าวว่ามีอาการอักเสบจากการร่วมหอที่เกินพอดี จึงแนะให้อบตัวด้วยยาสมุนไพรวันละสองครั้ง และเมื่อลองตรวจชีพจรผ่านผืนผ้าแพร ก็พบพละกำลังอ่อนแอลง ‘อีกครั้ง’ หมอหลวงรายงานต่อฝ่าบาทว่าจะจัดยาบำรุงกำลังมาถวาย
ด้วยเหตุนั้น เช้าวันนี้หลังจากเขารับสำรับเช้าร่วมกับฝ่าบาทแล้วก็เลยได้ดื่มยาบำรุงรสขมปร่า แต่ก็ตามด้วยขนมยักกวารสชาติหอมหวานที่อีกฝ่ายรับสั่งให้นำมาจากห้องเครื่องโดยเฉพาะ แน่นอนว่าสิ่งที่หวานล้ำอย่างถึงที่สุดกว่านั้น ก็คือขนมยักกวาผสมกับนํ้าลายของเขายามจุมพิตกัน
อย่างไรก็ตาม ความเป็นจริงกลับจำต้องอดกลั้นไว้ หากไม่เช่นนั้นหลังฝ่าบาทเสร็จจากประชุมหารือกับเหล่าขุนนาง เขาคงจะไม่มีความมั่นใจเผชิญหน้ากับพระองค์โดยตรง
โซกังหลับตาลงและค่อยๆ ผ่อนลมหายเข้าออกช้าๆ เพียงไม่นานก็จมสู่ห้วงนิทรา
* * *
ภายในใจกลางของตำหนักฮวังรยง จาฮอนประทับอยู่บนบัลลังก์มังกร มันเรื่องใหญ่อะไรกันนัก เหล่าขุนนางจึงได้คุกเข่าอ้อนวอนอย่างดื้อดึงเช่นนี้ ฝ่าบาทยกยิ้มขึ้นจนขันทีโชถึงกับหนาวสะท้าน
“ฝ่าบาท โปรดทรงเมตตาด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
“เรื่องส่วนตัวของเรา เกี่ยวอะไรกับพวกท่าน ถึงต้องมาร่ำร้องอ้อนวอนกันเช่นนี้”
“ฝ่าบาท!”
“เช่นนั้น จะบอกว่าการร่วมหอของเหล่าสนมเกี่ยวข้องกับพวกท่านอย่างนั้นหรืออย่างไร ดูท่าพวกนางเองก็ชอบออกเที่ยวยามวิกาลด้วยสินะ”
“ฝ่าบาท! ทรงตรัสเช่นนั้นได้อย่างไรพ่ะย่ะค่ะ มามาทั้งสามจะทำเช่นนั้นได้อย่างไร”
จาฮอนเคาะปลายนิ้วลงบนโต๊ะด้านหน้าตน เรียวคิ้วยับย่นด้วยความไม่พอใจ รอยยิ้มเย็นเยียบประดับบนริมฝีปากก็จางหายไป ยามนี้เหลือเพียงแววตาวาววับไม่สบอารมณ์เท่านั้น
“กระทั่งตัวเราจะให้คนรักมาอยู่ข้างกาย ก็ยังต้องถามความเห็นของพวกท่านด้วยหรือ ไม่ใช่ว่ามันไม่มีในธรรมเนียมปฏิบัติ การให้สนมที่ไม่ใช่สตรีมาอยู่ข้างกายเรา มันก็ไม่ได้มีข้อห้ามอันใด แล้วเราก็จะไม่ยอมรับข้อห้ามใดๆ ทั้งนั้นด้วย”
“ฝ่าบาท! แล้วรัชทายาทล่ะพ่ะย่ะค่ะ พระองค์ยังไม่มีรัชทายาทเลย ฝฝ่าบาทไม่ใส่พระทัยมามาทั้งสาม กระทั่งโคมแดงก็ไม่เคยแขวนให้สักครั้ง เช่นนี้แล้ว จะไม่เกิดข่าวลือเสียหายภายในวังได้อย่างไรพ่ะย่ะค่ะ”
“ข่าวลือเสียหายงั้นหรือ ว่าอย่างไรบ้างล่ะ”
“กระหม่อมไม่บังอาจกราบทูลจากปากพ่ะย่ะค่ะ”
ขุนนางในสังกัดฝ่ายเช บิดาของสนมยุนซุกบี ค้อมคำนับจนหน้าผากแนบกับพื้นขณะกล่าว แต่จาฮอนรู้อยู่แล้วว่าอีกฝ่ายตั้งใจจะพูดอะไร
ตัวเขาไม่เคยจัดการร่วมหอกับเหล่าสนม กระทั่งตำหนักของพวกนางก็ไม่เคยย่างกรายเข้าไปสักครั้ง นั่นล้วนสร้างให้เกิดข่าวลือก่อนหน้านี้ ข่าวลือที่ว่า ‘ฝ่าบาททรงไร้ความสามารถ’ ครั้งแรกที่กล่าวถึงเรื่องนั้น ขันทีโชกลับฮึดฮัดราวกับโดนสบประมาทเสียเอง
ภายในวังหลวงแห่งนี้ ล้วนเป็นดังคำกล่าวว่าหน้าต่างมีหูประตูมีช่อง หลังจากเขาพาโซกังมาที่ตำหนักคอนรยุง ข่าวลือก็เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง เหล่าสนมไม่เป็นที่ต้องตา ฝ่าบาทจึงพาคนที่ตนพอพระทัยเข้ามาด้วยองค์เอง บิดาของสนมยุนซุกบินจึงสงสารบุตรสาวของตนจนแทบกระอัก ทว่ากลับไม่รู้เรื่องนี้และไม่กระทั่งเคยได้ยิน
ก่อนหน้านี้ หากไม่ใช่เพียรถวายฎีกาให้องค์จักรพรรดิเติมเต็มตำแหน่งพระมเหสีที่ว่างอยู่ทุกวี่ทุกวัน ก็ให้เติมเต็มตำแหน่งสนม พร้อมร่างรายชื่อสาวงามยาวเป็นหางว่าวส่งเข้ามา บุตรสาวใครต่อใครมีรูปโฉมงดงาม ผู้ใดเป็นกุลสตรี เรื่องต่างๆ เหล่านี้ล้วนหลั่งไหลเข้าหูไม่หยุด แน่นอนว่าสตรีทุกนางล้วนเป็นบุตรสาวของเหล่าขุนนางสังกัดฝ่ายเชทั้งหมด
ฎีกาเกี่ยวกับการคัดเลือกสนมเข้ามามากมายจนไม่เห็นงานราชการอื่น สุดท้ายจาฮอนก็ทนรำคาญไม่ไหวจึงยอมอนุญาต จากนั้นก็ได้ฮยอนควีบี ยุนซุกบี ออมฮยอนบีมาเช่นนี้
ทั้งๆ ที่ยอมอ่อนข้อเช่นนั้นแล้ว ยามนี้ก็ยังจะมาสร้างความรำคาญให้อีก เรื่องจะใส่ใจหรือไม่ใส่ใจ ผู้ตัดสินก็ล้วนเป็นองค์จักรพรรดิอย่างเขามิใช่หรือ เพียงยอมรับสตรีพวกนั้นเข้ามาเพื่อตัดบทก็เท่านั้น