ด้วยเหตุนั้นเมื่อถึงยามชิน ตำหนักฮงฮวาจึงเกิดความโกลาหลเป็นอย่างมาก เพราะฝ่าบาทจะทรงงานในสถานที่ที่มิใช่ตำหนักฮวังรยง ข้ารับใช้ทั้งหลายต่างต้องแยกย้ายกันตระเตรียมสิ่งของจำเป็น ทั้งฎีกาและอื่นๆ อีกมากมาย
ท่ามกลางความวุ่นวายนั้น ขันทีร่างเล็กผู้หนึ่งก็คว้าตัวขันทีอีกคนเข้ามาสอบถาม
“มีเรื่องอันใดกันหรือขอรับ”
“ไม่ยักเคยเห็นหน้าเจ้า ถูกเรียกตัวมาใหม่หรือ”
“ขอรับ เห็นว่าขาดคนจึงให้ข้าเข้ามาช่วย”
“เป็นเพราะฝ่าบาทรับสั่งว่าจะทรงงานในตำหนักฮงฮวาน่ะสิ ทุกคนถึงได้เร่งมือกันเช่นนี้”
“ขอรับ”
ขันทีผู้นั้นตอบกลับพร้อมขมวดคิ้วโดยที่อีกฝ่ายไม่ทันสังเกต มีคำกล่าวว่า ‘หากรู้ที่มา ก็จะรู้ที่ไป’ สุดท้ายก็มีผู้พบเจอที่มาของตนจนได้ คราแรกจึงตั้งใจจะจัดการทันทีและออกจากวังไปเสีย
เพราะการจัดการบัณฑิตที่ศึกษาเพียงตำรานั้น ช่างง่ายดายเป็นอย่างยิ่ง
ทว่าหากมีองค์จักรพรรดิอยู่ เรื่องราวก็พลันต่างออกไป ขันทีร่างเล็กรีบหลบเลี่ยงสายตาของคนรอบตัว แอบเดินหลบไปทางด้านที่คนเหล่านั้นไม่คิดจะไปกัน
อีกด้าน การจัดเตรียมสถานที่ให้ฝ่าบาททรงงานบนแท่นบรรทมของโซอีมามาก็เสร็จสิ้น เมื่อคนงานจากฝ่ายในจัดวางอุปกรณ์สุดท้ายและวางชากรุ่นไอร้อนลงบนโต๊ะ พอเห็นว่าทุกอย่างได้รับการจัดการเรียบร้อย จาฮอนก็โบกมือให้คนเหล่านั้นออกไป
ทันทีที่ภายในตำหนักเหลือเพียงตนกับโซกัง ร่างสูงก็เอ่ยกับคนที่นั่งนิ่งอยู่บนเก้าอี้
“ทานขนมยักกวาหมดแล้วหรือ”
“พ่ะย่ะค่ะ ถ้วยชาก็ว่างเปล่าแล้ว ทั้งยังหวานปากไปหมด”
“เช่นนั้นก็มานั่งตรงนี้เถิด”
“รับสั่งว่าจะทรงงาน โปรดใส่พระทัยทางนั้นด้วยพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมจะอ่านตำราที่ทรงนํามาให้อยู่ตรงนี้”
“อย่าศึกษาตำราในที่รับสำรับ รังแต่จะทำให้ตำราเปรอะเปื้อนเท่านั้น”
“หากทรงอ้างเช่นนั้น แล้วกระหม่อมจะกล่าวอันใดได้เล่า ทราบแล้ว เช่นนั้นกระหม่อมก็ขอแบ่งแท่นบรรทมด้านหนึ่ง จะไม่รบกวน จะอยู่อย่างเงียบๆ พ่ะย่ะค่ะ”
โซกังถือตำราก้าวขึ้นไปบนแท่นบรรทม หลังจาฮอนยกอ้างคำกล่าวของวิญญูชนในอดีต ทั้งยังออดอ้อนให้ตนมาอยู่ข้างกาย ขณะหน่อยกายลงนั่ง ก็คิดว่าจะนั่งอย่างเรียบร้อย อ่านตำราตรงมุมหนึ่งเท่านั้น
ทว่าจาฮอนไม่ปล่อยโอกาส กลับทำให้ร่างบางเอนตัวเข้าหาด้วยการเกี่ยวรั้งช่วงเอวมากอด เครื่องนอนที่ปูบนแท่นบรรทมพลันยับย่น ทั้งโซกังยังถูกดึงมาข้างกายจนสูญเสียการทรงตัว สองขาที่ขดนั่งอย่างเรียบร้อย เหยียดออกมานอกอาภรณ์
“ท่านจาฮอน! ทรงทำอันใดกัน”
