ด้านหนึ่ง ความมืดมิดก็เข้าโอบล้อมตำหนักฮงฮวา แน่นอนว่าด้านนอกย่อมเป็นเช่นนั้น ทว่าเมื่อเข้ามาด้านในตำหนักกลับพบว่ามีโคมไฟถูกจุดไว้ทั้งหมดสองจุด
หนึ่งคือจาฮอนกำลังตรวจดูบรรดาฎีกาอย่างบ้าคลั่งเพราะเมื่อเย็นไม่ได้ตรวจ มองเพ่งตัวอักษรเล็กเท่าเม็ดถั่วเขียวอย่างละเอียด เนื่องจากมีส่วนที่ต้องเขียนตอบ โคมไฟจากเทียนไขหลายเล่มจึงสว่างไสว
อีกหนึ่งคือห้องบรรทม โซกังเหนื่อยล้าจากการร่วมรักติดกันหลายรอบหลับลึกอยู่บนเตียง โดยมีโคมไฟหนึ่งดวงวางอยู่ใกล้ๆ ปกติแล้วหากมีโคมไฟอยู่ใกล้เตียง จะทำให้แสบตาจนไม่อาจพักผ่อนได้อย่างสบาย ดูเหมือนขันทีและนางกำนัลจะลืมจัดการกับมัน เมื่อรู้สึกแสบตา ร่างบางเลยขมวดคิ้วมุ่นก่อนจะปรือดวงตาพร่ามัวขึ้นมา แล้วก็ปรือลงอยู่เช่นนั้นซ้ำๆ ก่อนจะปิดเปลือกตาลงอย่างหนักอึ้ง และสุดท้ายก็เริ่มหายใจเข้าออกอย่างสม่ำเสมออีกครั้ง
หลังจากเวลาผ่านไปครู่หนึ่ง ก็มีเงาของอะไรบางอย่างทอดทาบทับโซกัง บุรุษชุดดำผู้หนึ่งลักลอบเข้ามาหยุดยืนอยู่ข้างเตียง โดยไม่รู้ว่าอีกฝ่ายเข้ามาอยู่ในนี้ตั้งแต่เมื่อไร หรือปรากฏตัวออกมาเมื่อใด คนผู้นั้นสวมรองเท้าเฉกเช่นขันที ก่อนจะทำการถอดมันออกแล้วม้วนเอาไว้กับชุดขันทีที่เพิ่งถอดก่อนหน้านี้ ขยับเคลื่อนไหวโดยไร้เสียงไปทางด้านหลังเตียงและยัดของพวกนั้นลงด้านใต้ เพราะหากสัมผัสโดนเปลวไฟด้านข้างอาจจะทำให้ไฟลุกโชน เขาจึงค่อนข้างระวังเป็นพิเศษ จากนั้นก็นำบางสิ่งคล้ายคลึงกับเข็มเย็บผ้าออกมาจากอกเสื้อ ค่อยๆ ส่งมันเข้าไปใกล้ริมฝีปากของโซกัง
“อืม…”
เมื่อสัมผัสแผ่วเบาแตะลงมา เสียงครางก็ดังออกมาพร้อมการเผยอปากออก พอสิ่งของลักษณะเหมือนเข็มเย็บผ้าถูกใส่เข้าไปในปาก มันก็ละลายหายไปทันที ทว่าจังหวะนั้นกลับมีมีดสั้นพุ่งแหวกผ่านอากาศเข้ามา
“อึก!”
