ลมหายใจหอบสะท้านอย่างหนักโดยไม่มีหยุดพักของโซกังค่อยๆ สงบลง จาฮอนไม่ได้ใส่ใจกับน้ำรักที่เพิ่งปลดปล่อยออกมาเท่าไร เขาทาบทับตัวลงบนกายของอีกฝ่าย จุมพิตต้นคอและกระดูกไหปลาร้าอยู่หลายครา ซึมซับความรู้สึกที่ยังคงค้างอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะเอ่ยปากขึ้นอย่างแผ่วเบา
“ตั้งใจส่งเสริมไม่ให้ข้าตรวจดูฎีกา เช่นนั้นตอนนี้ก็ไปชำระกายด้วยกันเสียหน่อย เป็นอย่างไร”
“ดีพ่ะย่ะค่ะ ทรงกล่าวว่าช่วยส่งเสริม ดังนั้นกระหม่อมจึงต้องรักษาคำมั่น”
“เอาล่ะ เข้าใจแล้ว เดิมทีเจ้าก็เคร่งครัดเช่นนี้อยู่แล้ว…”
ทันทีที่ร่างสูงบ่นพึมพำ โซกังก็ยกแขนโอบรั้งต้นคอของอีกฝ่ายแล้วแนบประทับริมฝีปากลงบนแก้ม แม้จะคล้ายการปลอบโยนเด็กน้อย ทว่าจาฮอนกลับหยุดการพร่ำบ่นทันทีด้วยการกระทำนั้น หลังจากสูดกลิ่นผิวเนื้อหวานอีกนิด ไล้เลียผิวเนียนไปอีกหน่อย เขาก็เอ่ยสั่งให้ด้านนอกจัดเตรียมห้องอาบน้ำ
ถึงแม้จะมีรายงานกลับมาว่าจัดเตรียมเรียบร้อยแล้ว จาฮอนก็ไม่คิดจะขยับตัว โซกังจึงลูบไล้เส้นผมสีดำสนิทของคนตรงหน้าแล้วเอ่ยขึ้น
“น้ำจะเย็นเสียหมด จะให้กระหม่อมอาบน้ำเย็นหรือพ่ะย่ะค่ะ”
“อืม ไม่ได้สิ”
ว่าแล้วก็ลุกขึ้นในทันใด เอื้อมนำเอาภรณ์ตัวในที่แขวนไว้บนผนังด้านหนึ่งมาสวม จากนั้นก็อุ้มร่างบางที่ถูกห่อด้วยผ้าห่มขึ้น เนื่องจากจาฮอนมักจะทำเช่นนั้นเสมอ โซกังจึงคุ้นชินและยอมนิ่งอยู่ในอ้อมกอดของอีกฝ่าย
“เปิดประตู”
“เพคะฝ่าบาท”
ประตูห้องบรรทมค่อยๆ เปิดออกตามคำสั่ง จาฮอนอุ้มโซกังเดินไปยังห้องอาบน้ำ ทันทีที่นางกำนัลด้านหน้าเปิดประตูออก เขาก็ก้าวเข้าไปด้านแล้วเอ่ยขึ้น
“ไม่ต้องให้ใครเข้ามาช่วย”
“เพคะ”
เมื่อประตูปิดลง จาฮอนก็วางโซกังลงบนเก้าอี้ไม้บุด้วยสำลีก่อนจะปลดผ้าห่มออก จากนั้นก็ทำความสะอาดช่องด้านหลังให้เช่นที่เคยทำอยู่เสมอ ภายในที่แห่งนี้ร่างบางสามารถกางขาออกอย่างไม่เรียบร้อยได้ กระทั่งไม่รู้ตัวว่าศีรษะของจาฮอนลดลงมาอยู่ระหว่างนั้นแล้ว
ด้วยเหตุนั้นทั้งสองคนจึงใช้เวลาชำระล้างร่างกายนานยิ่ง จนต้องเติมน้ำอุ่นเพิ่มถึงสองครา โซกังเองก็เหนื่อยอ่อนจากการร่วมรักต่อเนื่องถึงสามรอบติดต่อกัน จาฮอนรีบเร่งสวมอาภรณ์ตัวในให้ ก่อนจะอุ้มไว้ในอ้อมกอดตนเช่นเดิม แล้วจัดการวางให้นอนลงบนแท่นบรรทม
จากนั้นก็ทำการป้อนสำรับ โดยร่างบางอยู่ในท่าทางกึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนเตียง หลังจากทานเสร็จก็เอนตัวนอนราบดังเดิม
เขาจุดตะเกียงเอาไว้เพียงอันเดียวเพื่อให้ร่างบางสามารถนอนหลับได้เต็มอิ่ม ก่อนตนเองจะออกไปอยู่อีกห้องหนึ่งภายในตำหนักฮงฮวา มีเพียงแสงไฟจากตะเกียงหนึ่งเดียวส่องสว่างเลือนรางภายในห้องบรรทมมืดสนิท
***
“เจ้ายังมีสติดีอยู่หรือไม่!”
