จากนั้นเขาก็ก้าวเข้าไปในเรือนทาส เขย่าปลุกทาสผู้นอนอยู่ใกล้ที่สุดขึ้นมา อีกฝ่ายสะลึมสะลือขยี้ตาก่อนจะตั้งสติ และเมื่อรู้ว่าผู้ปลุกคือแพคมูกิล ก็รีบร้อนคุกเข่าคำนับทันที
“มีเรื่องอันใดหรือขอรับ นายท่าน”
“จงไปยังร้านผ้าไหมบนเส้นทางชองรยงเดี๋ยวนี้ ขึ้นไปชั้นสองแล้วตามหาทันยอบ บอกให้มาพบข้า เจ้าต้องรอจนกว่าคนผู้นั้นจะเตรียมตัวพร้อมแล้วพามาด้วยกัน เข้าใจหรือไม่ หากมาถึงแล้วก็ให้ไปแจ้งข้าที่ห้องตำรา”
“ขอรับนายท่าน”
หลังตอบรับคำสั่งก็ลุกขึ้นจัดเสื้อผ้าของตนให้เรียบร้อย และเนื่องจากด้านนอกมีฝนโปรยปรายจึงนำชุดคลุมกันฝนจากมุมหนึ่งของเรือนทาสมาสวมทับ และสวมหมวกตามอีกที แพคมูกิลเหลือบมองอีกฝ่ายก่อนจะก้าวออกมาจากเรือนทาสพร้อมกัน ทาสผู้นั้นไปทางประตูใหญ่ ส่วนเขาก็เดินขยี้ตาตรงไปยังห้องตำรา
ตาค้างเสียจนไม่อาจหลับลงได้อีก แม้จะพยายามนอนก็รู้สึกเหมือนถูกก่อกวนจากโซยง ดังนั้นแพคมูกิลจึงล้มเลิกการเข้านอน แล้วมานั่งอยู่ในห้องตำราด้วยสีหน้าเคร่งเครียดแทน ทว่ากลิ่นความเก่าเก็บกำจายจากตำราเหล่านั้นทำให้นึกถึงยูโซกังอยู่เรื่อย รวมถึงสตรีผู้รักโซกังอย่างถึงที่สุดด้วย
“เจ้าชอบไอ้เจ้าคนจืดชืด เถรตรง ทั้งยังคล้ายมีกลิ่นเหม็นสาบตำราจากในมือเช่นนั้นที่ใดกัน”
ตัวเขาไม่เคยชื่นชอบกลิ่นเหม็นหืนของตำรา ทั้งในอดีต ทั้งในปัจจุบัน ยูโซกังก็ยังมีงานอดิเรกเป็นการศึกษาตำรา ดังนั้นเขาจึงไม่อาจเข้าใจว่าเหตุใดโซยงถึงรักบุรุษผู้ใช้ชีวิตกับตำรา มีแต่กลิ่นกระดาษและน้ำหมึกฟุ้งจากกายถึงเพียงนั้น และตนก็ไม่ปรารถนาจะเข้าใจด้วย
ไอ้ตัวซวยที่เอาแต่กล่าวว่าคำสอนของเหล่าวิญญูชนในอดีตเป็นอย่างไร ทั้งยังชอบถกเรื่องความถูกต้องและคุณธรรมกับตน
แพคมูกิลฟุบหน้าแนบโต๊ะพึมพำถ้อยวาจาไม่รู้ความ ท่าทางดูไม่ดีเอาเสียเลย จนถึงขนาดว่าหากผู้ใดเข้ามาพบคงจะคิดว่าเขาเสียสติไปแล้ว
เวลาเคลื่อนคล้อยผ่านไปเช่นนั้น กระทั่งมีบุรุษสวมอาภรณ์สีดำเรียบง่ายก้าวเข้ามาในห้องตำราแล้วโค้งคำนับ
“เรียกหาข้าน้อยหรือขอรับ นายท่าน”
“มาเร็วดี นั่งลงก่อน ข้ามีเรื่องเร่งด่วนจะสั่งจึงเรียกเจ้ามา”
“เชิญพูดมาเถิดขอรับ”
“หากข้าส่งเจ้าเข้าไปในวังหลวง เจ้าจะสามารถแอบเข้าวังหลังได้หรือไม่”
