ตอนที่ 7 เข็มในชาม
“เชิญกล่าวมาเถิดเจ้าค่ะ”
สายตาของโซยงเย็นเยียบตั้งแต่แพคมูกิลเริ่มกล่าวถึงคำว่าอนุคนใหม่เมื่อครู่ แต่ความจริงจังของอีกฝ่ายก็ทำให้นางยอมแสดงท่าทีว่าจะรับฟังเรื่องราว มูกิลจึงเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงใจ
“เจ้ารีบไปจวนของข้าพร้อมกับข้าเถิด เข้าไปในห้องนอนแล้วก็สานสัมพันธ์ต่อกันเสีย ต้องเป็นเช่นนั้น”
“ท่านว่าอย่างไรนะเจ้าคะ”
“ไม่ๆ ไม่ใช่ว่าต้องทำจริงๆ แม้ว่าหากเป็นจริงก็คงเป็นการดี แต่… ไม่สิ กับเรื่องนี้เพียงแกล้งทำก็พอ ทำให้เหมือนว่าเป็นเช่นนั้น”
“หากตั้งใจจะหมิ่นเกียรติกันเช่นนี้ ใยถึงต้องกล่าวอย่างจริงจังเช่นนั้นเจ้าคะ ดูท่าข้าจะเข้าใจสิ่งที่ท่านต้องการหมดแล้ว ดังนั้นเชิญท่านกลับไปเถิดเจ้าค่ะ”
โซยงเอ่ยกับชายตรงหน้าด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ แน่นอนที่นางต้องเกิดความไม่พอใจ กับสตรีบริสุทธิ์ยังไม่ได้เข้าพิธีแต่งงาน สตรีบริสุทธิ์ที่เปิดเผยว่ามีชายในใจอยู่แล้ว ทว่าจู่ๆ กลับมีบุรุษอื่นมาชักชวนให้ร่วมหอ ไม่โดนตบหน้าก็นับว่าดีเท่าไรแล้ว
“โซยง!”
มูกิลคว้าแขนเรียวบางของโซยงเอาไว้ กระทั่งการจับมือถือแขนสตรีที่ยังไม่ได้เข้าพิธีแต่งงานตามใจชอบ ก็นับเป็นการกระทำไร้มารยาทเช่นกัน แต่อีกฝ่ายไม่แสดงสีหน้าสำนึกเสียใจออกมาเลย โซยงทำหน้าเครียดขึงพร้อมสะบัดแขนออกทันที ทว่าร่างสูงกลับจับยึดแขนไว้เสียแน่น
“ไม่ใช่ว่าข้าตั้งใจจะกระทำการไร้มารยาทต่อเจ้า แต่เรื่องนั้นข้าพูดด้วยใจจริง มันต้องเป็นเช่นนั้น เจ้าถึงจะรักษาชีวิตเอาไว้ได้ โซยง ได้โปรดเถิด”
“ปล่อยเจ้าค่ะ!”
“ปล่อยไม่ได้! ทบทวนให้ดีเถิดโซยง พวกทหารกำลังจะมาแล้ว ท่านมหาเสนาบดีพลาธิการไม่ได้เรียกใช้ทหารเหล่านั้น แต่พวกเขาทั้งหมดเข้าใจว่าถูกท่านมหาเสนาบดีฯ เรียก เท่านี้เจ้าคงเข้าใจแล้วใช่หรือไม่ ท่านแม่ทัพและเหล่าทหารที่คนผู้นั้นนำมา ใกล้จะถึงที่นี่แล้ว อีกทั้งเหล่าผู้ใกล้ชิดของท่านมหาเสนาบดีพลาธิการก็จะถูกเรียกตัวมาเช่นกัน สตรีฉลาดเฉลียวเช่นเจ้าคงจะรู้ว่าหมายถึงอะไร มันไม่ใช่เรื่องที่ข้าจะสามารถทำอะไรได้ ทว่าอย่างน้อย แค่เจ้า! หากเจ้ากลายเป็นคนของข้าแล้ว หากเจ้ากลายเป็นสตรีที่ข้ารัก ท่านอาจะทำอย่างไรได้ แม้จะเป็นการดื้อดึง ข้าก็ยังยืนยันว่าจะทำเช่นนั้น ดังนั้นรีบเร่งเข้าเถิด!”