เพี๊ยะ! เมื่อเสียงตวาดและเสียงเนื้อกระทบเนื้อดังขึ้น ศีรษะของแพคมูกิลก็หันขวับไปด้านข้าง แก้มพลันขึ้นสีแดงให้เห็นในทันใด เสียงกระทบที่ดังขึ้นก่อนหน้านี้คือเสียงตบหน้าอย่างไม่ต้องสงสัย แพคมูกิลหันหน้ากลับมา จับจ้องท่านอาของตนผู้มีสีหน้าโกรธเคืองอย่างถึงที่สุด
“นั่นหาใช่เรื่องผิดพลาดอันใดเลยขอรับ! อย่างไรเสียก็เป็นสิ่งที่ไม่มีผู้ใดรับรู้อยู่แล้ว ให้มันถูกฝังไปเช่นนั้นก็ย่อมได้มิใช่หรือขอรับ!”
“เจ้าตัวโง่งม! สั่งให้กลบฝังบันทึกที่ไม่รู้ว่าอยู่ที่ใด และมีความลับถึงเพียงใดเสียเฉยๆ เช่นนั้น มันใช่เรื่องสมควรหรือ ไอ้หลานโง่เง่า!”
“หาไม่เจอก็ดีแล้วนิขอรับ เหตุใดถึงต้องตามหาด้วย!”
“คิดว่าบนโลกนี้มีอันใดเป็นความลับไปตลอดชีวิตอย่างนั้นหรือ! จุดอ่อนของตนจะปลอดภัยก็ต่อเมื่อมันอยู่ในมือของตนเอง ไอ้เจ้าคนมีความคิดยังไม่เท่าสุนัขเช่นนี้ ยังนับว่าเป็นหลานข้าได้อีกหรือ! ช่างไร้ประโยชน์สิ้นดี รีบไปสั่งให้มันล้มเลิกเสียเดี๋ยวนี้เลย”
“ข้าคงทำเช่นนั้นไม่ได้ขอรับ เพราะโซยงต้องการมัน”
คำตอบนั้นทำให้แพคมีกังมีสีหน้าเครียดขึงทันที อีกฝ่ายพูดราวกับว่าบุตรสาวของมหาเสนาบดีพลาธิการนั่นยังมีชีวิตอยู่ จากนั้นบทสนทนาก็จบลงด้วยถ้อยคำราวกับคนเสียสติจากปากของแพคมูกิล ก่อนจะลุกออกไปเหมือนไม่ต้องการพูดอะไรต่อ
หลานชายที่คอยสนับสนุนและช่วยทำตามความต้องการ ยามนี้คงจะถึงเวลาต้องตัดขาดเสียแล้ว
“เหตุใดต้องเป็นยอบไปจัดการ จึ๊ๆ”
แพคมีกังคิดเสียดายที่จะต้องสูญเสียนักฆ่าฝีมือดีผู้หนึ่งไป ชายชราเรียกหาคนรับใช้มารับคำสั่ง หลังจากนั้นก็มีชายชุดดำหมอบคำนับตรงหน้าทันใด
“เรียกใช้ข้าน้อยหรือขอรับ นายท่าน”
“ใช่ ข้าจะคนส่งไปซ่อนตัวในวังหลวง ภายในตำหนักฮงฮวา ประเดี๋ยวข้าจะเขียนหนังสือให้ เจ้าจงนำมันไปที่จวนของเสนาบดีกรมคลัง เขาคงยังไม่เข้านอน”
“ทราบแล้วขอรับ”
“ส่วนงานที่เจ้าต้องทำ…”
แพคมีกังสั่งให้ลุกขึ้นแล้วกระซิบข้างหู แม้จะอยู่ลำพังเพียงสองคนเท่านั้น เมื่อรับฟังทุกอย่างแล้ว อีกฝ่ายก็พยักหน้าเล็กน้อยพร้อมเอ่ยรับทราบ
