ผ่านไปสองชั่วยาม ในที่สุดก็ค้นพบคำตอบสุดท้าย เป็นขันทีหนึ่งและนางกำนัลอีกหนึ่ง
เมื่อไถ่ถามว่าได้ยินมาจากผู้ใด ทั้งสองก็ทำอิดออดไม่ยอมตอบในทันที เพราะไม่ว่าใครจะเป็นผู้พูด หากตรวจสอบก็จะรู้ผล กระทั่งพบผู้เริ่มกระจายข่าว ทว่าพวกเขากลับไม่ใช่ต้นตอของข่าวลือ หรือเป็นผู้สร้างข่าวลือขึ้นมาเอง เพราะขันทีและนางกำนัลไม่ได้รับผลประโยชน์อันใดจากข่าวลือนั้น
ขันทีโชจึงเอ่ยถามซ้ำอีกครา
“ได้ยินมาจากผู้ใดกันแน่”
“กระหม่อมสมควรตายพ่ะย่ะค่ะ!”
“หม่อมฉันสมควรตายเพคะ!”
แต่แทนที่จะตอบคำถาม ทั้งสองกลับกล่าวว่าตนสมควรตายพร้อมโขกศีรษะคำนับลงกับพื้น จนทำให้เรียวคิ้วเขาขมวดมุ่นเข้าหากัน กลายเป็นช่วงพิสูจน์การคาดเดา จาฮอนจ้องสองชายหญิงนั่นอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยปาก
“คิมซังกุง เจ้าลองบอกมาสิว่าขั้นตอนการไต่สวนข้ารับใช้ในวังหลวงเป็นอย่างไร”
“เริ่มไต่สวนด้วยคำพูดก่อน หากไม่ยอมพูดความจริง ก็จะต้องถูกคุมขังในคุกใต้ดิน ไม่ให้ได้พบเจอผู้ใดเพคะ”
“ครั้งนี้ถือว่าเป็นการยกเว้นแล้วกัน เพื่อไม่ให้ถูกผู้ใดพบเห็น ก็ทำจัดการตรงนี้เสีย”
“ฝ่าบาท ถึงกระนั้นก็ไม่ใช่ว่าต้องรักษากฎของวังหลวงหรือ ทุกคนเข้าวังมาก็เพียงเพราะต้องการถวายการรับใช้ฝ่าบาทเพียงพระองค์เดียวนะเพคะ”
“เข้าวังมาเพื่อเราอย่างนั้นหรือ ถวายการรับใช้เราคนเดียว ด้วยการใส่ร้ายสนมของเราหรืออย่างไร”
“หม่อมฉันเผลอกล่าวผิดด้วยความโง่เขลา รับบัญชาเพคะ”
ยิ่งพูดก็กลายเป็นเข้าตัว คิมซังกุงจึงรีบร้อนค้อมคำนับรับคำสั่ง
คิมซังกุงส่งนางกำนัลไปยังกุงรัง[1] และคงรยอ[2] ส่วนขันทีโชก็เรียกโซฮวัน[3] ให้ไปตามฮวันจา[4] เข้ามารวมตัวกัน
ผ่านไปประมาณครึ่งชั่วยาม เหล่านางกำนัลฝ่ายในและขันทีต่างก็จัดเตรียมการไต่สวนบริเวณด้านหน้าตำหนักคอนรยุง เหล่าทหารของวังหลวงและองครักษ์ฮวังรยงก็พากันขยับไปยืนด้านหลัง นางกำนัลและขันทีต่างกระจายตัวกันไปทำหน้าที่ของแต่ละคน แน่นอนว่าหากปริปากเพียงเล็กน้อยเกี่ยวกับกับเรื่องราวที่เกิด ณ ตำหนักคอนรยุง ก็จะมีความผิดฐานฝ่าฝืนกฎของฝ่ายใน ต้องถูกขับออกจากวังหลวงทันที
ดังนั้นพื้นที่ตรงนี้จึงมีเพียงองค์จักรพรรดิ ขันทีโช ซังกุงสูงสุดทั้งหก ฮวันจา เหล่านางกำนัลและขันทีที่ต้องถูกขังเพียงไม่กี่คน จาฮอนจ้องมองคนเหล่านั้นแล้วถามขึ้นอีกครั้ง
“ผู้ใดสั่งให้กระจายข่าวลือนั่น”
“ฝ่าบาท!”
