เรื่องราวเป็นเช่นนั้น โซกังเองก็ไม่ได้เห็นกับตา เพียงแค่ได้ยินมาเท่านั้น แน่นอนว่าท่านพ่อและท่านมหาเสนาบดีฝ่ายกลาโหม รวมถึงมูฮยอนและโซยงล้วนถูกจับขังคุก เขาเองก็ด้วย ทว่าตอนนั้นมีผู้คุมเปิดประตูเดินเข้ามาด้านใน และนั่นคือความทรงจำสุดท้าย
คลับคล้ายคลับคลาว่าถูกตีเข้าที่ศีรษะ และเหมือนได้ยินเสียงกรีดร้องของโซยง ก่อนจะถูกนำตัวผ่านสถานที่อันมืดมิด ความทรงจำกระจัดกระจายและเลือนรางอย่างมากจึงไม่สามารถคาดเดาสิ่งใดได้ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะร่างกายขยับไหวอยู่ตลอดจนสติมึนงงเช่นนั้นหรือไม่
ความทรงจำขาดหายกลับมาปะติดปะต่อได้บนพื้นดินหลังได้ฟื้นคืนสติกลับมา พบว่าตัวเองถูกขังในที่แคบแค่พอให้นอนขดตัว โซกังกระแทกตัวเข้ากับผนัง ทว่าสิ่งที่ได้รับกลับมาเป็นเพียงเสียงกระแทกประตูเหล็กหนาเท่านั้น พื้นที่บริเวณนี้คล้ายกับถังไม้ มันไม่มีแสงยามค่ำคืนสาดส่องเข้ามาแม้แต่น้อย เขาขดตัวแนบหูฟังสรรพเสียงภายนอก
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าใด จนแสงยามพระอาทิตย์ขึ้นส่องสว่างทะลุผ่านช่องว่างเพียงให้ไรฝุ่นลอด แสงเลือนรางทำให้สังเกตเห็นว่าภายในนี้มีถ้วยใส่น้ำวางอยู่ แต่เนื่องจากมันไม่ได้สว่างเจิดจ้า เขาจึงคลำไปตามผนังและพื้นดินเพื่อสำรวจอย่างละเอียด นอกจากถ้วยใส่น้ำแล้ว ก็หามีสิ่งอื่นใดอีกไม่ และเนื่องจากรู้สึกลำคอแห้งผาก หลังจากลองดมกลิ่นน้ำดูแล้ว โซกังจึงยกมันขึ้นมาดื่ม
เขาอยู่ภายในนั้นโดยไม่ได้กินอะไรเลยนอกจากน้ำนั่น กระทั่งพระอาทิตย์ขึ้นวนมาถึงสี่ครา
เมื่อยามค่ำคืนในวันที่สี่มาเยือน ราวกับรู้เวลา หูของโซกังที่ขดตัวอยู่ภายในความมืดมิดก็ได้ยินเสียงฝีเท้าดังขึ้น เสียงรองเท้าสัมผัสพื้นดินดังท่ามกลางค่ำคืนอันเงียบสงบ เสียงฝีเท้าจากห่างไกลเริ่มขยับใกล้จนหยุดลงตรงที่บริเวณเขาถูกขัง
ตามด้วยเสียงปลดโซ่จากนั้นประตูก็เปิดออก โซกังรีบยันตัวลุก ทว่าก่อนจะทันได้เอ่ยขอบคุณผู้เปิดประตูให้ ศีรษะก็ถูกครอบทับด้วยกระสอบเสียก่อน
และมีมีดสั้นจ่อเข้าที่ลำคอทันที
“อย่าคิดส่งเสียงใดออกมาจะดีกว่า”
โซกังจึงพยักหน้ารับช้าๆ มีดสั้นคมกริบจึงหายไป อีกฝ่ายดึงตัวเขาขึ้นแล้วผลักให้เข้าไปยังในที่หนึ่ง ก่อนจะเดินตามมาข้างๆ และเริ่มขยับเคลื่อนไหวในทันที ความรู้สึกสั่นสะเทือนโดยไม่รู้อะไรเลยทำให้ร่างบอบบางสั่นเทาอย่างตระหนก