วินาทีนั้นชายชุดดำทำได้เพียงส่งเสียงร้องออกมาคำเดียวแล้วเคลื่อนกายหลบวืด สายตาเหลือบมองอากาศอย่างร้อนรน ด้วยเคลื่อนตัวไปทางเตียงจึงไม่อาจหลบเลี่ยงมีดสั้นได้ เขาเดินโซเซแล้วคุกเข่าทรุดลงบนพื้น แสบร้อนเพราะมีดสั้นปักอยู่ที่บนหลัง จากนั้นลิ้นก็เริ่มแข็งทื่อ มิหนำซ้ำ ร่างกายยังแข็งตามไปเสียทุกส่วนอย่างรวดเร็วเช่นกัน มีดสั้นนี้คงอาบยาพิษอย่างแน่นอน และอีกไม่นานตนก็คงต้องตาย
ริมฝีปากของทันยอบเปิดออก ก่อนจะเค้นคำพูดออกมาอย่างยากลำบาก
“ฮโย เจ้า…”
“ขอโทษ”
น้ำเสียงสงบนิ่งของบุรุษผู้หนึ่งดังขึ้นและจบลงเพียงเท่านั้น ทันยอบล้มลงกับพื้นพลางกระตุกสั่น ผ่านไปเพียงครู่ก็ไม่มีการขยับเขยื้อนอีก อีกฝ่ายจึงเผยกายภายใต้ความมืดมิด เป็นบุรุษชุดดำเช่นเดียวกัน เขาเดินเข้าไปหยุดอยู่ข้างเตียงเพื่อสำรวจสภาพของโซกัง ก่อนจะก้มตัวลงสังเกตสีหน้าและสูดดมกลิ่นจากปากของร่างบาง
“นี่มัน…”
กล่าวออกมาแผ่วเบาพร้อมสีหน้าบิดเบี้ยว ด้วยรับคำสั่งจากนายท่านมาว่า ชายผู้เป็นสนมของฝ่าบาทรู้ตำแหน่งของบันทึกสำคัญ จะปล่อยให้ถูกฆ่าไม่ได้ ดังนั้นเมื่อเห็นทันยอบเข้าถึงตัวโซกัง ตนจึงรีบขว้างมีดสั้นออกไป แต่ดูเหมือนจะช้าไปก้าวหนึ่ง กลิ่นอ่อนของดอกไม้และกลิ่นของสมุนไพรที่ฟุ้งออกมานั้น บ่งบอกว่ายอบมอบยาพิษ ‘นั้น’ ให้เรียบร้อยแล้ว
ชายหนุ่มถอนหายใจออกมาพลางกวางสายตามองภายในห้องบรรทม เป็นสนมก็จริง ทว่าข้างเตียงด้านหนึ่งกลับมีโต๊ะ กระดาษ พู่กันและหมึกวางอยู่แทนที่จะเป็นพวกเครื่องประทินโฉม อีกฝ่ายรับพิษเข้าไปแล้ว เขาจึงได้แต่เริ่มเขียนอักษรลงบนกระดาษ
ทันยอบไม่เคยบอกวิธีทำยาถอนพิษ แต่เขาก็รู้จักตัวยาที่เป็นส่วนผสม และทำการเขียนรายชื่อของตัวยาเหล่านั้นลงไป ถึงกระนั้นก็ไม่ใช่สิ่งที่หมอหลวงจะสามารถทำการโดยลวกๆ ได้แต่หวังให้หมอหลวงเข้าใจ
หลังจากเขียนเสร็จก็วางกระดาษบนกายของร่างบอบบางบนแท่นบรรทม ขณะนั้นพลันได้ยินการเคลื่อนไหวจากภายนอก เขาจึงซ่อนตัวในความมืดโดยไม่มีกระทั่งเวลาจะเก็บมีดสั้นที่ปักอยู่บนหลังของทันยอบ ชั่วพริบตาประตูก็เปิดออก ผู้เข้ามาด้านในคือนางกำลัง ระหว่างนั้นเขาเร้นกายออกไปด้านนอกประตู
“ลืมดับตะเกียงหรือนี่”
คำพึมพำเพียงแผ่วเบาของนางกำนัลดังมาถึงโสตประสาทของผู้อำพรางกายอยู่ในความมืด ทว่าหลังจากนั้นก็ตามมาด้วยเสียงกรีดร้องทันที เหล่าองครักษ์ฮวังรยงและทหารหลวงที่ยืนอารักขาอยู่ด้านนอก รวมถึงเหล่าขันทีต่างรีบกรูกันเข้ามาด้านใน แน่นอนว่าองค์จักรพรรดิก็วิ่งมาอย่างร้อนใจเช่นกันเนื่องจากประทับอยู่ไม่ไกล เขากลั้นหายใจราวกับไม่มีตัวตนอยู่บริเวณนั้น ทุกคนล้วนวิ่งเข้าไปยังห้องบรรทม ด้วยมีศพที่ดูเหมือนเพิ่งจะถูกฆ่าตาย จนไม่ทันสังเกตการเคลื่อนไหวโดยรอบ
แม้ไม่ใช่ด้วยความตั้งใจ ทว่าอย่างไรมันก็ถือเป็นโอกาสหนี เขาจึงอาศัยช่องโหว่ของช่วงเวลานี้หลบหนีจากตำหนักฮงฮวา
“มันลอบเข้ามาได้อย่างไรกัน!”