“ได้ขอรับ เป็นเรื่องที่ต้องกระทำภายในวังหลังหรือขอรับ”
“เป็นตำหนักฮงฮวา แล้วข้าจะจ่ายให้เถ้าแก่ร้านผ้าไหมสามเท่า”
“ทราบแล้วขอรับ”
บุรุษผู้นั้นทำสีหน้าซาบซึ้งอย่างยิ่ง ก่อนจะค้อมคำนับแสดงความเคารพต่อแพคมูกิลอีกครา
* * *
สี่วันผ่านไปฝนก็ยังไม่หยุดตก แต่แน่นอนว่าปริมาณของมันนั้นเดี๋ยวน้อย เดี๋ยวมาก มีทั้งยามตกปรอยๆ และตกกระหน่ำราวกับฟ้ารั่ว ทว่าด้วยเป็นช่วงเวลาที่ทุกคนต้องการใช้น้ำในปริมาณมากพอดี ฝนนี้จึงเป็นฝนที่เหล่าราษฎรผู้ทำการเกษตรรอคอยมาแสนนาน มิใช่ฝนที่ตกอย่างไร้เหตุผล
ดังนั้นราษฎรจึงเริ่มพากันแซ่ซ้องว่าสนมผู้ได้รับความเอ็นดูจากฝ่าบาท เป็นผู้ได้รับพรจากสวรรค์
หลังจากโซกังได้รับการแต่งตั้ง แสงอาทิตย์ก็เปี่ยมพลังมากกว่าช่วงเวลาเดียวกันในปีก่อน ส่งผลให้บรรดาพืชผลอุดมสมบูรณ์ และครานี้ก็เป็นฝนที่ตกต้องตามช่วงเวลาอันเหมาะสม ทั้งยังเป็นช่วงเวลาที่ต้องการฝนพอดิบพอดี ส่วนความจริงว่าฝ่าบาทหวงแหนและเอ็นดูโซอีมามา ก็เป็นเรื่องที่ทุกคนในเมืองหลวงแทรยงต่างทราบกันเป็นอย่างดี อีกทั้งยังกระจายไปถึงด้านนอกเมืองแทรยงด้วย เหตุเพราะการแต่งตั้ง อากาศของอาณาจักรถึงดีเช่นนี้ ข่าวลือค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นเช่นนั้น
แน่นอนว่าเหล่าขุนนางล้วนไม่พึงพอใจ โดยเฉพาะเหล่าขุนนางของกลุ่มเชส่วนหนึ่งที่ยึดครองที่นั่งในท้องพระโรง ขนาดแพคมีกัง ผู้นั่งอยู่ในตำแหน่งมหาเสนาบดีฝ่ายตุลาการ และกลายเป็นที่ปรึกษาพิเศษจึงไม่จำเป็นต้องออกมายังท้องพระโรงด้วยตนเอง กลับยังส่งฎีกาขอให้ฝ่าบาททรงแก้ไขความเข้าใจผิดของราษฎรมาหลายหน ทว่าจาฮอนกลับติดประกาศอย่างเหมาะสมแทน
ด้วยเพราะเป็นข่าวลือที่ชวนให้อารมณ์ดี คำชื่นชมที่ผู้เป็นภรรยาของตนได้รับ ไม่ใช่เรื่องควรค่าให้ขุนนางรอบนอกป่าวประกาศหรอกหรือ
ถึงอย่างไรก็ตาม นับว่าในระยะนี้จาฮอนอารมณ์ดีเป็นอย่างมาก
“หากไม่มีเรื่องอื่นอีก ก็พอเท่านี้”
หลังเสร็จสิ้นการประชุมหารือราชการกับขุนนาง ฝ่าบาทก็เสร็จต่อไปยังตำหนักอุนฮยอนเฉกเช่นปกติ ทว่าระหว่างทางบังเอิญสะดุดตากับบุรุษไม่คุ้นหน้าค่าตาผู้นั้น โดยปกติแล้วแม่ทัพแพคมูกิลมักจะอยู่ลำพังเสมอ แต่ยามนี้กลับมีใครบางคนติดตามอยู่ด้านหลัง จาฮอนขมวดคิ้วเคร่งเครียดพลางก้าวไปหาอีกฝ่าย