ไม่ใช่คำถามว่า ‘ได้ยินมาจากผู้ใด’ เหมือนเมื่อครู่ ความหมายมันต่างกันโดยสิ้นเชิง ขันทีที่ถูกจับมัดให้นั่งลงเผลอทำสีหน้ายุ่งยากด้วยความลำบากใจและตื่นตระหนกโดยไม่รู้ตัว ทว่าภายในชั่วพริบตาเดียวจริงๆ อีกฝ่ายก็รีบเก็บซ่อนความรู้สึกและกลับคืนสู่สีหน้าเดิม แต่จาฮอนก็ไม่พลาด เท่านั้นก็เพียงพอแล้ว เพราะต้องการการตอบสนองเช่นนี้ เขาถึงโยนคำถามนั้นออกไป
หลังได้รับการตอบสนองอย่างที่ต้องการ จาฮอนก็ยกยิ้มน้อยๆ พลางส่ายหน้าไปมา จากนั้นเหล่าขันทีก็เข้ามาเลิกเสื้อของชายผู้ต้องโทษขึ้น ถอดรองเท้าและถุงเท้าออก ก่อนจะยกก้อนหินใหญ่วางบนเท้าเปล่า แล้วดึงเชือกทั้งสองฝั่งที่อยู่ใต้หิน ผูกมัดเท้าอย่างแน่นหนา
“ฝ่าบาท โปรดทรงเมตตาด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
“หากยอมสารภาพก็ย่อมได้ เจ้าได้ยินมาจากผู้ใดกัน”
วกกลับไปยังคำถามเดิมอีกครั้ง เมื่อได้ยินคำถามนี้ ขันทีผู้นั้นจึงตระหนักได้ว่าฝ่าบาททรงได้รับคำตอบที่ต้องการเรียบร้อยจากท่าทางของตนเมื่อครู่ อีกทั้งยังตระหนักด้วยว่าถึงจะพูดความจริงหรือไม่พูด ตัวเขาก็ไม่มีทางรอดพ้น อันที่จริงแล้วก็ถือเป็นเรื่องน่าโล่งใจหากรักษาชีวิตได้ ซึ่งตัวเขาก็คาดการณ์ล่วงหน้าตั้งแต่โดนเรียกเพื่อไถ่ถามความจริงเรื่องนี้ มันถูกกำหนดเอาไว้แล้ว ไม่มีทางปฏิเสธข้อเสนอได้ตั้งแต่ต้น และฝ่าบาทก็ไม่มีทางนิ่งเฉยรับฟังข่าวลือเกี่ยวกับโซอีมามา ผู้เป็นที่โปรดปรานแล้วปล่อยผ่านไปแน่นอน
ขันทีผู้ต้องโทษกัดผ้าที่ถูกบังคับให้คาบในปากแน่น ร่างกายแข็งเกร็งและสั่นสะท้านด้วยความหวาดหวั่นยามเห็นเข็มโลหะปักเย็บใต้เล็บเท้าของตน ทว่าไม่รู้สึกเจ็บปวด กลับกลายเป็นน้ำเสียงกลั้วหัวเราะของฝ่าบาทแทน
“เจ้าจะตอบได้หรือยัง”
“ฝ่าบาท ฝ่าบาท…”
ฟากนางกำลังก็เช่นกัน แม้จะปล่อยน้ำตาไหลออกมาเป็นสาย แต่ก็ไม่ยอมเอ่ยคำใดสักคำ เมื่อจาฮอนพยักหน้า กระโปรงของนางก็ถูกเลิกขึ้น จากนั้นเท้าก็ถูกล่ามด้วยหินเช่นเดียวกับขันที เพียงเท่านั้นเจ้าตัวก็มีสีหน้าราวกับกำลังจะสิ้นสติ
“จะเริ่มแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
ทั้งสองนั่งอยู่โดยมีเท้าถูกล่ามด้วยหินด้านหน้า เมื่อเข็มโลหะเล่มยาวหนาถูกนำออกมา ตัวขันทีก็คิดว่าเวลามาถึงแล้วพร้อมหลับตาแน่น ส่วนนางกำนัลก็ส่งเสียงร้องไห้ดังลั่น ทว่าขณะที่ปลายนิ้วหัวแม่เท้าของทั้งคู่สัมผัสปลายเข็ม เสียงเข้มขององค์จักรพรรดิก็ดังขัดขึ้น
“พอแล้ว เอาไปเก็บเสีย”
“พ่ะย่ะค่ะ?”
