ขณะนั้นเสียงระฆังแจ้งเวลาว่าล่วงเข้ากลางยามมีแล้วก็ดังแว่วจากด้านนอก จาฮอนจึงปล่อยตัวโซกังก่อนจะทอดถอนใจเล็กน้อย
“เหมือนล่วงพ้นหมดวันไปแล้ว ทว่าเพิ่งผ่านมาเพียงครึ่งวันเองสินะ เจ้ารับมื้อเที่ยงแล้วหรือ”
“มามาทั้งสามมาประจวบเวลาพอดิบพอดี กระหม่อมจึงยังไม่ได้ทานพ่ะย่ะค่ะ”
“นั่นสิ มื้อกลางวันของข้าก็ดูเหมือนจะยังอยู่ที่ห้องตำราเช่นเดิม”
“เสด็จมาโดยที่ยังไม่ได้เสวยสำรับหรือพ่ะย่ะค่ะ”
“ใช่ หน้าซ้ำข้ายังละทิ้งธรรมเนียม รีบเร่งวิ่งมาด้วยล่ะ”
ดวงตาของจาฮอนวาดโค้งลงอย่างชอบใจ ขณะเดียวกันก็เป็นตัวเขาเองที่ใจเต้นระรัวราวกับตกเป็นเป้ายิง
ด้วยใคร่อยากรู้ว่าอีกฝ่ายจะรับมือเช่นไรกับคำกล่าวว่าตนยอมละทิ้งสำรับแล้วรีบเร่งมาที่นี่
หากแสดงความซาบซึ้ง ก็จะดียิ่งนัก
ทว่ากลับต่างจากคาดการณ์ เพราะโซกังขมวดคิ้วมุ่น แววตาเต็มไปด้วยความกังวล ย่อมเป็นเช่นนี้แหละ ช่างสมกับเป็นยูโซกังเสียจริง บุรุษผู้เปี่ยมด้วยความซื่อตรง แต่น่าเอ็นดูถึงที่สุด
จาฮอนไม่อาจซ่อนรอยยิ้มเอาไว้ได้จนมุมปากยกสูงขึ้น ร่างบางจึงเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงกังวลเมื่อเห็นท่าทีเช่นนั้น
“ทรงละเลยการเสวยได้อย่างไรพ่ะย่ะค่ะ ทรงเป็นบิดาของราษฎร ทั้งยังทรงเป็นพระสวามีด้วย”
“หืม เท่านั้นเองหรือ”
“พ่ะย่ะค่ะ?”
“เป็นบิดาของราษฎร แล้วก็เป็นสวามีเท่านั้นเองหรือ”
“ทรงเป็น…พระสวามีของกระหม่อม ละเลยการเสวยเช่นนี้ มะ…ไม่ได้นะพ่ะย่ะค่ะ”
โซกังกล่าวคำพูดออกมาอย่างตะกุกตะกักด้วยใบหน้าขึ้นสีแดงจัด ช่างน่าเอ็นดูเสียเหลือเกิน… ร่างสูงหัวเราะออกมาอีกคราก่อนจะเอ่ยคำสั่งไปยังด้านนอก
“มีผู้ใดอยู่หรือไม่”
“เพคะฝ่าบาท”
“ยกสำรับอาหารง่ายๆ เข้ามาที”
“เพคะ”
จากนั้นก็ผละจากเก้าอี้ไปนั่งบนแท่นบรรทมแทน แน่นอนว่าโซกังก็ถูกคว้ามือจับจูงให้เดินตามและนั่งลงบนหน้าขาแกร่งอีกที
จาฮอนทำการคลายอาภรณ์ที่ผูกเอาไว้อย่างดีออกหลวมๆ พร้อมกับพร่ำบ่น
“ผูกแน่นเสียจนไม่อาจสอดมือเข้าไปได้ ช่างใจร้ายเสียจริง”
“ฝ่าบาท เอ่อ เพราะท่านจาฮอนไม่อยู่ด้วย ย่อมต้องผูกให้แน่นๆ ไม่มีผู้ใดต้องเผยให้ดู ไม่มีผู้ใดที่จะยอมให้สัมผัส เช่นนั้น กระหม่อมจะปลดเอาไว้เพื่ออะไรกันพ่ะย่ะค่ะ”
“ตอนนี้ข้าก็อยู่ที่นี่แล้วมิใช่หรือ”
“หากเป็นของของตน จะทำเช่นไรกับมัน ก็เป็นหน้าที่ของตนเองมิใช่หรอกหรือพ่ะย่ะค่ะ”
โซกังหลุบสายตาลง แก้มแดงระเรื่ออย่างขัดเขินพร้อมเอ่ยกระซิบ ด้วยเป็นถ้อยคำบ่งบอกเป็นนัยๆ ว่ายินยอมให้ปลดเปลื้องอาภรณ์ จาฮอนจึงเข้าใจได้ไม่ยาก
เขาเลิกดึงรั้ง แต่เปลี่ยนเป็นเคลื่อนมือไปยังปมเชือกของสายรัดเอว คลายปมและปลดมันออก ก่อนจะสอดมือเข้าไปภายในอย่างระมัดระวังแทนการเปลื้องอาภรณ์