“รถม้า”
บุรุษข้างๆ กล่าวแทรกความหวั่นวิตก เขาเลยผ่อนคลายลงเล็กน้อย แต่การถูกกระสอบครอบทับศีรษะและนำพาไปยังที่ใดก็ไม่อาจรู้เช่นนี้ มันไม่ใช่สถานการณ์ที่ควรวางใจเลย โซกังลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยปากถาม
“ลานไต่สวน ไม่สิ การลงโทษเป็นอย่างไรบ้างขอรับ”
“ยังอยู่ระหว่างลงโทษ”
“ท่านพ่อ… ขุนนางกรมราชเลขาเป็นอย่างไรบ้างขอรับ โปรดบอกข้าทีเถิด”
โซกังเผลอขึ้นเสียงโดยไม่รู้ตัว จึงค้อมศีรษะที่ถูกคลุมด้วยกระสอบลง เวลานี้เรื่องของท่านพ่อสำคัญกว่าทิศทาง
แม้จะไม่รู้ว่าตนกำลังไปที่แห่งใด ทว่าท่านพ่อจำต้องมีชีวิตอยู่ เพราะเขายังมีสิ่งที่อยากไถ่ถามท่าน ตั้งแต่เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น ถึงแม้สมควรต้องหนี แต่เพื่อรักษาเกียรติยศจึงไม่ได้หนีไปไหน
คำให้การเท็จของท่านพ่อที่ลานไต่สวนนั่น เขาได้ยินมาจากในคุก ท่านมหาเสนาบดีนั่งหลับตานิ่งด้วยใบหน้าไม่อาจคาดเดาว่าคิดเห็นเช่นไร มูฮยอนแผดเสียงถามกับบิดาตนว่ามันคือเรื่องอะไรกัน ส่วนโซยงก็เอาแต่ร้องไห้ไม่หยุด ผู้คนที่ถูกขังรวมกับท่านมหาเสนาบดี รวมถึงบรรดาผู้ติดตามของโควังยาต่างกล่าวว่าท่านพ่อเป็นคนทรยศ
แม้เขาจะเอาแต่แย้งว่าท่านไม่มีทางทำเช่นนั้น แต่ไม่ว่าจะเป็นตัวท่านพ่อเอง หรือผู้ใดก็ล้วนไม่รับฟัง ท่านพ่อไม่ได้ตอบอะไรทั้งสิ้นเมื่อเขาพูดจบ และเป็นผู้อื่นที่เอ่ยแทน
ชายข้างตัวตอบกลับด้วยน้ำเสียงแข็งกระด้าง
“ขุนนางยูจินมยองถูกประหารแล้วเมื่อวาน ศีรษะถูกเสียบประจานอยู่ที่ลานประหาร”
“ถูกเสียบประจาน… แล้วท่านมหาเสนาบดีกับครอบครัวเล่า พวกเขาเป็นอย่างไรบ้าง”
“นักโทษคยองก็เช่นเดียวกัน ถูกตัดสินโทษลากมาประหารด้วยการตัดหัวยกตระกูล โลหิตหลั่งรินผสมกันไปหมด”
และพอคิดได้ว่าตนเองก็ย่อมถูกตัดสินโทษเช่นเดียวกันอย่างไม่มีข้อยกเว้น โซกังจึงไม่ได้กล่าวอะไรออกมาอีก
รถม้าขยับเคลื่อนตัวอยู่ชั่วเวลาหนึ่งก่อนจะหยุดลง บุรุษผู้นั้นถอดกระสอบออกจากศีรษะเขา แล้วโยนห่อผ้าจากเศษผ้าฝ้ายใส่อกให้กอดรับ อีกฝ่ายสวมหน้ากากปิดบังใบหน้า โซกังจ้องหน้ากากนั้นแล้วเอ่ยถามอีกครั้ง
“สายเลือดของกบฏ ย่อมเป็นกบฏมิใช่หรือขอรับ ข้าคือบุตรชายของยูจินมยอง แต่เพราะเหตุใดถึงช่วยชีวิตข้าไว้เช่นนี้ มิใช่ว่าข้าเองก็ควรต้องโทษประหารหรอกหรือ”