“ท่านแม่ทัพ เราไม่เคยจะได้ยินว่าท่านมีบุตรหรือน้องชายมาก่อน และหากเป็นบุตรจริงๆ ก็ดูจะโตเกินไปหน่อย ในเมื่อท่านพาเข้ามาในตำหนักฮวังรยงที่มีการประชุมขุนนางตามใจชอบเช่นนี้ เราคงพอจะถามได้ว่าเขาเป็นผู้ใด”
“ถวายพระพรฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ”
บุรุษหนุ่มที่ยืนอยู่ด้านหลังแม่ทัพคุกเข่าลงค้อมคำนับแสดงความเคารพ จาฮอนจ้องมองอย่างสงสัยอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะเบนสายตาไปยังแม่ทัพ แต่คนผู้นั้นก็เอ่ยขึ้นทั้งๆ ที่ยังหมอบอยู่
“กระหม่อมสกุลแพค นามว่ายอบ เป็นญาติห่างๆ กับท่านแม่ทัพพ่ะย่ะค่ะ”
“ดูท่าคงได้พบกันเป็นครั้งแรกสินะ”
“เดิมทีกระหม่อมอาศัยอยู่ในหมู่บ้านบนเขาห่างไกล นอกเมืองแทรยง แต่ด้วยบิดามารดาเสียแล้ว จึงได้ย้ายมาที่นี่พ่ะย่ะค่ะ”
“อย่างนั้นหรือ เข้าใจแล้ว ท่านแม่ทัพ อย่างไรก็ตาม ยามประชุมขุนนางก็มีเพียงผู้ได้รับเบี้ยหวัดจากหลวงเท่านั้นที่เข้าร่วมได้นะ”
“ขอประทานอภัยพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท”
จาฮอนเดินผ่านบุรุษนามว่าแพคยอบและแม่ทัพแพคมูกิลออกจากตำหนักฮวังรยง และก้าวไปทางห้องทรงงานในตำหนักอุนฮยอนเช่นเคย ทันทีที่เสร็จสิ้นการประชุมขุนนาง แม่ทัพกับแพคยอบก็แอบทำอะไรบางอย่างลับๆ ล่อๆ ร่วมกันต่างจากปกติ
แพคมูกิลพยายามเคลื่อนไหวโดยไม่ให้เป็นที่สะดุดตา ทว่ายามเข้าไปยังตำหนักฮวังรยงนับเป็นเรื่องหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่ตนต้องอยู่กับแพคยอบ เพราะผู้ที่สามารถเข้าวังในยามเช้าได้มีเพียงเหล่าขุนนางเท่านั้น อีกทั้งหนทางอื่นก็สะดุดตาเกินไป สุดท้ายจึงถูกฝ่าบาทพบเข้า แต่ถึงกระนั้นก็คิดว่าหลบเลี่ยงได้ดีแล้ว เนื่องจากพระองค์ไม่มีสายพระเนตรสงสัย รวมถึงไม่ได้ซักไซ้ไล่เลียงอันใดมากมาย
แม่ทัพหลบเลี่ยงสายตาผู้คนขณะเดินไปทางตำหนักฮงฮวาพร้อมแพคยอบ หรือแท้จริงก็คือทันยอบนั่นเอง ก่อนจะกระซิบกระซาบเรื่องที่ต้องจดจำหากแฝงตัวเข้าไปในตำหนักฮงฮวา อีกฝ่ายยกยิ้มบางพร้อมเอ่ยรับคำของแพคมูกิล
“ข้าน้อยทราบสิ่งที่ท่านแม่ทัพบอกกล่าวเป็นอย่างดีแล้วขอรับ”
“รู้แล้วสินะ เช่นนั้นก็ให้คิดเสียว่าเป็นความกังวลของผู้อื่นเถิด”