“เอาเข็มออกแล้วจัดอาภรณ์ให้พวกมันเสีย”
เหล่าซังกุงสูงสุดและเหล่าฮวันจาต่างจ้องมองฝ่าบาทด้วยสีหน้างุนงง ยังไม่ทันได้เริ่มการไต่สวนอันโหดร้ายตามรับสั่งให้จัดเตรียม ก็ทรงสั่งให้เก็บอุปกรณ์เสียแล้ว ย่อมเกิดความสงสัยขึ้นแน่นอนเพราะไม่เข้าใจความคิดของพระองค์
“บังอาจนัก! ยังไม่เก็บสายตาพวกเจ้าอีก”
เมื่อขันทีโชตวาดขึ้นเสียง ทุกคนก็หลุบสายตาลงด้านล่างพร้อมเอ่ยขอประทานอภัย จาฮอนจึงเอ่ยออกมาช้าๆ ด้วยรอยยิ้มประดับบนใบหน้า
“คำพูดที่พวกเจ้าเก็บไว้ในใจ ไม่กล้ากล่าวออกมานั้น เราดูเหมือนจะไม่รู้หรือไร เราไม่ได้โง่เขลาถึงเพียงนั้นหรอก ถึงแม้จะรู้ว่าเท้าของตนอาจจะใช้การไม่ได้อีก ก็ยังไม่ยอมเอ่ยออกมา เพราะหวาดกลัวกับสิ่งเลวร้ายกว่าในอนาคต ภายในวังหลวงแห่งนี้ นอกจากเราแล้ว ผู้ที่เรียกได้ว่าน่ากลัวก็มีอีกเพียงสามคนเท่านั้น มิใช่หรือ”
“ฝ่าบาท ฝ่าบาท ฮึก ฝ่าบาท”
นางกำนัลร้องไห้เป็นเผาเต่าแต่ก็ไม่อาจเอ่ยอะไร เพียงเรียกหาฝ่าบาทเท่านั้น จาฮอนหันไปเอ่ยกับขันทีโช
“ไปยังสังกัดของสองคนนี้ แล้วบอกว่าข้าส่งพวกมันเป็นของขวัญให้ตำหนักฮงฮวา”
“จะไม่เป็นไรหรือพ่ะย่ะค่ะ”
“ไม่ดีหรืออย่างไร เจ้าไปด้วยตนเองเช่นนี้ พวกนางคงจะสงบเสงี่ยมมากกว่าร้อนรน ใจจริงแล้วข้าอยากทำให้พวกนางคิดว่าตกอยู่ในการควบคุมเพิ่มขึ้นอีกด้วยซ้ำ”
“ฝ่าบาท ทรงละคำพูดเช่นนั้นจะเป็นการดีกว่าพ่ะย่ะค่ะ”
“ผู้ที่ได้ยินก็มีแค่เจ้ามิใช่หรือ”
สุดท้ายผู้น้อยก็ต้องพ่ายแพ้ต่อฝ่าบาท จาฮอนหัวเราะใส่ขันทีโชที่ยอมปิดปากเงียบ อย่างไรก็เป็นฝ่าบาทที่ทำการวางหมากให้ความคิดของฝ่ายตรงข้ามขยับเคลื่อนไหวตามที่พระองค์ต้องการ
จากนั้นขันทีโชก็ออกไปทำตามพระบัญชา ซังกุงสูงสุดและฮวันจาต่างก็พากันล่าถอยอย่างมีมารยาทเช่นกัน
ดังนั้น พื้นที่ตรงนี้จึงเหลือเพียงผู้ต้องโทษทั้งสอง และเหล่านางกำนัลกับขันทีผู้ทำหน้าที่จัดเตรียมการไต่สวนเท่านั้น เมื่อจัดอาภรณ์เรียบร้อย ร่างสูงก็มองสองคนนั้นก่อนจะเอ่ย