“ไม่พอใจที่รอดชีวิตงั้นรึ หากคำนึงถึงชีวิตในวันข้างหน้า มันก็ย่อมต้องเป็นเช่นนั้น ลงมาซะ”
เอาแต่เอ่ยคำพูดไม่อาจเข้าใจ โซกังตามชายสวมหน้ากากลงมา บนเสาสีดำมีลวดลายหงส์สลักอยู่ เมื่อเห็นบานประตูขนาดใหญ่ทาด้วยสีแดงจนสุดประตูทางทิศใต้ ทำให้รับรู้ว่าพื้นที่ตรงนี้เป็นที่ตั้งของกรมฝ่ายใต้ กรมที่รับผิดชอบด้านเศรษฐกิจโดยทั่วไปของเมืองหลวง ซึ่งไม่มีเรื่องใดให้สายเลือดกบฏเฉกเช่นเขาต้องมาเยือน
“ข้าจะไม่ตอบคำถามใดๆ ในตอนนี้ ตามมา”
คำพูดนั้นทำให้โซกังข่มความสงสัยแล้วเดินตามหลังอีกฝ่าย นำก้าวเดินผ่านกำแพงด้านนอกกรมฝ่ายใต้
และบริเวณที่หยุดฝีเท้าลง ก็คือเรือนนอนของบรรดาทาสหลวง ชายผู้นั้นสั่งให้เขาเข้าไปภายในเรือนนอนหน่วยสาม หากโซกังกลับชะงักรั้งรอเมื่อเห็นพื้นปูด้วยเสื่อฟาง ตั้งแต่เกิดมาเขาไม่เคยต้องลงนั่งบนพื้นเช่นนี้มาก่อน
แม้ไม่ได้เป็นตระกูลที่มีฐานะสูงส่งขนาดนั้น ทว่าถึงอย่างไรก็ใช้ชีวิตด้วยการแช่น้ำอุ่นผสมเครื่องหอมไม้คารอบสักครั้งหนึ่งในหนึ่งวัน แต่กลิ่นสาบเหงื่อและกลิ่นตัวของพวกทาสกลับฟุ้งกระจายทั่วเรือนนอน จึงไม่ง่ายเลยที่จะตัดใจเดินเข้าไป
บุรุษผู้นั้นดึงรั้งคอเสื้อของเขาที่ยืนรั้งรอไม่ยอมก้าวเข้าไปด้านใน ก่อนจะผลักอย่างแรงจนล้มไปกองกับพื้น แล้วยกเท้าขึ้นเหยียบบนแผ่นอกกดลงมาราวกับจะบดขยี้ให้แหลก
“อึก!”
“เจ้ายังคิดว่าตนเป็นบุตรชายขุนนางของทางการอยู่อีกงั้นหรือ”
“ไม่ใช่นะขอรับ”
อีกฝ่ายกระชากคอเสื้อให้ลุกขึ้นพร้อมโพล่งคำถามนั้น โซกังไอโคลกๆ เพราะหายใจไม่สะดวกพลางส่ายหน้าไปมา ร่างบางใช้มือปัดไปบนหน้าอกแล้วเดินเข้าไปในหน่วยสาม โดยมีสายตาเย้ยหยันติดตามแผ่นหลังไป
“หวังว่าคงจะไม่มีผู้ใดกลายเป็นทาสหลวงหน่วยสามด้วยเหตุนี้อีกหรอกนะ”
เขาไม่เคยเข้าใจว่าคำกล่าวนั้นหมายถึงสิ่งใด หลังจากเข้าไปด้านในแล้วก็นั่งขดตัวอยู่บริเวณมุมด้านหนึ่ง แน่นอนว่าไม่อาจข่มตาหลับลงได้ โซกังลืมตาอยู่เช่นนั้นทั้งคืน ภาวนาให้ท่านพ่อไปสบาย รวมถึงท่านมหาเสนาบดี มูฮยอน ฮูหยินอิลฮวา แม่ทัพชอนอิน ขอให้ทุกท่านไปสู่สุขคติ และร้องไห้ออกมายามคิดถึงโซยง
“ยกก้นขึ้นมา”
“ฮึก อั่ก”
เมื่อร่างกายก้มโค้งคุกเข่าล้มพับไปด้านข้าง คนด้านหลังจึงตีบั้นท้ายของเขาอย่างแรง โซกังรีบขยับพยุงร่างกายสั่นเทาให้กลับมามีท่าทางเช่นเดิมทันที