ทันทีที่มือสัมผัสผิวเนื้ออ่อนนุ่ม ความปรารถนาก็พุ่งทะยานขึ้นมา เพียงแค่สัมผัสเท่านั้น ไม่สิ แม้จะเพียงแค่มองดูก็ตาม
ลูบไล้แผ่วเบาตามผิวเนื้อเรียบลื่น มื้อกลางวันหรืออะไรก็ช่าง เขาอยากจะกดอีกฝ่ายลงแล้วโอบกอดเสียเดี๋ยวนั้น ทว่าไม่อาจทำได้ เดิมทีโซกังก็ไม่ค่อยทานอะไรมากนัก หากฝืนครอบครองทั้งยังทำให้อดอาหาร ใครจะรู้ได้ว่าเนื้อหนังที่เพิ่มขึ้นมาอาจหายไปทันใดในวันรุ่งขึ้นก็ได้
จาฮอนจึงเมินเฉยต่อสัญญาณที่ส่งมาจากช่วงล่าง แม้มันจะเต้นตุบพร้อมขยายใหญ่แล้ว เขาฝืนทนต่อความต้องการขณะสัมผัสลูบไล้กายของอีกฝ่ายอย่างอ่อนโยน
ก่อนจะพลันเกิดความสงสัยขึ้นมาจึงเอ่ยถาม
“โซกัง เจ้าเคยลองกอดสตรีหรือไม่”
“ใยถึงทรงถามเช่นนั้นพ่ะย่ะค่ะ ไม่ใช่ว่ากระหม่อมรักท่านจาฮอน และเป็นของท่านจาฮอนผู้เดียวหรอกหรือ”
“หากการถูกโอบกอดเพียงอย่างเดียวมันไม่เพียงพอ จะทำอย่างไรได้เล่า ข้าจึงกังวลขึ้นมาเสียอย่างนั้น”
“หาต้องกังวลอันใดไม่พ่ะย่ะค่ะ อ้อมกอดของท่านจาฮอนดียิ่ง จนข้าไม่อาจนึกถึงสิ่งใดได้อีกเลย”
คำตอบของโซกัง ทำให้ลมหายใจแผ่วเบาพ่นออกมาจากปากจาฮอน ขณะเดียวกันก็รู้สึกถึงความแข็งขืนตรงบั้นท้าย ร่างสูงสัมผัสยอดอกของโซกังพลางกระซิบแผ่ว
“หากเจ้ากล่าวเช่นนี้ ข้าจะอดทนอดกลั้นได้อย่างไรเล่า”
“ต้องอดทนไว้ก่อนพ่ะย่ะค่ะ สำรับยังไม่ได้ถูกยกเข้ามาเลย ทว่าหากไม่ทรงถือ เมื่อต้องเผยสภาพไม่เรียบร้อยของกระหม่อมยามถูกพระองค์โอบกอดให้พวกนางกำนัลเห็น เช่นนั้นกระหม่อมเองก็หาเป็นไรไม่”
คำกล่าวนั้น ทำเอาจาฮอนต้องยอมละมือจากยอดอกที่ตนสัมผัสอยู่ เพราะหากยังลูบคลำต่อ คงจะได้กลายร่างเป็นสัตว์ป่าอย่างไม่อาจควบคุมตนเองได้ และการให้ผู้อื่นได้เชยชมเรือนกายของอีกฝ่าย ก็เป็นเรื่องที่ตนไม่มีทางยอมรับได้เด็ดขาด
หลังจากนั้นครู่หนึ่งก็ได้ยินรายงานว่าจะยกสำรับเข้ามา โซกังจึงตั้งใจจะขยับลงจากตัก ทว่าเจ้าตัวกลับไม่ยินยอม
ด้วยเหตุนั้นเหล่านางกำนัลจึงต้องยกสำรักเข้ามา พลางลอบมองท่าทีรักใคร่ระหว่างฝ่าบาทกับมามาแห่งตำหนักฮงฮวา กระทั่งจัดเตรียมแล้วเสร็จก็พากันออกมาจากห้องบรรทมตามปกติ หากตำหนักใดฝ่าบาทเสด็จมาเยือนบ่อยครั้ง ความทะนงตนของเหล่านางกำนัลผู้ดูแลบรรดาสนมผู้นั้นย่อมสูงตาม ทว่าหาได้เกิดกับตำหนักฮงฮวาไม่ ฝ่าบาทรับสั่งให้ดูแลโซอีมามาให้ดี ทั้งยังพระราชทานทองคำให้แก่นางกำนัลและขันทีของตำหนักอีก การเป็นบุรุษหาได้เป็นปัญหาใดไม่ เมื่อสองพระองค์รักใคร่ปรองดองกันเช่นนี้ ฝ่าบาทยังเอ็นดูมามาถึงเพียงนั้นอีกด้วย
เหล่านางกำนัลลดความหยิ่งทะนงอันสูงลิ่วลง ทั้งยังในใจยังรู้สึกปลาบปลื้มอย่างถึงที่สุด
* * *
“มีใครอยู่บ้าง!”
