อีกด้านหนึ่ง เมื่อฮยอนควีบีเข้ามาถึงด้านในของตำหนักฮงฮวา ก็เปิดประตูทั้งสองชั้นเข้าไปภายในส่วนห้องบรรทมของโซฮวาด้วยตนเอง นับเป็นการกระทำอันไร้มารยาทอย่างยิ่ง ทว่าก็ได้รับการยินยอมให้สามารถทำได้จนถึงแค่ประตูชั้นที่สองเท่านั้น
ไม่ว่าผู้ใดก็ไม่มีสิทธิ์ทำเช่นนั้นกับประตูชั้นในสุด เพราะด้านในมีเจ้าของตำหนักอยู่ ด้วยสถานะผู้มาเยือนจึงไม่มีทางเปิดออกเองได้ แน่นอนกรณีว่าขององค์จักรพรรดิ ผู้เป็นเจ้าของวังหลวงแห่งนี้ย่อมเป็นข้อยกเว้น ทว่านางก็หาได้ใส่ใจไม่ การกระทำของฮยอนควีบีเมื่อครู่ ไม่เพียงเป็นการกระทำไร้มารยาท ยังนับเป็นการกระทำที่ผิดต่อกฎของฝ่ายในด้วย
นางมองบุรุษที่นั่งอยู่แท่นบรรทมและวางตำราลงบนโต๊ะ ก่อนจะแค่นเสียงขึ้นจมูก
เมื่อสตรีเหล่านี้เปิดประตูเข้ามาโดยไม่มีการแจ้งใดๆ ก่อน โซกังจึงได้แต่ทำตาโตจ้องมองพวกนาง เหล่าสตรีสวมอาภรณ์สีสันสดใส ศีรษะประดับแต่งอย่างงดงาม ทว่ากลับเต็มไปด้วยความกรุ่นโกรธอย่างรุนแรง
“พวกท่านเป็นผู้ใดกัน ถึงบุกเข้ามาอย่างไร้มารยาทเช่นนี้”
“มาเพื่อสั่งสอนกฎของฝ่ายในให้สนมผู้ถือดีว่าฝ่าบาททรงให้ท้ายอย่างไรเล่า”
“ขอรับ?”
“ยังไม่รีบลุกขึ้นทำความเคารพอีก!”
ฮยอนควีบีตอบคำถามด้วยเรียวคิ้วสวยขมวดมุ่น โซกังขยับโต๊ะกลมไปด้านข้างแล้วก้าวลงมาจากแท่นบรรทม
เมื่อได้เห็นว่าอีกฝ่ายมีส่วนสูงมากกว่าตนกว่าคืบ อีกทั้งยังสวมอาภรณ์อย่างสนม แทนที่จะเป็นอาภรณ์พิธีการหรืออย่างขุนนาง ก็ยิ่งพาลให้ไม่สบอารมณ์เสียจนขนลุก กระทั่งสีของอาภรณ์ยังเป็นสีแดง ราวกับจะตอกย้ำว่าฝ่าบาททรงอนุญาตให้ใช้สีแดงประจำพระองค์ สำหรับการแต่งกายเฉกเช่นสนม ความจริงก็คาดการณ์ได้อยู่แล้ว ด้วยอีกฝ่ายได้รับการแต่งตั้งตำแหน่ง แต่พอเห็นแล้วไม่สบอารมณ์ยิ่งกว่าที่คิด
ไม่เพียงเท่านั้น ยังตัดเย็บด้วยผ้าไหมสีแดงปักลวดลายงูอย่างอ่อนช้อยด้วยด้ายเงิน หากมองผ่านๆ ก็ดูคล้ายมังกร ราวกับประกาศว่าฝ่าบาทถือว่าบุรุษผู้นี้งดงามอย่างแท้จริง เพราะไม่ว่าสัตว์ใดคล้ายกับมังกร ไม่สามารถนำมาปักเป็นลวดลายได้ หากไม่ได้รับคำอนุญาตจากฝ่าบาทก่อน
ฮยอนควีบีมีสีหน้าถมึงทึง ไม่สบอารมณ์อย่างยิ่ง นางเอ่ยด้วยน้ำเสียงแฝงหนามแหลมทิ่มแทง
“กลายเป็นส่วนหนึ่งของฝ่ายใน แต่กลับไม่คิดจะมาฝากตัวกับผู้อาวุโสกว่าสักครั้งเลยหรือ”
