เวลาเคลื่อนผ่านไปเพียงใดกันแล้ว
เมื่อจัดการงานในตำหนักอุนฮยอนเสร็จสิ้น จนกระทั่งจัดการกับสำรับมื้อกลางวันเรียบร้อย จาฮอนก็ก้าวเดินไปยังตำหนักฮงฮวาเช่นเคย
ฟังเสียงพร่ำบ่นของขันทีโชว่าให้รักษาเกียรตินั่นเกือบสี่รอบ ชายฉลองพระองค์ก็สะบัดพลิ้วตามการก้าวย่างอย่างรวดเร็ว แต่จู่ๆ จาฮอนก็ชะงักฝีเท้า เพราะมีความรู้สึกแปลกประหลาด หรืออาจจะเป็นเพราะลางสังหรณ์บางอย่าง
ด้วยความที่ฝ่าบาททรงหยุดอย่างกะทันหัน เหล่าขันทีจึงเกือบจะล่วงเกินพุ่งเข้าชน ได้แต่รีบค้อมคำนับพร้อมเอ่ยขอประทานอภัยทันควัน ขันทีโชอยากบอกกล่าวแก่พวกเขาว่าไม่ต้องหวาดกลัวไปหรอก ฝ่าบาทไม่ใช่ผู้สั่งลงโทษใครด้วยเรื่องเช่นนั้น ทว่าขณะกำลังจะขยับปาก ก็หันไปจ้องมองพระองค์ก่อน
ก่อนนั้นหากนับว่าทรงเด็ดขาดดังเช่นคมดาบ แต่ไม่นานมานี้เหมือนว่าดาบนั้นจะคืนปักประดับโรงตี ทว่าเมื่อคิดว่าทั้งหมดนี้ล้วนเป็นเพราะโซอีมามา ขันทีโชจึงเอ่ยปากถามอย่างระมัดระวัง
“ฝ่าบาทมีเหตุอันใดหรือพ่ะย่ะค่ะ”
“ขันทีโช มานี่หน่อย”
“พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท”
หลังจากสั่งกำชับกับเหล่าหัวหน้าขันทีและขันทีผู้ติดตามแล้ว ขันทีโชก็ขยับก้าวตามหลังเจ้าเหนือหัว จาฮอนเว้นระยะห่างไม่ให้เหล่าขันทีและนางกำนัลด้านหลังได้ยินบทสนทนาอันเป็นความลับนี้ ก่อนจะขยับปากไปใกล้หูขันทีโช
“ได้ลอบสังเกตการณ์ตามที่ข้าสั่งหรือไม่”
“พ่ะย่ะค่ะ”
“เช่นนั้นคงจะเห็นแม่ทัพเมื่อครู่”
“เป็นเช่นนั้นพ่ะย่ะค่ะ”
“จงไปสืบเรื่องเกี่ยวกับแพคยอบ ชายผู้มากับแม่ทัพอย่างละเอียดแล้วมารายงานข้า”
“ทราบแล้วกระหม่อม”
“แล้วก็รอบๆ ตำหนักฮงฮวายังมีสายตาสอดส่องน้อยไป”
“พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท”
อาจด้วยความบังเอิญ เพราะจุดที่จาฮอนยืนอยู่นั้น เป็นตำแหน่งที่ไม่ไกลจากบริเวณซ่อนตัวของทันยอบมากนัก เขาจึงรู้สึกถึงร่องรอยและความว่างเปล่าที่มากเกินควร ทว่าตนก็ไม่ใช่ทหาร สัญชาตญาณไม่ได้นับว่าดีขนาดนั้น จึงไม่รู้แน่ชัดว่ามีคนอยู่หรือไม่
หลังจากสั่งการกับขันทีโช ก็รู้สึกโล่งใจขึ้นมานิดหน่อยถึงถอนหายใจแผ่วเบา ก่อนจะเริ่มขยับก้าวอีกครั้ง แน่นอนว่าจุดหมายก็คือตำหนักฮงฮวาเช่นเดิม