บุรุษผู้หนึ่งเคาะประตูบานใหญ่พร้อมตะโกนเสียงดังลั่น ไม่นานนัก ก็มีสตรีถือตะเกียงโผล่หน้าออกมาย้อนถาม
“ผู้ใดกันเจ้าคะ มีเรื่องอันใดถึงมาเยือนในยามดึกดื่นเช่นนี้”
“ข้ามาพบโซยง”
“คุณหนูหรือ จะให้แจ้งว่าเป็นผู้ใดหรือเจ้าคะ”
“บอกว่ามูกิล นางจะเข้าใจเอง แจ้งว่าเป็นเรื่องสำคัญ ต้องพบให้ได้”
“ทราบแล้วเจ้าค่ะ”
สาวใช้ปิดประตูลงแล้วกลับเข้าไปด้านใน ได้ยินเสียงฝีเท้าย่ำบนพื้นดินทรายไกลห่างออกไป ขณะเดียวกันความสงบยามค่ำคืนก็กู่ร้องทดแทน ผ่านไปเพียงชั่วครู่ เสียงเหยียบย่างพื้นก็ดังใกล้เข้ามาอีกครั้ง ประตูเปิดออกอย่างแผ่วเบา โดยมีโซยงก้าวออกมาข้างนอก มือข้างหนึ่งของนางถือตะเกียงไว้ ก่อนจะปิดประตูลงจนสนิท นางเข้าไปยืนอยู่ใต้กำแพงและเอ่ยกับบุรุษตรงหน้าโดยไม่เก็บซ่อนความไม่สบอารมณ์
“ข้าปฏิเสธชัดเจนเช่นนั้นแล้ว ท่านยังมาหาเช่นนี้ นับเป็นมารยาทอันใดกันเจ้าคะ”
“เป็นภรรยารองเลวร้ายเช่นนั้นเชียวหรือ มีบุรุษมากมายที่ดูแลสตรีในปกครองหลายคน พวกนางเหล่านั้นก็ดูสุขสบายดี สามีก็สุขสบายเช่นกัน บิดาของข้าก็มีอนุตั้งสี่คน พวกอนุก็ไม่เคยทะเลาะกันเลยสักครั้ง”
“ไม่ใช่เพราะข้ารังเกียจการเป็นอนุหรอกเจ้าค่ะ ข้าบอกท่านไปแล้วมิใช่หรือว่าข้ามีผู้ผูกใจแล้ว”
“ไอ้คนหัวดื้ออ้อนแอ้นราวกับสตรีเช่นนั้น มันดีนักหรืออย่างไร”
โซยงมุ่นหัวคิ้วเป็นปมพร้อมจ้องมองอีกฝ่าย ใบหน้าไม่สบอารมณ์ที่มองเห็นท่ามกลางแสงสลัวก็ยังงดงาม บุรุษผู้นั้นทอดถอนใจพลางทุบหน้าอกตนเองด้วยความผิดหวังเพราะไม่อาจครอบครองสตรีตรงหน้า โซยงผ่อนลมหายใจช้าๆ ตั้งใจจะไม่แสดงโทสะใดๆ จนเมื่อสงบใจได้แล้วจึงเอ่ยปากขึ้นอีกครา
“ได้โปรดอย่ากล่าวร้ายท่านพี่ เขาเป็นบุรุษที่ซื่อตรงที่สุด สง่างามและน่าเอ็นดูสำหรับข้า นอกจากท่านพี่แล้ว ข้าก็ไม่คิดผูกใจต่อผู้ใดอีก เชิญท่านกลับไปเถิดเจ้าค่ะ!”
“โซยง! ประเดี๋ยว! ที่ข้ามาหาเจ้าวันนี้ หาใช่ด้วยเรื่องนั้นไม่ ข้ามีเรื่องสำคัญจะบอก เดิมทีแล้วข้าไม่ควรมาด้วยซ้ำ แต่…เพราะอยากช่วยชีวิตเจ้าเท่านั้นจึงฝืนคำสั่งมาหาเช่นนี้ ดังนั้นโปรดฟังข้า”
คำพูดนั้นทำให้โซยงหมุนตัวกลับมาหาและจ้องมองอีกฝ่ายไม่วางตา