“ถามเพราะไม่รู้จริงหรือ หากเป็นงาน ไม่ว่าผู้ใดก็ล้วนไม่โปรดปรานทั้งสิ้น ก็ต้องยืมพลังของคนรักมาเพิ่มประสิทธิภาพอย่างไรเล่า”
“โปรดทรงจดจ่อ…อื้อ”
มือใหญ่รุกรานเข้ามาด้านในอาภรณ์ สัมผัสไล้แผ่นอกโดยไม่รู้ตัวจนไม่อาจกล่าวได้จบประโยค จากนั้นจาฮอนก็กดย้ำบนยอดอกชูชัน ส่งผลให้โซกังต้องล้มตัวลงมานอนหนุนตักแกร่งในทันใด ทั้งชายอาภรณ์ยังเลิกขึ้นมาถึงเอวในสภาพไม่เรียบร้อยอีก
สายตาคมกริบปราดมองตั้งแต่ข้อเท้าไล่ขึ้นมาเรื่อยๆ ก่อนจะหยุดลงเมื่อสบดวงตาคู่สวย เขายิ้มพรายขณะจ้องมองโซกังขมวดคิ้วเล็กน้อยและถอนหายใจแผ่วเบา ร่างบางผ่อนคลายร่างกายของตน นอนจ้องยามอีกฝ่ายลูบไล้หน้าอกกันอย่างนุ่มนวล เมื่อประสานตา โซกังก็ตั้งใจเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“มองกระหม่อมเสร็จแล้วก็เริ่มทรงงานเถิดพ่ะย่ะค่ะ ยามนี้เป็นเวลางาน หากทรงทำเช่นนี้ต่อ กระหม่อมจะไม่สนทนาด้วยแล้ว”
“ถือว่าตนน่ารัก ถึงกับตำหนิกันเชียว”
“หากไม่พอพระทัย ก็เชิญสั่งลงโทษกระหม่อมพ่ะย่ะค่ะ”
คำตอบเด็ดเดี่ยวทำให้จาฮอนกระเดาะลิ้นเล็กน้อย เด็กน่ารักผู้นี้บางคราก็แสดงด้านดื้อรั้นเป็นอย่างยิ่งออกมา ด้วยมักแสดงท่าทีแตกฉานในตำรา ใครเห็นจะไม่คิดได้อย่างไรว่าเป็นบุตรชายเพียงคนเดียวของขุนนางกรมราชเลขา
ตอนนี้ก็เช่นกัน โซกังกำลังกล่าวถึงคำกล่าวจากตำราสักเล่มที่เริ่มด้วยคำว่า อันว่าด้วยจักรพรรดิ… ไม่ว่าทำอันใด ก็ดูน่าเอ็นดูไปหมดเสียจริง
จาฮอนกระแอมออกมาเล็กน้อยแล้วเอ่ยขัดอีกฝ่าย
“ข้าไม่คิดจะลงลงโทษเจ้าหรอก ยกเว้นแต่บนแท่นบรรทม หากเจ้าไม่ถือสาอะไร ข้าก็ยินดี”
“พ่ะย่ะค่ะ? ไม่สิ…”
“แล้วก็อย่าได้กล่าวเช่นนั้นอีก คำว่าไม่พอใจเจ้า ไม่มีทางออกจากปากข้าเด็ดขาด”
ทันทีที่ฝ่าบาทตรัสด้วยน้ำเสียงจริงจัง โซกังก็ยอมรับผิด กลีบเม้มแน่นจึงคลายลงทันใด
ร่างสูงตบเบาๆ ลงบนแผ่นอกบาง
“ในเมื่อถูกตำหนิเช่นนี้ ข้าคงจะต้องใส่ใจกับการอ่านฎีกาเสียแล้วสิ เจ้าก็นอนหนุนตักคอยเฝ้าข้าสะสางราชกิจให้ดีแล้วกัน”
“ย่อมเป็นเช่นนั้นพ่ะย่ะค่ะ”
จาฮอนตอบรับว่า ‘ดีแล้ว’ อย่างพึงพอใจกับคำของโซกัง ก่อนจะเบนสายตาหันไปทางฎีกาในที่สุด
โซกังเองก็ยกยิ้มบางขณะชื่นชมพระพักตร์ขององค์จักรพรรดิยามเริ่มอ่านฎีกาด้วยสีหน้าจริงจัง หากถามว่าท่าทางเช่นใดของอีกฝ่ายทรงเสน่ห์มากที่สุด คงต้องตอบว่ายามจัดการราชกิจ แม้รอยยิ้มจะยังคงประดับอยู่บนพระโอษฐ์เฉกเช่นทุกครา ทว่าสายพระเนตรกลับสุขุมรอบคอบ และสัมผัสได้ถึงความหนักแน่นราวกับขุนเขาจากท่าทางอันสง่างาม
“อ๊ะ!”
