และในค่ำคืนนั้น
ภายในความมืดมิด กระทั่งแสงจันทร์ยังถูกหมู่เมฆบดบัง มีบางสิ่งกำลังเคลื่อนไหวอยู่ไม่ไกลตำหนักฮงฮวา วันนี้โคมแดงก็ยังคงถูกแขวนไว้หน้าตำหนักเช่นเดิม มีเสียงชวนให้หน้าร้อนระหว่างกำลังดื่มด่ำกันและกันจากฝ่าบาทและโซอีมามาดังออกมาภายนอก
ทว่าการเคลื่อนไหวนั้นกลับอยู่บนทางเดินข้างคบไฟที่สองของห้องบรรทมที่คุกรุ่นด้วยบรรยากาศเร่าร้อน
“เงียบด้วย ฝ่าบาททรงประทับอยู่ด้านใน”
“ขอรับท่านองครักษ์”
น้ำเสียงตอบรับของผู้เคลื่อนไหวสุขุม เจ้าตัวลดฝีเท้าให้ช้าลงเมื่อรับรู้ว่าอยู่บนทางเดินของห้องบรรทมพลางลอบสังเกตโดยรอบ ขยับเคลื่อนไหวไม่ให้ดึงดูดสายตา กวาดตาผ่านห้องบรรทมไม่ถึงเสี้ยว ก็กวาดผ่านอีกเสี้ยวหนึ่งก่อนจะจากไป
ในวันต่อมา นางกำนัลและขันทีผู้พ้นโทษก็ถูกพบเป็นศพอยู่กันคนละมุม
แม้ร่างของทั้งสองจะไม่มีบาดแผลภายนอก แต่เมื่อทำการตรวจสอบด้วยการเอาช้อนเงินใส่ในปาก มันกลับเปลี่ยนสี เป็นเหตุอุกอาจที่เกิดขึ้นภายในตำหนักทั้งๆ ที่ฝ่าบาททรงประทับอยู่ โซกังร้องไห้ให้พวกเขาด้วยความสงสารอย่างจริงใจ
แม้จะสงสัยว่าเรื่องมันเกิดขึ้นด้วยวิธีใดกันแน่ แต่จาฮอนกลับสมเพชต่อการกระทำอันแสนโง่เขลา และไม่มีทางปล่อยโอกาสนี้ผ่านไป
* * *
ณ ตำหนักฮวังรยง องค์จักรพรรดิและเหล่าขุนนางรวมตัวกันเพื่อถกราชการดั่งเช่นเคย ทว่าจาฮอนได้ส่งองครักษ์ฮวังรยงไปยังตำหนักของสนมเอกทั้งสามตั้งแต่ยามเช้าตรู่ ทำตามรับสั่งว่าเฝ้าจับตาพวกนางให้อยู่แต่ในห้องบรรทม ห้ามออกมาด้านนอกเด็ดขาด
เมื่อเหล่าขุนนางได้ยินเรื่องนั้นต่างก็ตื่นตกใจกันหมด
บุรุษอื่นไม่อาจอยู่ใกล้ชิดเหล่าสนมขั้นพีก็จริง ทว่าทรงไม่อนุญาตให้ละสายตา กระทั่งไปทำธุระส่วนตัวก็ต้องติดตามไป
“ฝ่าบาท ทรงสืบหาตัวผู้ร้ายอีกสักหน่อยเป็นอย่างไรพ่ะย่ะค่ะ”
“เข้ามาเหยียบถึงปลายจมูกเราและหน่วยฮวังรยง ทำการปลิดชีพคนแล้วจากไป จะให้เราตามหาอย่างไร วิธีนี้ได้ผลดีกว่าการปล่อยให้มีช่องว่าง ไม่ดีกว่าหรือกับการป้องกันเรื่องที่อาจจะเกิดขึ้นอีกเมื่อใดก็ได้”