โซกังถึงแสดงสีหน้าเหมือนเข้าใจเรื่องราวทั้งหมด ก่อนหน้านี้เคยได้ยินจากฝ่าบาทอยู่บ้าง ว่ายามนี้ฝ่ายในมีสนมควีบีอยู่นางหนึ่ง และสนมขั้นรองอีกสองนาง นึกถึงยามพระองค์กล่าวถึงพร้อมลอบสังเกตความรู้สึกของตน ฝ่าบาทตรัสเองว่าไม่จำเป็นต้องไปฝากตัว เขาจึงคิดว่าคงได้อยู่อย่างสงบสุข ทว่าดูเหมือนจะพลาดเสียแล้ว
ยามนี้วังหลวงยังไม่มีพระมเหสี ด้วยฝ่าบาทไม่แม้แต่จะแต่งตั้ง ดังนั้น ผู้ที่นับว่าอาวุโสที่สุดจึงเป็นควีบีมามา และตอนนี้มามาผู้นั้นก็มายืนอยู่ตรงหน้าแล้ว เพราะเขาไม่ได้ไปเข้าเฝ้าสักครั้งเลยมาหากันถึงที่เช่นนี้
โซกังประสานมือไว้ด้านหน้าพลางค้อมตัวแสดงความเคารพ
“ถวายพระพรควีบีมามาพ่ะย่ะค่ะ”
เดิมทีบุรุษต้องแสดงความเคารพด้วยการคุกเข่าลงข้างหนึ่ง ส่วนอีกข้างก็ชันเข่าเอาไว้ ทว่าโซกังไม่อาจทำเช่นนั้นได้ ด้วยเพราะสวมอาภรณ์อย่างสนมอยู่ จึงแสดงความเคารพในแบบเดียวกับสตรีแทน เมื่อได้เห็นดังนั้น มุมปากของฮยอนควีบีเลยยกเหยียดขึ้น
“เป็นบุรุษ แต่กลับไม่ยอมปฏิบัติตนอย่างบุรุษ ยอมถูกโอบกอดจากบุรุษเฉกเช่นสตรี จึงพาลคิดว่าตนเป็นสตรี กระทั่งการแสดงความเคารพก็ยังทำเช่นนั้นด้วยหรือ เจ้าคงไม่อึดอัดใจอันใดเลยสินะ การสวมอาภรณ์และทำกิริยาเช่นสตรีมันดีนักหรือ”
เป็นการเย้ยหยันอย่างชัดเจน ทว่าโซกังก็ไม่ได้แสดงท่าทีสั่นกลัวอะไรต่อคำพูดนั้น จากวันเวลาที่ใช้ชีวิตในฐานะทาสมา คำพูดเช่นนั้นของนาง เขาย่อมรับฟังผ่านหูเฉยๆ ได้อยู่แล้ว ร่างบางวาดรอยยิ้มอ่อนๆ และตอบกลับ
“เพราะฝ่าบาททรงให้ความเอ็นดูอย่างยิ่ง กระหม่อมจึงหลงลืมว่าเป็นบุรุษไปชั่วครู่ ขอประทานอภัยมามา”
คำตอบโต้ของโซกังทำให้ใบหน้าของสนมฮยอนควีบีเครียดตึงขึ้นมาอีกครา เนื่องจากตำแหน่งของอีกฝ่ายยังเป็นรองตนจึงผ่อนคลายขึ้นมาครู่หนึ่ง แต่เมื่อรู้สึกเหมือนได้รับการเย้ยหยันจากสนมที่เป็นบุรุษว่าตนเองได้รับความเอ็นดูจากฝ่าบาท โสตประสาทของสนมฮยอนควีบีก็ได้ยินเป็นการโอ้อวด แม้อยากตบหน้าและสบถถ้อยคำผรุสวาทสวนกลับ ทว่านางก็ได้แต่สูดหายใจเข้าลึกอย่างอดกลั้น กระทั่งสะกดกลั้นลมหายใจจนสงบลง จึงเอ่ยปากขึ้นอีกครั้ง
“เรื่องนั้นก็ส่วนเรื่องนั้น แต่นั่นคือธรรมเนียมในทุกๆ เช้า เหล่าสตรีของฝ่าใน กระทั่งขุนนางเอง ก็ต้องมาทำความเคารพก่อนเริ่มประชุม เจ้าเองก็รู้มิใช่หรือ”
“กระหม่อมไม่ทราบ”
“นั่นเป็นหน้าที่สนมของฝ่าบาท เจ้าไม่รู้กฎพื้นฐานที่สุดของฝ่ายในได้อย่างไร หรือเพียงแค่ฝ่าบาททรงตามใจ ก็ถือว่ากฎของฝ่ายในไม่สำคัญหรือ”