ทว่าระหว่างจ้องมองอย่างใจจดใจจ่อ เสียงร้องครางแผ่วเบาอย่างไม่รู้ตัวก็หลุดออกมาจากปากโซกัง ไม่ใช่เพราะมองอย่างตั้งใจถึงเพียงนั้น แต่เป็นเพราะมือของผู้ตรวจดูฎีกาด้วยสายตาจริงจัง กำลังลูบสัมผัสตุ่มไตไวต่อสัมผัสบนหน้าอกตนต่างหาก จากนั้นริมฝีปากของผู้กระทำก็ขยับเอ่ย
“ชู่ มิใช่บอกให้ข้ามีสมาธิหรืออย่างไร”
“ท่านจาฮอน… มือ อื้อ”
“กำชับให้ตรวจฎีกา แล้วมาทำเสียงน่ารักเช่นนี้ ข้าจะทำอย่างไรได้เล่า”
จาฮอนยังคงตรวจดูฎีกาพลางตำหนิเล็กน้อย โซกังรู้สึกไม่ยุติธรรมอย่างยิ่ง ทว่าไม่อาจโต้แย้งอันใดได้ เพราะมือใหญ่กำลังกดนวดขยำขยี้ ส่งผลให้การฝืนกลั้นเสียงครางช่างลำบากนัก ถึงกระนั้นก็พยายามส่งเสียงเพียงเล็กน้อย และหอบหายใจอย่างหนักหน่วง
“ฮา อื้อ”
“โซกัง ไม่ใช่บอกให้ข้าตั้งใจหรอกหรือ”
“ฮึก มือ…”
มือข้างที่ใช้ขยี้ยอดอกเคลื่อนไหวอย่างจาบจ้วงกระตุ้นเร้ายิ่งกว่าเดิม สุดท้ายโซกังก็ไม่อาจฝืนกลั้น ต้องยกมือขึ้นมารั้งมือของจาฮอน ทว่านั่นคือหนึ่งในกฎข้อห้ามสำหรับฝ่ายใน เป็นพฤติกรรมที่ไม่อาจกระทำได้
รวมถึงผู้คนในวังหลังด้วยเช่นกัน จะสตรีหรือบุรุษล้วนถือเป็นสมบัติขององค์จักรพรรดิ หากฝ่าบาทต้องการ ไม่ว่าจะภายในงานเลี้ยงหรือที่ใด แม้จะในตำหนักฮวังรยงก็ตาม ผู้นั้นไม่อาจปฏิเสธได้ แน่นอนว่าก่อนฝ่าบาทจะทรงอนุญาต การสัมผัสพระหัตถ์ก่อนก็นับเป็นข้อห้าม โซกังจับมือของจาฮอนไว้และพลันนึกถึงความจริงข้อนั้นได้
ร่างบางจึงรีบปล่อยมือออกและตั้งใจจะผุดลุกขึ้นมากล่าวขออภัย ทว่าไม่อาจลุกขึ้นมาได้เพราะการรั้งตัวของอีกฝ่าย ดังนั้นโซกังจึงเอ่ยทั้งๆ ที่ยังนอนอยู่
“ขอประทานอภัยพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท”
“ผู้ใดให้เจ้าลุกขึ้นมากัน”
“ฮือ”
เนื่องจากจาฮอนกดเคล้าคลึงแผ่นอกแรงกว่าเดิม จึงมีเสียงครางต่างจากก่อนหน้าออกจากปากของโซกัง เป็นเสียงเล็ดรอดออกมาเพราะความเจ็บปวดเล็กน้อย
ทันทีที่เห็นว่าโซกังยอมผ่อนคลายร่างกายและนอนลงเช่นเดิม สัมผัสของจาฮอนจึงเปลี่ยนเป็นแผ่วเบาคล้ายขออภัยที่ทำรุนแรง