“เป็นเช่นนั้นกระหม่อม ทว่าอย่างไรก็คงไม่เป็นการดีนัก หากจะทรงให้บุรุษอื่นอยู่ใกล้ชิดสตรีของพระองค์แบบตัวต่อตัว แม้จะเพื่อคอยอารักขาความปลอดภัยพ่ะย่ะค่ะ”
“ผู้ใดว่าดูไม่ดีกันล่ะ เราว่ามันก็ดูปลอดภัยดีมิใช่หรือ หรือพวกเจ้าหวั่นไหวต่อเหล่าสนมของเรา”
คำกล่าวของจาฮอนทำให้เหล่าขุนนางพูดไม่ออก ร่างสูงวาดรอยยิ้มแฝงความนัยแล้วเอ่ยต่อ
“พวกเขาล้วนรายงานต่อเราตามความเป็นจริง หากเรากลัดกลุ้มอันใดก็สามารถไต่ถามได้ทุกเมื่อ”
ความเป็นจริงอะไร ไต่ถามผู้ใดกันเล่า เขาไม่เคยสนใจหรอก แต่สีหน้าของเหล่าขุนนางเกินกว่าครึ่งพลันเปลี่ยนเป็นเคร่งเครียด มีเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้นที่กลับคืนสู่ความสงบ แน่นอนผู้ประทับอยู่เหนือทุกคนไม่มีทางไม่เห็นสิ่งเหล่านั้น
จาฮอนไม่เก็บซ่อนรอยยิ้มและกวาดสายตามองเหล่าขุนนางอย่างถี่ถ้วน สีหน้าเคร่งเครียดเช่นนั้นเผยออกมาแล้วว่าในบรรดาเสนาบดีฝ่ายเช ผู้ใดกันที่สามารถสร้างข่าวลือนั้นได้ ทั้งยังเป็นผู้กุมอำนาจ
หากไม่ใช่เช่นนั้น เมื่อคราวผู้บงการวางแผนเรื่องนี้ เสนาบดีส่วนหนึ่งก็รู้เรื่องอยู่แล้ว จาฮอนครุ่นคิดว่ายามข่าวลือนั้นกระจายออกไป จนส่งผลให้ตัวเขาออกห่างจากโซกัง ผู้ที่ได้ประโยชน์มากที่สุดจะเป็นใครกัน
แม้ในหัวจะครุ่นคิดอย่างว้าวุ่น ทว่าสีหน้ากลับไม่เปลี่ยนแปลงเลยสักนิด จาฮอนเคาะปลายนิ้วลงบนโต๊ะ กวาดสายตามองทุกคนจนทั่ว ก่อนจะเปิดปากเอ่ย
“หากไม่มีสิ่งใดจะรายงานแล้ว วันนี้ก็พอเท่านี้”
“ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะ”
เหล่าเสนาบดีค้อมคำนับแล้วกล่าวขึ้นพร้อมกัน เป็นการแสดงความเคารพเมื่อเสร็จสิ้นการประชุมหารือเสมอ
เมื่อคนเหล่านั้นค้อมคำนับลง จาฮอนก็ลุกขึ้นจากที่ประทับทันที ลงมาบนพื้นด้านล่างแล้วก้าวเดินอย่างเนิบๆ ท่ามกลางเหล่าเสนาบดีที่ค้อมคำนับ ออกมาถึงด้านนอกตำหนักฮวังรยงก็มุ่งหน้าไปทางตำหนักอุนฮยอนเหมือนอย่างเคย
หลังจบการประชุม ฝ่าบาทก็จะไปตรวจฎีกากับเหล่าบัณฑิตที่ตำหนักอุนฮยอน และพอร่วมเสวยมื้อกลางวันอย่างเรียบง่ายแล้ว ก็จะใช้ข้ออ้างว่าเหนื่อยล้าจำต้องพักผ่อนเพื่อไปตำหนักฮงฮวา นอกจากดื่มชาและเสวยของว่างกับโซกังเพียงครู่หนึ่ง ก็เพลิดเพลินกับการแสดงความรักต่อกัน