เพื่อพูดคุยสนทนาความลับกับขันทีโช จึงเว้นระยะจากเหล่าขันทีผู้อื่นออกมาพอสมควร แต่จาฮอนหาได้คำนึงถึงสิ่งนั้นไม่ กลับก้าวเดินอย่างรวดเร็วจนชายฉลองพระองค์สะบัดแรง ด้วยเหตุนั้นทำให้เหล่าขันทีต้องสาวเท้าก้าวตามหลังฝ่าบาทราวกับวิ่งไล่
เมื่อเดินทางมาถึงหน้าตำหนักฮงฮวาอย่างลำบากด้วยฝีเท้าที่เรียกได้ว่าไม่สำรวม ก็หอบหายใจพักหนึ่ง ก่อนจะไล่เหล่าขันทีที่วิ่งตามมาด้านหลังออกไปทั้งหมด เขาออกคำสั่งกับขันทีโชต่ออีกไม่กี่เรื่อง จากนั้นจึงก้าวเข้าไปด้านในตำหนักฮงฮวาผ่านประตูชั้นที่หนึ่งและชั้นที่สองที่เหล่านางกำนัลเปิดรอ แต่พอมาถึงหน้าประตูชั้นที่สามหรือชั้นในสุด ร่างสูงก็เอ่ยกับเหล่านางกำนัลที่ค้อมคำนับอยู่หน้าประตู
“รายงานไป”
“เพคะฝ่าบาท”
พวกนางก้มตัวลงต่ำยิ่งกว่าเดิมและเอ่ยตอบรับเสียงเบา ก่อนจะหันไปกล่าวรายงานกับด้านใน
“โซอีมามา ฝ่าบาทเสด็จมาเพคะ”
“เชิญเสด็จเข้ามาได้”
หลังได้ยินคำตอบจากด้านใน เหล่านางกำนัลก็ค่อยๆ เปิดประตูออก เมื่อองค์จักรพรรดิเข้าไปด้านใน ก็ทำการปิดประตูลงอย่างเชื่องช้าและแผ่วเบา
“มาแล้วหรือพ่ะย่ะค่ะ”
ขณะนั้นโซกังนั่งอยู่บนเตียง ร่างบางขยับยกโต๊ะไปด้านข้างแล้วก้าวลงมาหา ค้อมคำนับอย่างนอบน้อม จาฮอนลูบลาดไหล่บางอย่างอ่อนโยน จากนั้นก็นำตำราสองเล่มออกมาจากอกเสื้อตน นั่นเป็นตำราที่อีกฝ่ายบอกว่าอยากเห็น ทว่าทั้งๆ ที่สามารถรับสั่งกับขันทีก็ได้ แต่จาฮอนกลับเป็นผู้นำมาให้ด้วยตนเอง
“ฝ่าบาท ทรงนำมาด้วยพระองค์เองอีกแล้วหรือพ่ะย่ะค่ะ”
“ใช่สิ ข้าต้องเป็นผู้นำมาให้เจ้าเองอยู่แล้ว”
“ขอประทานอภัยที่กระหม่อมทำให้ทรงวุ่นวาย”
“ไม่หรอก หากเจ้าไม่ขอร้องต่างหาก ข้าถึงจะวุ่นวายใจ การรับฟังคำขอร้องจากบุรุษผู้งดงามเช่นนี้ ไม่ใช่ว่าเป็นเรื่องสมควรแล้วหรือ”
“ฝ่าบาท กระหม่อมเขินอายนัก ใยถึงทรงใช้คำว่างดงามเอ่ยชมชายชาตรีเช่นนี้ คราวหน้าโปรดรับสั่งกับขันทีเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
“ไม่ได้หรอก มันเป็นเรื่องแน่นอนอยู่แล้วที่สามีต้องเป็นผู้นำมาให้ภรรยา”
คำกล่าวนั้นทำให้โซกังยกยิ้มกว้างขณะเอนศีรษะซบลงในอ้อมกอดของอีกฝ่าย จาฮอนลูบไล้เส้นผมยาวสลวยพร้อมสีหน้าคล้ายรู้สึกผิด