ทันทีที่บุรุษชุดดำหายไปในความมืด ชายชราก็ปล่อยให้เวลาผ่านไปครู่ ก่อนจะเอ่ยตอบโต้กับอากาศทั้งๆ ที่ไม่มีผู้ใด
“อย่างไรเสียก็ต้องป้องกันเอาไว้ก่อน แม้จะเป็นคนไม่เชื่อฟังคำสั่งเลย แต่ก็ถือว่าเป็นหลาน ชังฮโยจัดการยอบแล้ว ดังนั้นเจ้าจงไปจัดการแพคมูกิลเสีย ลงมือให้เรียบร้อยล่ะ”
“ขอรับนายท่าน”
คำตอบรับดังขึ้น มองเห็นเงาคนเลือนรางตรงมุมหนึ่งภายในความมืดมิด อีกทั้งยังสวมชุดดำทั้งตัว จากนั้นก็หายตัวไปราวกับไม่เคยมีผู้ใดอยู่ตรงนั้น ทั้งๆ ที่ไม่กล่าวลา ไม่เปิดเผยตัวตน
เมื่อเหลือเพียงตนอยู่เพียงลำพัง แพคมีกังก็พรูลมหายใจออกมาพลางกดนวดขมับอย่างหงุดหงิดใจ
พักผ่อนนิ่งๆ อยู่ครู่ก็เดินกลับเข้ามาในห้องนอน เขานั่งลงบนเก้าอี้ติดกับโต๊ะกลมพร้อมกับครุ่นคิดถึง ‘วันนั้น’ วันที่ได้พบปะกับคยองยูล ชายผู้มีอายุมากกว่าตน ณ จวนของอีกฝ่าย
คยองยูลมิใช่ว่าได้รับตำแหน่งมหาเสนาบดีฝ่ายพลาธิการมาอย่างไม่สมควร กระทั่งความคิดความอ่านก็เหมาะสม เพียงแค่นั่งอยู่เฉยๆ ก็ยังสัมผัสถึงบรรยากาศน่าเกรงขามที่แผ่ออกมา หากไม่เป็นเช่นนั้น ก็คงไม่สามารถกุมอำนาจด้านทหารของอาณาจักรฮยอนวอนเอาไว้ในกำมือได้
“เชิญนั่งเถิด มหาเสนาบดีฝ่ายตุลาการ”
“ท่านอยากพบข้าด้วยเรื่องอันใดหรือ”
“นั่งลงก่อนเกิด ข้าเรียกมาเพราะอยากรินแพคโฮอินชิมให้แก่ท่านเท่านั้น ได้ยินมาว่าท่านชอบชานี้อย่างยิ่ง”
“เป็นเช่นนั้น แต่หากบรรยากาศไม่ผ่อนคลาย ก็ไม่อาจเพลิดเพลินกับรสชาได้นะขอรับ”
“บรรยากาศก็เป็นไปตามความรู้สึกมิใช่หรือ ดูเหมือนมหาเสนาบดีฝ่ายตุลาการคงจะมีสิ่งใดไม่ใคร่สบายใจนัก”
ทันทีที่ก้นของแพคมีกังสัมผัสเก้าอี้ก็ดื่มชาร้อนกำลังดีเข้าไปอึกหนึ่ง ท่าทางการชงชาช่างขัดแย้งกับการกระทำแสนกระด้างอย่างยิ่ง แต่ทว่าด้วยท่าทีคล้ายวางแผนเอาไว้แล้วอย่างมีเล่ห์เหลี่ยม แต่ต่อหน้าเป้าหมายกลับดื่มด่ำรสชาอย่างสบายใจนั้น ช่างแสนอึดอัดใจยิ่ง ด้วยเหตุนั้นจึงยอมฝืนทนกระทำการไร้มารยาท ด้วยการค่อยลุกจากไปเมื่อถ้วยชาว่างลง จะเป็นการดีกว่า