และกลับมายังตำหนักฮวังรยงอีกคราเพื่อจัดการงานราชการ ก่อนจะมาเสวยมื้อเย็นที่ตำหนักฮงฮวา หรือไม่ก็เสวยที่ตำหนักฮวังรยงเลย แต่แน่นอนว่าฝ่าบาททรงบรรทมที่ตำหนักฮงฮวาเท่านั้น
นี่คือกิจวัตรประจำวันของจาฮอนเมื่อไม่นานมานี้
ดังเช่นคํากล่าวที่ว่าจักรพรรดิไม่ก้าวเดินอย่างไม่รอบคอบ เขาก้าวเข้าไปในตำหนักอุนฮยอนอย่างเชื่องช้า เภายในห้องทรงอักษรสำหรับตรวจและคัดแยกฎีกา เหล่าบัณฑิตกำลังตรวจตราฎีกาตรงหน้าของแต่ละคนอยู่ ทุกคนล้วนลุกขึ้นมาค้อมคำนับ
“ถวายพระพรพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท”
จาฮอนพยักหน้ารับเล็กน้อยแล้วนั่งประจำที่ตน ด้านบนโต๊ะสี่เหลี่ยมมีฎีกาคัดแยกแล้ววางอยู่บนถาดเงิน ฝ่าบาทกระดิกนิ้วเรียกขันทีโชให้ขยับหูเข้ามา อีกฝ่ายก็รีบขยับเอียงหูรับฟังทันที เห็นดังนั้นเขาก็กระซิบแผ่วเบาอย่างที่เหล่าบัณฑิตไม่อาจได้ยิน
“จงไปสืบมาอย่างละเอียดว่าเหล่าขุนนางฝ่ายเชทั้งหมด มีการเคลื่อนไหวภายในวังหลวงอย่างไรบ้าง”
“รับด้วยเกล้าพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท”
ขันทีโชก้มค้อมคำนับและออกจากห้องทรงอักษรอย่างเงียบๆ
ผ่านไปไม่นาน ชาจากห้องเครื่องก็ถูกนำเข้ามา วางให้เหล่าบัณฑิตอุนฮยอนและจาฮอนคนละถ้วย จากนั้นแต่ละคนต่างก็จดจ่อกับงานตรงหน้า จนไม่รู้ว่ามีคนกลุ่มหนึ่งมาเยือนตำหนักฮงฮวาแล้ว
ขณะจาฮอนเริ่มดื่มชาอยู่ในตำหนักอุนฮยอน สนมฮยอนควีบี ยุนซุกบีและออมฮยอนบีก็มาถึงหน้าตำหนักฮงฮวา
“หากฝ่าบาททรงทราบ จะทรงกริ้วเอาได้นะเพคะมามา”
นางกำนัลผู้ดูแลฮยอนควีบีค้อมศีรษะพร้อมเอ่ยห้าม ทว่าไม่เพียงไม่ฟัง เจ้าตัวยังยกยิ้มด้วยริมฝีปากอวบอิ่มทาทับด้วยชาดแล้วตบหน้าอีกฝ่าย
“เจ้าบังอาจพูดพล่อยๆ ว่าจะฝ่าบาทจะทรงกริ้วกับผู้ใดกัน ข้าถูกทิ้งให้โดดเดี่ยวเช่นนี้ กระทั่งคนชั้นต่ำยังทำให้ข้าถูกละเลย เจ้าไม่รู้หรืออย่างไรว่าข้าเป็นบุตรตระกูลใด ตัวฝ่าบาทเองจะทรงทำอย่างไรต่อฝ่ายเชที่ช่วยให้พระองค์ทรงมีอำนาจเช่นนี้ได้หรือ กล่าวก็คือข้าเป็นฐานอำนาจ ย่อมจะต้องทรงระวังเป็นพิเศษ”
“หม่อมฉันสมควรตายเพคะมามา”