น้ำเสียงเดือดดาลของฝ่าบาทดังแว่วออกมาถึงบริเวณด้านนอกตำหนัก ขณะผู้เป็นตัวการลอบขยับกายซุกซ่อนในความมืดไปเรื่อยๆ
ในเวลาเดียวกัน จวนของแพคมูกิลเองก็มีผู้บุกรุกเช่นกัน ผู้บุกรุกสวมใส่ชุดสีดำและกำลังดำเนินการตามหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย คำสั่งนั้นง่ายดายกว่าผู้บุกรุกวังหลวงเป็นอย่างยิ่ง
เขาจับภรรยาของแพคมูกิลที่ตั้งใจจะส่งเสียงร้องตะโกน ก่อนจะส่งดาบสั้นพาดลำคอเรียวเล็กนั่น และเพียงชั่วพริบตา คบดาบก็ขยับเคลื่อนจากซ้ายไปขวาอย่างแผ่วเบา ทั้งๆ ที่สีหน้าของนางยังแข็งค้างด้วยความตั้งใจจะตะโกนร้องในคราแรก โลหิตจากลำคอที่ถูกตัดเกือบขาดไหลทะลักราวกับน้ำพุ ผู้ลงมือมองดูนางกระตุกตัวเล็กน้อยแล้วค่อยๆ ทรุดลงกับพื้น จากนั้นก็หันมาค้อมคำนับอย่างนอบน้อมต่อแพคมูกิล ด้วยท่าทางสุภาพต่างจากการบั่นคอสตรีผู้หนึ่งในคราเดียว
แม้จะเห็นเหตุการณ์ แต่แพคมูกิลกลับไม่เผยสีหน้าตื่นตระหนกเลยแม้แต่น้อย เขาขบกัดริมฝีปากพลางกลอกตาไปมา พยายามเรียบเรียงสถานการณ์อยู่ครู่หนึ่ง
“เจ้าเป็นคนของผู้ใด”
“ขออภัยขอรับ อย่างที่ท่านทราบดี พวกเรายาอึมเพียงทำตามคำสั่งเท่านั้น”
“เช่นนั้นข้าจึงได้ถามว่าเป็นใคร ผู้ใดกันที่บังอาจ!”
“ผู้ที่สามารถเรียกหามือเท้าเช่นพวกเราได้ก็มีอยู่ไม่มากนัก ไม่ทราบจริงๆ หรือขอรับท่านแม่ทัพ”
คำกล่าวของบุรุษชุดดำ ทำให้สีหน้าของแพคมูกิลแตกตื่นด้วยความตระหนกและเครียดขึงด้วยโทสะ ได้ฟังแล้วก็ไม่ยากต่อการคาดเดาว่าใครเป็นผู้ส่งมา นั่นไม่ใช่ความสงสัย แต่เป็นความแน่ชัด
“ท่านอา… มหาเสนาบดีฝ่ายตุลาการส่งเจ้ามาหรือ”
“ท่านฝากข้าน้อยมาแจ้งด้วยว่า หากคยองโซยงดีถึงเพียงนั้น ก็ไปพบนางเสียไม่ดีกว่าหรือ”
“แล้ว?”