เมื่อสังเกตเห็นว่าพระพักตร์ของฝ่าบาทไม่ได้แสดงโทสะ แต่เป็นสีหน้าเช่นเดียวกับก่อนหน้านี้ ลมหายใจแห่งความโล่งอกจึงพรูออกจากปากของโซกัง จาฮอนละมือออกมานอกอาภรณ์ ลูบสัมผัสกลุ่มผมยาวสลวยแทนพร้อมย้ายสายตาจากฏีกามายังใบหน้าหวาน
“ฝ่าบาท”
“จาฮอน… ยามมีหูตาผู้อื่นอยู่ด้วยเราถึงจะเป็นฝ่าบาท เจ้าเป็นยูโซฮวา เป็นสนมโซอี แต่ยามอยู่กันเพียงลำพังสองคนเช่นนี้ พวกเราเป็นเพียงยังจาฮอนกับยูโซกัง”
“พ่ะย่ะค่ะ แต่กระหม่อมบังอาจ…”
โซกังตั้งใจจะเอ่ยขออภัยที่ตนบังอาจขัดขืนก่อนหน้านี้ ทว่าจาฮอนกลับเอ่ยออกมาก่อน
“ขอโทษ ข้าผิดเอง ข้าไม่อยากห่างจากเจ้า จึงเอาแต่ใจหยอกเย้าแทนการตรวจดูฎีกา ข้าทำเกินไป”
“มิได้พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมขอประทานอภัย”
“จะตอนนี้ หรือในอนาคต ยูโซกังไม่มีเรื่องใดให้ต้องขออภัยจากข้า”
“พ่ะย่ะค่ะ? ทรงหมายความว่าอย่างไร”
“ไม่ว่าเจ้าจะทำอะไร ข้าก็ไม่เคยรู้สึกว่าเป็นเรื่องไร้มารยาทหรือไม่พอใจใดๆ ดังนั้นเจ้าไม่จำเป็นต้องเอ่ยขอโทษเลย”
ถ้อยคำหวานล้ำของจาฮอน ทำให้โซกังเลือกจะดึงมือใหญ่เข้ามาแล้วจุมพิตแนบริมฝีปากแทนการพูดตอบรับ ทันใดนั้นจาฮอนก็ใช้นิ้วลูบสัมผัสกลีบปากบางอย่างอ่อนโยนพร้อมกระซิบแว่วเสียงหวาน
“กับข้าที่หลงใหลเจ้าเช่นนี้ ยังจะให้ตรวจฎีกาที่เอาแต่สั่งให้ข้ามีทายาทได้อย่างนั้นหรือ”
“เป็นฎีกาเช่นนั้นหรือพ่ะย่ะค่ะ เช่นนั้นก็อย่าทรงอ่านเลย”
“อย่างนั้นข้าควรจะดูอะไรดีเล่า”
โซกังผุดลุกขึ้นมานั่งแล้วหันหลังให้ ก่อนจะค่อยๆ ปลดอาภรณ์สีแดงของตนออกจนร่างกายมีน้ำมีนวลขึ้นมาหน่อยปรากฏสู่สายตา ลาดไหล่กลมมน แผ่นหลัง ทรวดทรงโค้งเว้า ส่วนสะโพกงดงาม จาฮอนใช้ดวงตากวาดมองไปทั่ว จากนั้นจึงขยับเข้าไปใกล้อีกฝ่ายจากทางด้านหลังแล้วดึงมากอดอย่างทะนุถนอม ช่างน่าประหลาดใจนัก ไม่รู้เพราะเหตุใดตนถึงรู้สึกดีไปเสียทั้งหมดเช่นนี้
ไหนจะยอดอกนูนตั้งชันและหน้าอกขยายใหญ่ขึ้น ไม่สิ ตั้งแต่คราแรกเขาก็ไม่สามารถหาที่ติจากร่างบางได้เลย