มูกิลมีท่าทีมุ่งมั่นอย่างยิ่ง ขณะนั้นโซยงก็เข้าใจถึงสิ่งที่อีกฝ่ายต้องการบอกกล่าวและเรื่องราวที่กำลังจะเกิดขึ้น นางนึกถึงบทสนทนาที่ได้คุยกับท่านพ่อเมื่อวันก่อนทันที
‘ดูท่าเรื่องนั้นจะไปเป็นในทิศทางนั้นสินะ ฝ่าบาทถึงทรงทำเช่นนั้น’
‘หากทรงคาดเดาอยู่ว่าผู้ใดเป็นผู้กระทำเช่นนั้น จะไม่ชิงลงมือก่อนหรือเจ้าคะท่านพ่อ’
‘หากข้าแตกหักกับคนผู้นั้น ไม่ใช่ว่าความคิดเห็นของราษฎรจะยิ่งเลวร้ายลงหรอกหรือ กระทั่งตอนนี้ เสียงบ่นว่าฝ่าบาทไม่ทรงสนใจดูแลบ้านเมืองก็แพร่สะพัดไปทั่วแล้ว’
‘ท่านพ่อ…’
‘และหากความริษยาของใครบางคนถูกปลุกระดมขึ้นมา ก็นับว่าข้าทำผิดยิ่งขึ้นอีก ดังนั้นแทนที่จะช่วยชีวิต เจ้าจงยอมรับช่วงสุดท้ายของชีวิต ด้วยฐานะบุตรสาวของมหาเสนาบดีพลาธิการผู้เสียสละเถิด’
ในที่สุดเรื่องนั้นมันก็เกิดขึ้นจริงๆ โซยงคิดพลางสูดหายใจเข้าลึก ก่อนจะค่อยๆ ผ่อนออกมาช้าๆ ยามนั้นนางรับฟังคำพูดของท่านพ่อและทำใจแข็ง นางไม่อยากเป็นสตรีน่าอับอายสำหรับผู้เป็นที่รัก แพคมูกิลขมวดคิ้วแน่น เฝ้ารอคำตอบของโซยงอย่างกระวนกระวาย และไม่นานนางก็เปิดปากเอ่ยอย่างเชื่องช้า
“ปล่อยมือข้าและกลับไปเสียเถิดเจ้าค่ะ ข้าคือบุตรสาวของมหาเสนาบดีพลาธิการ อีกทั้งยังเป็นหญิงคู่หมายที่น่าภาคภูมิใจของท่านพี่”
“ใยเจ้าถึงได้โง่งมเช่นนี้! ไม่รู้หรืออย่างไรว่าครอบครัวของผู้มีส่วนร่วมก่อกบฏจะต้องเป็นเช่นไร! ไม่ใช่ว่ามีเพียงข้าที่สามารถช่วยชีวิตเจ้าได้หรอกหรือ! แม้ข้าจะห้ามท่านอาไม่ได้ แต่อย่างน้อยข้าก็อยากช่วยชีวิตเจ้า มันเป็นครั้งแรกที่ข้าได้รักใครสักคน! จะให้ข้ามองดูเจ้าตายไปเฉยๆ ได้อย่างไร แค่เพราะไม่ต้องการเป็นอนุอย่างนั้นหรือ เช่นนั้นข้าจะหย่ากับฮูหยินเสีย เลิกให้หมดสิ้น หากเจ้ายอมทำตามที่ข้าบอก”
“การละทิ้งซึ่งคุณธรรมและรักษาเพียงชีวิตตนเอาไว้ มันจะมีประโยชน์อะไรกันเจ้าคะ ท่านเลิกกล่าวและกลับไปเถิดเจ้าค่ะ ขอบคุณที่ท่านพยายามช่วยชีวิตข้า แต่ข้าขอปฏิเสธ”
“โซยง ต้องมีชีวิตอยู่ก่อน ถึงจะเป็นการรักษาซึ่งคุณธรรมมิใช่หรือ เจ้าไม่กลัวความตายบ้างเลยหรืออย่างไร!”