“พวกเจ้าไม่ใช่เครื่องมือ คิดว่าเรื่องเช่นนี้มันถูกต้องแล้วหรือ หากมีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นจริง ก็มาบอกกับเราโดยตรงยังจะดีเสียกว่า เราดูน่ากลัวจนดูเหมือนไม่ยอมรับคำร้องขอกราบทูลเรื่องสำคัญจากเจ้าเลยหรืออย่างไร”
“หามิได้พ่ะย่ะค่ะ เพียงแต่ เพียงแต่ พวกกระหม่อม…”
“ช่างเถอะ วันหน้าพวกเจ้าก็อย่าได้ไปกุงรังกับฮวันรังอีก อยู่แค่ในตำหนักฮงฮวาเสีย เข้าใจหรือไม่”
“เป็นพระกรุณาพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท”
“ไปได้แล้ว”
หลังจากนั้นก็ลุกขึ้นยืนแล้วเดินเข้าไปตำหนักคอนรยุง ด้วยคำสั่งของฝ่าบาทนางกำนัลกับขันทีผู้นั้นทก็เดินตามหลังองครักษ์ฮวังรยงไปทางตำหนักฮงฮวา
ภายในตำหนักคอนรยุง จาฮอนมองจ้องคันฉ่องพร้อมสูดหายใจเข้าลึก ก่อนจะลองยกยิ้มออกมาอยู่หลายครา แล้วจึงออกจากที่นั่นตรงไปยังตำหนักฮงฮวา แม้จะโกรธพวกที่บังอาจปล่อยข่าวลือเกี่ยวกับโซกังจนแทบทนไม่ได้ แต่เขาก็ไม่ต้องการให้อีกคนได้เห็นความโกรธเกรี้ยวนั้น เลยจงใจก้าวย่างอย่างเชื่องช้า
ผ่านไปครู่หนึ่งก็มาถึงที่หมาย และเห็นว่าโซกังกำลังรอคอยเขาอยู่ ด้วยการออกมาเดินเตร่ไปมาด้านนอกตำหนัก พลอยทำให้ยกยิ้มกว้างออกมาจนได้ จาฮอนเข้าไปในตำหนักฮงฮวาพร้อมร่างบาง จากนั้นก็สั่งให้นางกำนัลกับขันทีสองคนนั้นเข้ามาด้านใน อีกฝ่ายเอ่ยถวายความเคารพและก้มหน้าติดพื้นตำหนัก
หากองค์จักรพรรดิทรงทำการไต่สวน พวกเขาสามารถเสนอตัวมาเป็นพยานได้ ถ้าหากไม่ได้ความฉลาดเฉลียวของฝ่าบาทและการเกลี้ยกล่อมด้วยเมตตา ก็ไม่รู้ว่าพวกตนจะสามารถรักษาชีวิตเอาได้หรือไม่ พระองค์เริ่มต้นด้วยการปกป้องชีวิต แล้วทำให้ทราบซึ้งในพระทัยอีกครั้ง
เหล่านางกำนัลและเหล่าขันทีในตำหนักฮงฮวาต่างก็กล่าวว่าข่าวลือนั่นไม่มีทางเป็นเรื่องจริงอย่างมั่นใจ เล่าความจริงว่าฝ่าบาททรงหวงแหนโซอีมามามากเพียงใด เสด็จมาหาบ่อยครั้งเท่าใดแก่ทั้งคู่จนแจ้งกระจ่าง
[1] กุงรัง ที่พักของเหล่านางใน
[2] คงรยอ ที่อยู่ของซังกุงสูงสุดในแต่ละฝ่าย
[3] โซฮวัน ขันทีที่มีอายุและตำแหน่งต่ำสุด
[4] ฮวันจา ขันทีขั้นสูงสุดในแต่ละฝ่าย