“ขอประทานอภัยพ่ะย่ะค่ะ”
“หากฝ่าบาททรงแต่งตั้งพระมเหสีแล้วล่ะก็ ย่อมต้องไปที่ตำหนักยอฮยัง แต่ยามนี้มาตำหนักฮึงด็อกของข้าก่อน มาก่อนยามชินล่ะ”
โซกังก้มศีรษะพลางลอบมองสนมฮยอนควีบี รวมถึงสนมขั้นบีทั้งสองด้านหลัง สีหน้าสตรีทั้งสามล้วนไม่สบอารมณ์ นั่นคงเป็นเพราะความริษยา
อาณาจักรฮยอนวอนยอมรับการแต่งงานของเหล่าบุรุษ แน่นอนว่าไม่ใช่การยอมรับอย่างยินดีนัก ทว่าอย่างน้อยก็ไม่ใช่เรื่องได้รับการเหยียดหยามและกีดกันใดๆ ด้วยเหตุนั้น หากวิเคราะห์โดยถี่ถ้วนแล้ว หากพวกนางจะไม่พอใจที่ตนเป็นบุรุษก็ไม่ผิด แต่ตำแหน่งสนมของฝ่าบาท หาใช่ตำแหน่งของสตรีเพียงเท่านั้น ทว่าความริษยาต่อความรักของฝ่าบาท จึงกล่าวออกมาโดยไม่คิดหน้าคิดหลัง หยามเหยียดบุรุษที่ไม่สมเป็นบุรุษ
หากจะทำอย่างไรได้ ด้วยเพราะต้องปรนนิบัติสวามีผู้ประทับในตำแหน่งสูงสุด จึงต้องจำยอมทน
ร่างบางคำนับลงเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยปากชี้แจง
“ขอประทานอภัยพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาทไม่สะดวกตื่นบรรทมยามเช้าตรู่ จะทรงตื่นในยามชิน อีกทั้งทรงรับสั่งให้กระหม่อมร่วมโต๊ะเสวยในมื้อเช้า ทว่าจะส่งเสด็จไปยังตำหนักฮวังรยง ยามนั้นกระหม่อมก็คงไม่อาจร่วมเข้าเฝ้าได้ทัน เช่นนี้ต้องทำอย่างไรถึงจะเป็นไปตามกฎได้หรือพ่ะย่ะค่ะ”
สีหน้าของฮยอนควีบีแดงก่ำด้วยความอับอาย ความริษยาและความโกรธ สนมอีกสองนางก็เช่นกัน รู้สึกถึงความน่าชังและร้ายกาจอย่างถึงที่สุดจากสนมชายผู้โอ้อวดว่าตนได้ดูแลรับใช้ฝ่าบาททุกเช้า โซกังหวังเพียงว่าสตรีพวกนี้จะไม่ลงไม้ลงมือกับตน การถูกตบตีจากพวกนาง ตัวเขาเองไม่ได้อะไรนักหรอก แต่จาฮอนคงไม่อาจยินยอม
ขณะนั้น สนมฮยอนควีบีก็ตะโกนขึ้นด้วยน้ำเสียงเปี่ยมความโกรธเกรี้ยว
“คิดว่าข้าไม่รู้ว่าเจ้าเป็นชายโลมในเรือนทาสหรือ! ร่างกายโสมมเช่นนี้ ยังบังอาจมาหลอกลวงฝ่าบาท เป็นบุรุษหากกลับแสดงเลียนแบบสตรี!”
มือเรียวของนางยกขึ้นกลางอากาศ โซกังคิดล่วงหน้าแล้วว่าคงจะมาปะทะตนจึงหลับตาแน่น ทว่ากลับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทั้งๆ ที่ควรต้องเจ็บแก้มหรือส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกาย แต่แล้วก็ได้ยินน้ำเสียงเย็นเยียบเสียจนขนลุกดังขึ้นแทน
“เจ้ากำลังทำอะไรอยู่ สนมฮยอนควีบี”
“ฝ่าบาท!”