“กบฏที่ท่านว่าจะมีผู้เป็นบิดาของข้ารวมอยู่ด้วย ทั้งยังมีพี่ชายของข้า หากได้ร่วมทางกับพวกเขา ข้าก็ไม่หวาดกลัวทั้งสิ้น อย่างไรมันก็เป็นจุดจบของชีวิต เพียงแค่มาถึงเร็วไปสักหน่อยก็หาใช่เรื่องใหญ่อะไรไม่”
คำพูดของโซยง ทำให้มือของอีกฝ่ายคล้ายสูญสิ้นเรี่ยวแรงก่อนจะร่วงหล่นลงอย่างแผ่วเบา ร่างกายสูงใหญ่เซถอยไปด้านหลัง สีหน้าบิดเบี้ยวอย่างเจ็บปวด
“มากับข้า… มันน่ารังเกียจยิ่งกว่าความตายอย่างนั้นสินะ”
“เป็นเช่นนั้น ไม่ว่าจะเป็นหรือตาย ผู้เดียวที่ข้าจะร่วมหอด้วยก็มีเพียงท่านพี่เท่านั้น ข้ารักท่านพี่โซกังเจ้าค่ะ”
จากนั้นโซยงก็หันหลังกลับด้วยสีหน้าเคร่งขรึมเหมือนไม่อนุญาตให้มูกิลเอ่ยคำใดอีก เสียงเท้าย่ำบนพื้นดินดังก้องท่ามกลางค่ำคืนอันมืดมิด
ทว่ากลายเป็นเรื่องน่าประหลาด เสียงฝีเท้ากลับดังก้องอย่างไม่มีสิ้นสุด แต่โซยงที่ทำท่าจะก้าวเดินต่อกลับหยุดชะงัก มูกิลจึงคว้าตัวนางไว้และจับพลิกหันกลับมาทางตน ตั้งใจจะกล่าวเป็นครั้งสุดท้ายเพื่อลองโน้มน้าวอีกเพียงครั้ง แค่ครั้งเดียว… ริมฝีปากสีแดงระเรื่อของโซยงขยับช้าๆ
“ปล่อยข้าเถิดเจ้าค่ะ”
“โซยง”
“ปล่อย ข้า เจ้าค่ะ”
ท้ายเสียงเน้นชัดจนพลันเกิดความรู้สึกหนาวสะท้านขึ้นมาทันใด แม้น้ำเสียงจะเล็กอย่างยิ่ง แต่กลับสั่นสะเทือนโดยรอบ จากนั้นก็เกิดเสียงบางอย่างกระแทกเข้ากับศีรษะของโซยงอย่างแรงจนเอียงผิดรูปผิดร่าง ร่างสูงตะโกนร้องเสียงดัง รีบผละตัวออกและค่อยๆ เซถอยไปด้านหลัง
“แพคมูกิล”
สตรีตรงหน้ายังคงเรียกชื่อเขาพร้อมขยับขาเข้าหาจนส่งเสียง กรอกแกรก ดังอยู่เรื่อยๆ ดวงตาจ้องเขม็งมองเขา ทั้งๆ ที่ศีรษะของนางยังโน้มเอียงอยู่ในท่าทางแปลกประหลาด
“เจ้าบังอาจทำให้ท่านพี่ของข้าได้รับความอับอาย ตลอดชีวิตนี้ เจ้าไม่อาจนอนหลับอย่างสบายใจได้อีก”
เสียงข่มขู่เย็นเยียบของโซยงดังก้องขึ้น มูกิลตะโกนโวยวายขณะเริ่มพลิกตัวหันหนี
“อ๊าก! อ๊ากกกก!”
“ท่านพี่ ท่านพี่!”
ด้วยการเขย่าตัวจากมือของสตรีผู้หนึ่ง ทำให้แพคมูกิลลืมตาขึ้นและพ่นลมหายใจออกมาอย่างแรง สัมผัสของอีกฝ่ายนำเขากลับมาจากค่ำคืนนั้น กลับมาสู่บนเตียงภายในห้องนอนของตัวเอง มูกิลกะพริบตาสองครั้ง ตั้งสติแล้วผลักภรรยาที่จ้องมองด้วยสายตาห่วงใยออกห่างอย่างแผ่วเบาก่อนจะลุกขึ้นนั่ง ฝันไปสินะ… ผู้เป็นภรรยารินน้ำใส่ถ้วยส่งให้สามี หลังจากดื่มน้ำเข้าไปรวดเดียวจนหมด ก็ปาดเช็ดเหงื่อที่ผุดออกมาจนเต็มหน้าผาก เขาก้าวเท้าเหยียบลงบนพื้นด้านล่างเตียงและสวมรองเท้า นางจึงเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเป็นกังวล
“ไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่เจ้าคะ เรียกหมอมาดีหรือไม่เจ้าคะ”