การกระทำของแพคมีกังทำให้คยองยูลขมวดคิ้วมุ่น ทว่าก็ไม่ได้ต่อว่า กลับดื่มชาด้วยความสง่างามเข้าไปอึกหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยปากขึ้น
“สำหรับองค์รัชทายาทแล้ว ไม่ใช่แค่มันดก ช็อนดก แต่ยังทรงสามารถเอาชนะแพคดกได้ด้วย”
“เป็นเช่นนั้น องค์รัชทายาททรงปรีชายิ่ง มุ่งมั่นรักษาพระวรกายอันล้ำค่า ไม่มีเกียจคร้าน ดังนั้น ผู้เป็นข้าราชบริพารจึงยิ่งปีติยินดีเช่นกัน”
“ไม่นานมานี้พบว่ามีงูพิษในวังหลวง”
“มหาเสนาบดีฝ่ายพลาธิการ หากท่านเรียกข้ามาเพื่อกล่าวเรื่องนั้น ข้าคงต้องขอตัวกลับ”
“ได้ยินมาว่าเสนาบดีกรมขุนนางและกรมคลังมาเยี่ยมเยือนจวนของท่านอยู่บ่อยครั้ง”
ถึงกับต้องกล่าวปัดตอบรับอย่างจำใจทันที แต่พอคนตรงหน้าอ้างถึงเสนาบดีกรมคลังและเสนาบดีกรมขุนนาง หัวคิ้วของแพคมีกังก็พลันกระตุกขึ้นมา
เสนาบดีกรมคลังและเสนาบดีกรมขุนนางเป็นขุนนางฝ่ายเช หากทั้งท้องพระโรงมีขุนนางเพียงฝ่ายเช พวกเขาคิดว่ามันจะเป็นการดี
แพคมีกังจึงเคลื่อนไหวและรับมือด้วยสองแขนนี้
เสนาบดีกรมขุนนางถืออำนาจในการแต่งตั้งขุนนางของฝ่ายพลเรือน คอยเติมเต็มท้องพระโรงด้วยขุนนางเพราะฝ่าบาทไม่เคยเหลียวแล แม้จะเป็นการทำเพื่อฝ่ายตน แต่ผู้รับหน้าที่อันตรายเพียงลำพังก็คอยกักเก็บความไม่พอใจสะสมอยู่เรื่อยๆ
มหาเสนาบดีฝ่ายตุลาการจึงเรียกมาเกลี้ยกล่อมให้สินบน และด้วยเงื่อนไขที่เป็นที่ยอมรับก็ทำให้อีกฝ่ายอิ่มท้อง
อีกทั้ง เสนาบดีกรมคลังยังว่าหากได้รับหน้าที่ในท้องพระโรงก็ควรซื้อสมบัติล้ำค่าเก็บเอาไว้ แล้วย้ายมาจากท้องพระคลังของฝ่าบาท สมบัติส่วนหนึ่งก็มอบให้แก่มหาเสนาบดีฝ่ายตุลาการ แน่นอนว่ามันเป็นค่าตอบแทนที่เป็นความลับ
ความกังวลพวกนั้นไม่มีมาตั้งแต่แรกแล้ว พวกเขาถูกแต่งตั้งเป็นบุคคลมีความสามารถ และกลายมาเป็นคนในฝ่ายเชทั้งหมด
แพคมีกังไม่ได้บอกผู้ใดว่าครอบครองตำแหน่งสำคัญในราชสำนัก แต่ฝ่ายเชอยู่ในช่วงเสื่อมโทรมตั้งแต่รากฐาน และกำลังเลือกจัดการมหาเสนาบดีฝ่ายพลาธิการที่กำลังจะอ่อนกำลัง