เจ้าของชื่อหันกลับไปด้วยความตื่นตระหนกและคุกเข่าลงทันที คนที่เหลือก็ค้อมคำนับลงโดยพร้อมเพรียง มีเพียงโซกังเท่านั้นที่ยังยืนอยู่ด้วยความลังเล
ฝ่าบาทไม่ได้หันสายตามองผู้ใดรอบตัวสักคน แต่ขยับก้าวเข้าหาร่างบางแล้วกอดแน่น ใบหน้าของโซกังแดงซ่านขึ้นมาทันใด จาฮอนมองสำรวจปรางแก้มไปถึงต้นคอ
“ไม่บาดเจ็บตรงไหนใช่หรือไม่”
“กระหม่อมไม่เป็นไรพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท”
ปฏิบัติราวกับตนช่างแสนบอบบาง สังเกตกระทั่งสีหน้าอย่างละเอียด ไม่ใช่ไม่รู้ว่าร่างกายนี้อดทนอยู่ภายในเรือนทาสมาสองปี ผ่านชีวิตโดนทำร้ายต่างๆ นานาจากเหล่าทาส คำพูดเสียดสีของสนมฮยอนควีบีเพียงไม่กี่คำ จึงไม่ต่างอะไรจากถ้อยภาษาดอกไม้ แต่ไม่อยากทำให้ฝ่าบาทนึกถึงช่วงเวลาที่ตนเคยอยู่ในเรือนทาส โซกังจึงไม่ได้เอ่ยปากอันใด จากนั้นร่างสูงก็กวาดสายตามองรอบตัวช้าๆ ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงเยียบเย็นราวกับผลึกน้ำแข็ง
“ควีบี เจ้าบอกมาสิว่ายามนี้ตำหนักฮงฮวาเป็นสถานที่ใด”
“เป็นตำหนักบรรทมของฝ่าบาทเพคะ”
“หากมีผู้ไม่ได้รับอนุญาตบุกรุกตำหนักบรรทมจะเป็นเช่นไร”
“ถะ ถูกประหารเพคะ”
“เจ้าก็รู้กฎอยู่แล้วนิ เช่นนั้นหากโดนประหารโดยทันที ก็คงจะไม่ถือว่าเกินไปสินะ”
น้ำเสียงเย็นชาของฝ่าบาท ทำให้ฮยอนควีบีเงยหน้าขึ้นมองอย่างกะทันหันและบังอาจจ้องพระพักตร์โดยตรง เขาจึงจ้องมองนางกลับด้วยสีหน้าโกรธเกรี้ยว
“บังอาจจ้องหน้าข้าโดยไม่ได้รับอนุญาต เห็นทีคงไม่ได้เรียนรู้กฎเลยสินะ”
“ขอประทานอภัยเพคะฝ่าบาท”
ทันทีที่เอ่ยต่อว่าราวกับเป็นคมดาบพุ่งเข้ามา สนมฮยอนควีบีก็รีบก้มศีรษะลงเช่นเดิม นางสัมผัสถึงโทสะแฝงอยู่ในสายพระเนตร จนได้แต่กลั้นใจ การได้รับสายตาเช่นนั้นจากผู้เป็นสวามี เป็นความรู้สึกประหลาดยิ่ง ทั้งอับอาย ชอกช้ำ รวมถึงเสียใจ
คราแรก นางเข้ามาวังหลวงโดยไม่ได้คาดหวังอะไร
ความคิดที่ว่าบางทีฝ่าบาทอาจจะปันความรักมาให้ตนสักเสี้ยว หายไปทันทีหลังได้รับแต่งตั้งไม่ทันถึงสัปดาห์ พระองค์ช่างแสนเย็นชา อย่าว่าแต่ย่างกรายมาหาเลย กระทั่งสายตาก็ยังไม่เหลียวแล ดังนั้น ตั้งแต่ตอนนั้นเป้าหมายของนางก็มีเพียงสิ่งเดียว คือการส่งเสริมอำนาจของฝ่ายเช ร่วมหอกับฝ่าบาท ตั้งครรภ์ แล้วให้กำเนิดโอรสที่จะขึ้นเป็นจักรพรรดิในวันหน้า
ทว่านี่เป็นครั้งแรกที่รู้สึกเช่นนี้ ฝ่าบาทไม่เคยใส่ใจบุรุษหรือสตรี ห่างเหินกับความไหวหวั่น ความรักใคร่ เพราะไม่ว่าอย่างไรก็ทรงเป็นเช่นนั้น นางจึงยอมแพ้ไปโดยปริยาย
ทว่ายามนี้ บุรุษผู้หนึ่งที่ไม่ใช่สตรีงามล่มเมือง กำลังครอบครองพระทัยของฝ่าบาทอยู่มิใช่หรือ จนพระองค์ทรงทอดทิ้งทุกคนที่เข้าวังมาก่อน และเอ็นดูรักใคร่เพียงบุรุษผู้นี้เท่านั้น