“ไม่เป็นไร ข้าจะไปรับลมสักหน่อย”
มูกิลผูกสายคาดเอวบนชุดนอนอย่างไม่เรียบร้อยนัก ก่อนจะเดินออกไปด้านนอก สายตาห่วงกังวลที่ติดตามมาด้านหลังทำให้เขารู้สึกลำบากใจและรำคาญใจไปพร้อมๆ กัน
เครื่องมือที่ติดตั้งเอาไว้บอกเวลาตกกระทบกับต้นไม้ใหญ่บอกเวลายามมโย[1] อากาศด้านนอกชื้นฝนอย่างหนัก แม้เวลาจะแตกต่างกัน แต่กลับมืดครึ้มเฉกเช่นเวลาเดียวกับเมื่อครั้นไปพบโซยง
“โซยง แม้เจ้าจะไปสวรรค์แล้ว ในใจของเจ้าก็ยังคงมีแค่มันสินะ”
แพคมูกิลพึมพำออกมาเมื่อนึกถึงยามโซยงกล่าวว่าเขาทำให้คนรักของนางต้องเสื่อมเสีย ไหนจะดวงตาแข็งกร้าวจ้องเขม็ง ไหนจะท่าทางประหลาดที่แสดงให้เห็น ในความฝันน่ากลัวเสียจนขนลุกเกรียว ทว่าลืมตาขึ้นกลับคิดถึงคะนึงหา ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดถึงรู้สึกอยากขอบคุณที่นางมาหากัน
หลังจากทำให้เจ้ายูโซกังต้องกลายเป็นเช่นนั้น ไม่นานนัก โซยงก็เริ่มมาปรากฏตัวในความฝัน บางครั้งก็อ้อนวอน บางครั้งก็ข่มขู่ บางครั้งก็ขอร้องให้ปล่อยท่านพี่ไปเสีย
แต่นี่เป็นครั้งแรกที่นางปรากฏตัวด้วยท่าทางประหลาดเฉกเช่นเมื่อครู่ เขาคิดว่าคงเป็นเพราะยูโซกังกลายเป็นสนมขององค์จักรพรรดิ โซยงถึงมีท่าทีเช่นนี้ ได้ยินข่าวลือหนาหูจากวังหลวงว่าความสัมพันธ์ของฝ่าบาทกับโซอีเป็นไปได้ด้วยดี หากเป็นเช่นนั้นก็ไม่ใช่หมายความว่าเจ้ายูโซกังนั่นมอบใจให้ฝ่าบาทแล้วอย่างนั้นหรือ โซยงถึงมาหาเขาด้วยความคับแค้นใจ เพราะไม่ว่าเป็นหรือตายอย่างไร นางก็รักเพียงมันผู้เดียว
“ไอ้ขอทาน สงบเสงี่ยมอยู่ในเรือนทาส… ได้ลิ้มรสการเสพสมไปตั้งเท่าไร”
แพคมูกิลกำหมัดแน่นพลางพึมพำ เจ้านั่นปฏิเสธหนทางการอยู่รอด และท้ายที่สุดก็ทำตัวไม่ต่างจากหลงลืมโซยงที่ต้องถูกตัดหัวไปเสียสิ้น
หากไม่ใช่เช่นนั้น มันย่อมไม่มีทางยอมรับการแต่งตั้งจนขึ้นเป็นสนม หากไม่ใช่เช่นนั้น มันไม่มีทางร่วมหลับนอนกับฝ่าบาทจนเหนื่อยหอบข้ามวันอันแสนยาวนานเป็นแน่แท้
เขาก้าวเดินเตร็ดเตร่อย่างไม่สบายใจพร้อมกัดเล็บไปด้วย โซยงปรากฏตัวในความฝันคอยคุกคามเขาอยู่เสมอ และในที่สุดวันนี้ฝันร้ายจากนางก็บิดเบือนสติปัญญาของมูกิลจนหมดสิ้น
“เช่นนั้นสินะ โซยงอา… ยังเหลือสิ่งที่ข้าจะสามารถทำให้เจ้าได้อยู่”
ชายหนุ่มยิ้มออกมาราวกับโซยงยืนอยู่ตรงหน้า เสียงของนางดังขึ้นในโสตประสาท ไม่รู้ว่าฝันร้ายนั้นมีสาเหตุมาจากความคิดถึงที่มีต่อนาง หรือความละอายที่ทำให้คนรักของนางตกต่ำจนถึงที่สุดกันแน่ แต่เขาไม่ระแวงในความเชื่อมั่นที่โซยงมาหาตนเลย
แพคมูกิลแย้มยิ้มออกมา ขณะเบนสายตามองไปเรือนทาสในมุมหนึ่งของจวนแทนที่จะกลับห้องนอน
[1] ยามมโย ช่วงเวลาตีห้าถึงเจ็ดโมงเช้า