แพคมูกิลเองก็ตอบรับถ้อยวาจาของทันยอบ พลางขยับก้าวเดินอย่างเป็นธรรมชาติตามหลังไป หากเป็นที่ที่ไม่สะดุดตาผู้คน ทันยอบย่อมทราบดีกว่าตัวเขา
ระหว่างก่อนจะถึงตำหนักฮงฮวา ทันยอบก็หยุดฝีเท้าลงและหลบเข้าไปยังพื้นที่เปลี่ยวร้างระหว่างตัวตำหนัก มูกิลจึงส่งชุดขันทีที่ซุกซ่อนไว้เป็นอย่างดีภายในอาภรณ์ของตน รวมถึงรองเท้าข้อยาวยื่นให้ เมื่ออีกฝ่ายรับมันไปแล้ว เขาก็เอ่ยกำชับทันที
“ยิ่งเร็วยิ่งดี แต่จะต้องรอบคอบ และหากถูกจับได้ขึ้นมาจะต้องทำอย่างไร เจ้ารู้ใช่หรือไม่”
“ข้าน้อยจะไม่แพร่งพรายอันใด อย่าได้กังวลเลยขอรับ”
มูกิลพยักหน้าเล็กน้อยอย่างพึงพอใจกับคำตอบที่ได้รับ จากนั้นก็หันกายกลับไปยังทางที่เพิ่งเดินมา หลังจากโดนทิ้งอยู่เพียวลำพัง ทันยอบก็จ้องมองตามแผ่นหลังใหญ่กว้างของแม่ทัพ ก่อนจะแอบซ่อนอยู่ในฝูงคนโดยไม่ให้เป็นที่สะดุดตา ด้วยร่างกายปราดเปรียวและไม่ได้สูงใหญ่นักจึงเหมาะกับการแฝงตัวยิ่งนัก เป็นผลจากการเคยอดอยากจนหิวโหยอย่างถึงที่สุด ทันยอบครุ่นคิดว่าถ้าหากตนว่าได้กินอิ่ม จะตัวโตขึ้นหรือไม่อยู่ครู่หนึ่งแล้วส่ายหน้าไปมา เพราะคำว่า ‘ถ้าหาก’ เป็นคำโง่เง่าและน่าขันที่สุดในโลกใบนี้ เขาวาดยิ้มอ่อนโยนขณะคิดถึงบางสิ่ง แต่แล้วก็พลันเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มขมขื่นในทันใด
“ไร้สาระ”
บ่นพึมพำออกมาเล็กน้อยและย่อตัวลงทั้งๆ ที่ไม่ได้ขยับเขยื้อน ทันใดนั้นลมหายใจก็ค่อยๆ ช้าลง จากนั้นร่องรอยที่บ่งบอกว่ามีเคยคนอยู่ที่นั่นก็สลายหายไปสิ้น
อันที่จริงก่อนตนจะมาถึง บริเวณนั้นเคยเป็นสถานที่ที่ถูกใช้งานมาก่อนหน้านี้แล้วครั้งหนึ่งเมื่อครั้นจักรพรรดิองค์ก่อน ยิ่งกว่านั้น ทันยอบก็เคยซ่อนตัวอยู่ในวังหลวงมาแล้วเช่นกัน ทว่าครั้งนี้กลับต่างจากครั้งนั้นเพราะต้องกำจัดร่องรอยอย่างรอบคอบ เนื่องจากคราจักรพรรดิองค์ก่อนนั้น การคุ้มกันภายในวังหลวงค่อนข้างหละหลวมอย่างมาก ไม่มีความจำเป็นใดๆ ต้องกำจัดร่องรอยละเอียดเช่นนี้ ทว่ายามนี้แตกต่างโดยสิ้นเชิง เขาจึงต้องใส่ใจระมัดระวังรอบคอบมากขึ้นเพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์พลิกผัน ใช้เวลาครู่หนึ่งจนกระทั่งที่นั่นไม่หลงเหลือใบไม้แม้แต่ใบเดียว