เขาจึงแสร้งตอบกลับไปด้วยคำถาม ทว่าอีกฝ่ายรู้ได้อย่างไร ตั้งแต่เมื่อไร รู้มากถึงเพียงใดกัน เรื่องราวรั่วไหลออกไปแค่ไหน แต่ก่อนอื่นแกล้งทำเป็นไม่รู้จะเป็นการดีที่สุด จากนั้นแพคมีกังก็เอ่ยปากพูด
“ระหว่างขุนนางฝ่ายเช เราเพียงสนิทสนมกันเท่านั้น”
“ทรัพย์สินที่ได้รับมา ก็เป็นผู้สนิทสนมช่วยเหลือหรือ”
“ท่านหมายถึงเรื่องใด ข้าไม่เข้าใจ”
“แม้ฝ่ามือจะใหญ่เพียงใด ก็ไม่สามารถปิดบังฟ้าได้หรอกนะ”
กล่าวคือคยองยูลกำลังบอกว่าตนคว้าจับปลายหางยื่นยาวนั่นได้แล้ว แพคมีกังจึงกล่าวว่าตนจะจดจำเอาไว้แล้วลุกขึ้นจากที่นั่ง ระหว่างนั้นมือของคยองยูลก็เคาะลงบนบันทึกปกสีน้ำเงินบนโต๊ะ
บางทีบันทึกนั่นคงจะเป็นบันทึกการทุจริตของเขา เสนาบดีกรมขุนนางและเสนาบดีกรมคลัง
เพราะไม่ได้เห็นเนื้อหาภายในจึงไม่รู้ว่าบันทึกอย่างละเอียดเพียงใด หากรู้ล่วงหน้าแล้วล่ะก็ ไม่ว่าจะต้องทำอย่างไร ก็ต้องค้นหาให้เจอว่ามันอยู่ที่ใดกัน แต่คยองยูลแสนน่าเกลียดชังนั่น กลับบอกกล่าวเรื่องราวเป็นนัยก่อนถูกประหารด้วยคำถามว่า ‘องค์รัชทายาททรงมีอุปนิสัยเช่นไร ทรงเป็นดังแสงอาทิตย์ส่องสะท้อนบนผิวน้ำ’ และทำให้เข้าใจว่า บันทึกเล่มนั้นถูกค้นพบเสียแล้ว
ตระกูลคยองถูกประหารยกตระกูล ดังนั้น ก็ไม่เหลือความเป็นไปได้ว่าจะมีผู้ใดล่วงรู้ความลับเกี่ยวกับบันทึกเล่มนั้น นอกเสียจาก ยูโซกัง อดีตบุตรเขยของตระกูลคยอง
และจากคำกล่าวว่า ‘อุปนิสัยขององค์รัชทายาท’ จากคยองยูล เขาก็ได้ประสบกับมันเป็นอย่างดี อดีตเคยภาคภูมิใจในอำนาจเพียงใด ปัจจุบันตนกลับมีสภาพเป็นชายชราล้าหลัง
แพคมีกังยังคงครุ่นคิดพลางใช้มือกดนวดศีรษะที่รู้สึกปวดหนึบ รู้สึกว่าคนรอบข้างล้วนไร้ความสามารถจนได้แต่หงุดหงิดใจเท่านั้น
เขาเรียกหาคนรับใช้ด้านนอกสั่งให้นำเกี้ยวมาพร้อมกับคิดขึ้นได้ว่า เป็นเพราะคยองโซยง เรื่องราวทั้งหมดจึงกลายเป็นเช่นนี้สินะ แพคมีกังตำหนิสตรีที่ยังคงเกาะหนึบในความรู้สึกของหลานชายตน แม้นางจะจากโลกนี้ไปแล้ว