เพราะร่างบางต้องใช้ชีวิตเหมือนถูกกักขังอยู่แต่ภายในตำหนักฮงฮวา แม้มันจะไม่ใช่การกักขังจริงๆ ก็ตาม เป็นถึงสนมผู้ได้รับความรักความโปรดปรานเป็นที่หนึ่ง แต่กลับไม่สามารถไปไหนมาไหนในวังหลวงได้อย่างอิสระ
กระทั่งเหล่าขุนนางที่เข้าออกวังหลวง ก็ถูกจำกัดสถานที่ที่สามารถกก้าวเดินไปไหนมาไหน ดังนั้น หากไม่ใช่โอกาสพิเศษขององค์จักรพรรดิ เหล่าขุนนางก็จะไม่ปรากฏกายต่อหน้าฝ่ายใน สุดท้ายโซกังจึงสามารถเดินเล่นอยู่ได้แค่ภายในตำหนักฮงฮวา และสวนของตำหนักคอนรยุงผ่านทางประตูหลังของตำหนักฮงฮวาเท่านั้น
แต่เจ้าตัวก็พึงพอใจกับการเดินเล่นในสวน และเมื่อฝ่าบาททรงนำตำรามาให้ด้วยพระองค์เอง ตนก็อยากส่งผ่านความดีใจให้อีกฝ่ายรับรู้
เมื่อโซกังซบหน้าลงกับอ้อมของจาฮอนแล้ว บรรยากาศก็พลันประหลาดทันที ร่างสูงลูบไล้ตามสะโพกอิ่มอย่างแผ่วเบาพร้อมเอ่ยถาม
“เจ้ารอข้าอยู่หรือ”
“พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท”
“จะบอกว่าเมื่อวานก็รอ วันนี้ก็ยังรอหรืออย่างไร”
“กระหม่อมรออยู่ทุกวันพ่ะย่ะค่ะ เพราะว่ารัก”
คำตอบเช่นนั้นทำเอาจาฮอนยิ้มออกมาด้วยความพึงพอใจ ก่อนจะดึงอีกฝ่ายเข้ามาแล้วกระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้น จากนั้นก็แนบริมฝีปากเข้าหากันอย่างแผ่วเบา โซกังลูบผ่านริมฝีปากของจาฮอน
“วันนี้ก็ทรงเหน็ดเหนื่อยมากอีกแล้ว มีเรื่องอะไรให้ต้องใส่ใจเป็นพิเศษหรือพ่ะย่ะค่ะ”
“เปล่า ไม่มีอะไรหรอก แต่ข้าได้กลิ่นน้ำหมึก เจ้ากำลังทำอะไรอยู่”
“แค่ลองจับพู่กันหลังจากไม่ได้แตะต้องมานาน”
“เจ้ากล่าวว่านานแล้วอย่างนั้นหรือ”
“เป็นเช่นนั้น เมื่อก่อนกระหม่อมแทบไม่เคยวางมือจากพู่กันเลย แต่…ก็ราวๆ สองปีแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
จาฮอนไม่ได้ถามต่อ แต่กลับแนบจุมพิตลงบนแก้มของโซกังอย่างนุ่มนวล ถึงสีหน้าจะเคร่งขรึมลงเพราะอยากถามอย่างยิ่ง เขาพยายามไม่ย้ำเตือนความจำเมื่อครั้นเป็นทาสหลวง ทว่าเมื่อสนทนากันแล้ว ก็กลับกลายเป็นทำให้อีกฝ่ายนึกย้อนถึงอยู่บ่อยครั้ง
แม้ว่าร่างบางจะไม่รู้ตัว แต่ยามนอนหลับเข้าสู้ห้วงนิทรา เจ้าตัวยังคงละเมอถึงความอัปยศ ทั้งพร่ำเพ้อกับความเจ็บปวด ทั้งละเมอว่าอยากตาย เรียกหาคยองโซยง บุตรสาวของมหาเสนาบดีฝ่ายพลาธิการ อดีตคู่หมั้นคู่หมาย แม้ปากจะบอกว่าในใจมีเพียงตน แต่ดูเหมือนโซกังจะต้องการเวลาเพื่อลืมสตรีผู้นั้นเช่นกัน