“ตอนนี้ไม่มีอันใดช่วยท่านได้แล้วขอรับ”
“ชั่วช้านัก”
แพคมูกิลถูกทอดทิ้งโดยสมบูรณ์และเพื่อการอยู่รอดจึงต้องดิ้นรน ทว่ามันกลับกลายเป็นการกระทำอันไร้ค่าเมื่ออยู่ต่อหน้ายาอึม ชายชุดดำกวัดแกว่งดาบสั้นด้วยความรวดเร็วยิ่ง ดาบสั้นของอีกฝ่ายพุ่งเข้ามาโดยเล็งที่ลำคอ
คงจะดีหากปลิดลมหายใจในคราเดียว มันจะเจ็บปวดน้อยลง
การดิ้นรนเพื่อความอยู่รอด เป็นเพียงการสร้างความเจ็บปวดแก่ตนเองเท่านั้น เพราะการเคลื่อนกายหลบเลี่ยงจึงทำให้แขนถูกสะบั้นแทนลำคอ เสียงกรีดร้องอย่างเจ็บปวด ไม่ใช่สิ กลับกลายเป็นโลหิตที่ทะลักออกมาจากลำคอแทนเสียงกรีดร้อง เนื่องจากบุรุษผู้นั้นมิได้นำดาบมาเพียงเล่มเดียว
เขาสะบัดดาบในมือเพื่อสลัดคราบโลหิตออก ก่อนจะหลบหนีจากเรือนนอนของแพคมูกิล เหล่าคนงานของและเหล่าทาสต่างไล่ตามขณะหลบหลีกออกจากจวน ทว่าชายชุดดำกลับหายไปจากครรลองสายตาในชั่วพริบตา
นับเป็นค่ำคืนที่เกิดการสูญเสียอย่างใหญ่หลวงนัก
ผลการตรวจสอบศพของนางกำนัลตำหนักฮงฮวาห้าคน องครักษ์ฮวังรยงฝึกหัดสี่คน ขันทีตำหนักฮงฮวาสองคนซึ่งล้วนถูกปลิดชีพในคืนนี้ พบว่าการตายของพวกเขาล้วนจุดที่เหมือนกัน นั่นคือรอยแผลเปลี่ยนเป็นสีดำ
แน่นอนว่าการตายของคนเหล่านั้นเป็นเรื่องน่าเศร้า ทว่าสำหรับจาฮอนแล้ว มันกลับเกิดเรื่องหนักหนายิ่งกว่า เพราะถึงแม้ว่าภายนอกจะดูคล้ายไม่มีสิ่งใด ทว่าโซกังไม่ยอมตื่นขึ้นมา
ทั้งๆ ที่ภายในตำหนักเสียงดังถึงเพียงนั้น อีกฝ่ายกลับไม่ลืมตาตื่น จาฮอนคิดว่าเรื่องนี้น่าประหลาดใจนักจึงไล่ผู้อื่นออกไปจากห้องบรรทม จากนั้นก็ปลดอาภรณ์ของร่างบางออกเพื่อสำรวจ แต่ก็ไม่พบร่องรอยใดๆ บนร่างกาย เพียงลมหายใจที่ช้ากว่าปกติเท่านั้น และไม่ว่าจะเขย่าตัวเช่นไรก็ไม่ได้สติ ทว่าระหว่างนั้นก็ค้นพบกระดาษเขียนด้วยลายมือรีบเร่ง เนื้อความเป็นรายชื่อของสมุนไพรและบอกว่าโซกังต้องพิษ
จาฮอนจึงส่งขันทีไปยังสำนักหมอหลวงให้ตามตัวหมอหลวงมาโดยเร็ว
เมื่อหมอหลวงมาถึงหลังจากวิ่งมาอย่างรีบร้อนทันทีที่ได้รับคำสั่ง ก็ทำการตรวจดูรายละเอียดตามเรื่องที่ได้รับรายงาน ก่อนจะตรวจชีพจรของโซอีมามา
กระทั่งค่ำคืนอันเจ็บปวดผ่านพ้นไป จนยามเช้าวันใหม่มาถึงก็ยังคงเป็นเช่นเดิม…
แต่ฝ่าบาทได้รับฟังรายงานว่า เมื่อคืนวานแม่ทัพแพคมูกิลกับภรรยาก็ถูกคนร้ายลอบเข้ามาสังหารถึงภายในจวนเช่นกัน