“จงไถ่โทษความผิดของเจ้า ด้วยการจัดการลากตัวไอ้คนเจ้าเล่ห์ เสแสร้งทำตัวสูงส่งแห่งตำหนักฮงฮวานั่นออกมาเสีย”
นางกำนัลขบริมฝีปากแน่นกับคำสั่งของฮยอนควีบี แม้ชะตากรรมของนางกำนัลคือเดินบนเส้นทางเดียวกับเจ้านายในความดูแล แต่ตัวนางก็ไม่เคยมีความคิดอยากเดินเส้นทางเดียวกับควีบีมามาแม้สักนิด เพราะเส้นทางข้างหน้าของสตรีผู้มีอุปนิสัยใจคอร้ายกาจเช่นนี้ ราวกับถูกปูด้วยหนามแหลมคม นางคิดเช่นนั้นพร้อมค้อมคำนับ
นางเดินผ่านฮยอนควีบีเพื่อสั่งให้ทหารยามหน้าตำหนักฮงฮวาเปิดประตู ทหารยามก้มคำนับแสดงความเคารพ แต่กลับไม่ยอมเปิดประตูให้
“ยามนี้ฝ่าบาทมิได้ทรงประทับอยู่ด้านใน รับสั่งไว้ว่าไม่ว่าผู้ใดก็ห้ามเข้าไปพ่ะย่ะค่ะ”
“น้ำหน้าอย่างเจ้าบังอาจมาขวางทางข้าหรือ!”
“กระหม่อมเพียงทำตามรับสั่งของฝ่าบาทเท่านั้นพ่ะย่ะค่ะ”
“หลีกไป”
“มิได้พ่ะย่ะค่ะ”
ทหารยามยังคงยืนยันคำเดิม ฮยอนควีบีแสดงความโกรธเกรี้ยวออกมาทันที สั่งให้องครักษ์ฮวังรยงที่ฝ่าบาทส่งมาดูแลตนจัดการตัดหัวทหารผู้นั้น องครักษ์ฮวังรยงก้มคำนับเล็กน้อยแล้วขยับเข้าไปใกล้ทหารยาม ชักดาบออกมาเล็กน้อยพร้อมสั่งให้รีบเปิดประตู ขณะเดียวกันก็ส่งสัญญาณให้กับอีกฝ่าย ทั้งสองมองหน้ากัน ก่อนทหารยามจะก้มคำนับและเปิดประตูออก
“ฝ่าบาททรงกำชับไว้ ข้าจึงจำเป็นต้องทำขอรับ”
“อย่าห่วงเลย ข้ารับผิดชอบเอง”
จากนั้นฮยอนควีบีก็เดินนำเข้าไป โดยมียุนซุกบีและออมฮยอนบีตามมาด้านหลัง ถัดไปก็เป็นเหล่านางกำนัล ส่วนองครักษ์ฮวังรยงที่ชักกระบี่ใส่ทหารยามก่อนหน้านี้ก็เดินตามเข้ามาท้ายสุด พร้อมแอบยัดบางสิ่งใส่มือของทหารยาม เมื่อทั้งหมดหายตัวเข้าไปด้านในตำหนัก ทหารยามผู้นั้นจึงส่งสัญญาณให้นางกำนัลที่ยืนอยู่ใกล้ๆ
“มีเรื่องอะไรหรือเจ้าคะ”
“ช่วยนำสิ่งนี้ไปมอบให้ฝ่าบาทที ตอนนี้ฝ่าบาททรงประทับอยู่ด้านในห้องทรงอักษรตำหนักอุนฮยอน”
“เพราะเหล่ามามาหรือเจ้าคะ”
“เป็นเช่นนั้น”
“ข้าทราบแล้ว จะรีบไปเลยเจ้าค่ะ”
นางกำนัลละมือจากงานที่ตนกำลังทำอยู่ทั้งหมดและรีบเร่งออกจากตำหนักฮงฮวาทันที จากนั้นทหารยามก็ทำท่าทีราวกับไม่เคยมีสิ่งใดเกิดขึ้นมาก่อน