เขาดึงตัวโซกังเข้ามากอดอย่างแรงอีกครา ก่อนจะจับให้นั่งบนเก้าอี้ข้างโต๊ะ บนโต๊ะมีขนมยักกวาและน้ำชาวางอยู่
“เจ้านั่งดื่มชาและกินขนมยักกวาอยู่ตรงนี้ ข้าคงต้องชื่นชมลายมือของผู้เป็นที่รักเสียหน่อย”
“น่าอายนักพ่ะย่ะค่ะ ปล่อยสิ่งนั้นไว้แล้วทานขนมด้วยกันเถิด”
“รู้หรือไม่ว่าตัวเจ้ามีกลิ่นหมึกจางๆ โซกัง ยิ่งเจ้ามีกลิ่นหมึกติดตัว ยิ่งทำให้ข้าสัมผัสถึงความงดงามของลายมือเจ้า”
โซกังรีบร้อนลุกจากที่นั่งและยื่นมือออกไปหมายจะคว้าแผ่นกระดาษจากอีกฝ่าย ทว่าด้วยส่วนสูงที่ต่างกัน มือเรียวบางจึงไม่มีทางเอื้อมสัมผัสถึงกระดาษสุดปลายแขนของจาฮอน
“กระหม่อมขอคืนเถิด มันน่าอายจริงๆ นะพ่ะย่ะค่ะ”
“หากทำรุนแรงจะขาดเอาได้ ฉะนั้นจงอยู่นิ่งๆ เสียเถิด ก็รู้ไม่ใช่หรือว่ากระดาษมันเปราะบางเพียงใด”
จาฮอนมองเจ้าของสีหน้าละล้าละลัง ทั้งยังขึ้นสีแดงจัดด้วยความขลาดเขิน ก่อนจะยิ้มกว้างเพราะรู้สึกว่าช่างน่าเอ็นดูอย่างยิ่ง จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นชื่นชมแผ่นกระดาษในมือตน เป็นลายมือประณีตงดงาม แต่ลายเส้นกลับนุ่มนวลเฉกเช่นเจ้าตัว
เขาโยนกระดาษทิ้งบนเตียง แล้วดึงโซกังเข้ามากอดอย่างรวดเร็ว
“ท่านจาฮอน!”
“เหตุใดกระทั่งลายมือของเจ้าก็ยังงดงามเช่นนี้เล่า ไม่มีส่วนใดไม่งดงามเลยสินะ”
“กระหม่อมได้ฟังคนเรียกว่าคนหลงตัวเองเป็นร้อยๆ รอบแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“อย่างนั้นหรือ ก็มิใช่ว่าพูดผิดนะ”
เมื่อคำพร่ำบ่นว่าเกินจะห้ามดังจากปากโซกัง จาฮอนก็แทบจะไม่ปล่อยอีกฝ่ายเลย
หลังจากเกิดความโกลาหลเช่นนั้นอยู่พักหนึ่ง พวกเขาก็นั่งบนเก้าอี้หันหน้าเข้าหากัน ดื่มชาและทานขนมยักกวา น่าแปลกที่วันนี้ฝ่าบาทไม่มีกะจิตกะใจอยากไปร่วมประชุมขุนนางยามบ่ายเลย
ทั้งๆ ที่โซกังเอ่ยเร่งอยู่เรื่อยๆ แต่ร่างสูงก็ยังใช้เวลากับการกอดสนมรักอยู่บนแท่นบรรทม และในที่สุดก็ออกคำสั่งแก่ขันทีโชที่มาตามว่าตนจะประชุมขุนนางที่ตำหนักฮงฮวา ขันทีโชจึงต้องกลับไปแจ้งแก่เหล่าขุนนาง ถึงแม้โซกังจะว้าวุ่นใจเพียงใด จาฮอนก็ยังคงนั่งนิ่งกับที่อยู่ดี