อีกฝ่ายคว้าจับช่วงเอวบางพลางสอดกระแทกส่วนกลางกายเข้าไปในช่องทางแดงช้ำโดยไม่ยั้งแรง พอยกสะโพกขั้นสูง เสียงครางก็ดังจากปากบุรุษด้านหน้า ส่วนเสียงอดกลั้นอย่างทรมานหลุดออกจากปากของโซกัง ไม่เพียงแค่ช่วงล่างเท่านั้น ทว่าริมฝีปากบางก็กำลังรองรับส่วนนั้นอยู่เช่นกัน
ทุกครั้งที่สะโพกถูกกระแทกเข้ามาอย่างแรงจากด้านหลัง แท่งร้อนในโพรงปากก็จะสอดกระแทกเข้าถึงในช่องคอจนหายใจติดขัด ได้แต่ส่งเสียงค่อกแค่กพลางครูดเล็บลงบนเสื่อฟางที่ปูรองเอาไว้ แต่อย่างไรบุรุษด้านหน้าและด้านหลังก็ยังคงขยับต่อไปเรื่อยๆ
ก่อนคนด้านหลังจะกระตุกตัวปลดปล่อยน้ำกามเข้ามาในร่างกายเขา และไม่นานชายที่ขยับสะโพกอยู่ด้านหน้าก็ปลดปล่อยน้ำกามเข้ามาในช่องคอให้ได้กลืนกินเข้าไปอีก
เมื่อสิ่งแปลกปลอมหลุดออกจากช่องทางและริมฝีปาก ร่างบางก็ไอค่อกแค่กด้วยความพะอืดพะอมแล้วก็ล้มตัวลงบนเสื่อฟางทั้งอย่างนั้น คราบคาวสีขาวขุ่นไหลเยิ้มออกมาราวกับของเสียที่ร่างกายขับออกจากช่องทางที่ขยายค้าง หลังปลดปล่อยออกมาแล้ว คนพวกนั้นใช้เสื้อผ้าของโซกังเช็ดแกนกายของตน ก่อนจะสวมกางเกงและจัดการมัดปมเชือกจนแน่น
‘ความปลอดโปร่งช่างดีเสียงจริง มีเจ้านี้อยู่จึงนับว่าเป็นเรื่องดี อีกทั้งยังรสชาติดีกว่านังพวกผู้หญิง’ บทสนทนาหยาบโลนพล่ามออกมาชั่วครู่ เมื่อเสร็จจากงานใช้แรงงาน ความเหนื่อยล้าทางร่างกายที่สะสมมาตลอดวัน รวมถึงความอัปยศที่ได้รับจากฐานะทาส ชายฉกรรจ์เหล่านี้จึงมาระบายลงกับโซกังกระทั่งปลดปล่อยออกมา จากนั้นก็กลับไปนอนหลับสนิทเพื่อใช้ชีวิตในฐานะทาสอีกครั้งในวันรุ่งขึ้น
ชีวิตเหน็ดเหนื่อยกับการเป็นทาส ความทุกข์และความสิ้นหวังที่ได้รับ ความทรนงในวงศ์ตระกูล ไม่รู้ว่าริเริ่มจากผู้ใคร ทว่าใครบางคนเริ่มเรียกโซกังว่าลูกของคนทรยศ ด้วยเหตุนั้นจึงถูกย่ำยีเช่นนี้ ทั้งๆ ที่ไม่แน่ชัดว่าผู้ใดคือผู้กำหนด
ทุกคนล้วนถือว่าตนเป็นเพียงราษฎรยอมเชื่อฟังทำตามอย่างโง่เขลาเท่านั้น พวกเขาไม่ได้เลวร้ายหรือน่ารังเกียจหรอก ไม่เท่าใครบางคนที่อยู่ในฐานะดีเลิศสูงส่ง
ทุกวัน ทุกชั่วโมง โซกังคิดเช่นนี้ ไม่ใช่ว่าพวกเขาเลวร้าย หากเพราะสถานการณ์นำพาไปเช่นนั้นต่างหาก หากไม่อย่างนั้นก็คงไม่อาจอดทนต่อความทุกข์ทรมาน
ไม่รู้ว่ามีกี่คนต่อกี่คนล่วงล้ำเข้ามาในร่างกายนี้ หลังจากเป็นลมสลบไปก็ไม่อาจล่วงรู้เรื่องใดทั้งสิ้น โซกังหมดสติจนกระทั่งเหล่าทาสในหน่วยสามต่างเข้านอนเรียบร้อยแล้ว