ขณะนั้นภายในตำหนักฮวังรยงเงียบสงัด เงียบถึงขนาดได้ยินเสียงขบกรามของจาฮอน นัยน์ตาสีดำสนิทของเขาเคลือบแฝงด้วยความบ้าคลั่งและประกายอันตราย ขันทีโชตระหนักได้ว่าโทสะของฝ่าบาทอาจจะเพิ่มขึ้นจนเกิดเป็นเหตุการณ์อันตราย จึงขยับเข้าไปด้านข้างพระวรกาย ค้อมคำนับพร้อมกระซิบ
“ฝ่าบาท โปรดเย็นพระทัยก่อนเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
“เรา อืม ใจเย็นๆ ใจเย็น…”
ร่างสูงพึมพำว่าใจเย็น ใจเย็นซ้ำๆ ด้วยน้ำเสียงกัดฟันคล้ายจะหัวเราะหรือไม่ก็ร้องไห้ จากนั้นก็ผลักโต๊ะตรงหน้าลงไปด้านล่างอย่างแรง โต๊ะตัวนั้นล้มครืนกลิ้งสู่เบื้องล่างบัลลังก์ พลันเกิดเสียงผู้คนขยับหลบเลี่ยงอย่างรีบร้อนผสมกับเสียงของตกกระแทกพื้น
ทว่าจาฮอนไม่ได้สนใจสิ่งเหล่านั้นเลย หลังจากผลักโต๊ะออก เขาก็ลุกขึ้นจากแล้วคว้าดาบจากเอวขององครักษ์ฮวังรยงที่ยืนอยู่ข้างกายออกมาภายในชั่วพริบตา จากนั้นก็วิ่งลงไปยังตำแหน่งยืนของเหล่าขุนนาง อย่าว่าแต่คำห้ามปรามของขันทีโชเลย เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นก่อนเจ้าของดาบจะทันได้อ้าปากทัดทานเสียด้วยซ้ำ
“ข้าจะหั่นแขนและขาทั้งสองข้าง เอาให้เจ้าทำได้เพียงคลานไปมาบนพื้น ลองพูดออกมาอีกสิ”
เขาวาดปลายดาบในมือกรีดผ่านอาภรณ์ของมหาเสนาบดีฝ่ายตุลาการจนเกิดเป็นบาดแผลถึงผิวเนื้อบริเวณแขน แล้วขยับพาดคมดาบกับลำคอของอีกฝ่าย ไม่ใช่เพียงการตัดแขน ทว่ามันเป็นท่าทีคล้ายจะบั่นคอในทันที เหล่าขุนนางต่างพากันตัวสั่นและพร้อมใจกันคุกเข่าหมอบลงกับพื้น
“ขอโปรดทรงเย็นพระทัยเถิดพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท”
เรียวคิ้วของจาฮอนขมวดมุ่มด้วยสีหน้าเ**้ยมเกรียม ไม่หลงเหลือสติใดให้ใจเย็นลงได้
ใจเย็นอะไรกัน ทำไมกัน…
หมอหลวงรายงานว่าไม่สามารถยืนยันได้ว่าโซกังจะเป็นอย่างไร ตนจะนั่งอยู่ห้องข้างๆ กันแท้ๆ แต่กลับไม่ได้ยินเลยว่ามีคนแอบลักลอบเข้ามา
ยามรับรู้ว่าชื่อของยูโซกังได้รับการประกาศว่าสิ้นชีพในคุกหลวง จึงคิดได้ว่าอีกฝ่ายต้องมีความลับบางอย่าง เมื่อยิ่งได้เห็นปฏิกิริยาของทุกคนเมื่อครั้นตัดสินใจรับโซกังเข้ามาเป็นสนม ก็สันนิษฐานได้ว่าเรื่องราวของโซกังกับกลุ่มเชต้องมีความเกี่ยวข้องกันบางอย่าง ดังนั้นจึงคาดการณ์ไว้แล้วว่าอาจจะมีเรื่องร้ายแรงเกิดขึ้น และสั่งกำชับให้เพิ่มการคุ้มกันของตำหนักฮงฮวา
ถึงกระนั้นก็ยังพลาด การปล่อยให้นักฆ่าลอบเข้ามาถึงวังหลวงอย่างง่ายดายเช่นนี้ นับเป็นเรื่องน่าอับอายนัก ดังนั้นเขาถึงได้โกรธและขาดสติ
“หนวกหู วันนี้… ประชุม… พอเท่านี้”
จาฮอนพรูลมหายใจอ่อนล้าออกมาก่อนจะโยนดาบในมือลงพื้น มันทิ้งตัวลงกระทบพื้นจนเกิดเป็นเสียงดังก้อง แต่เขาก็ไม่ได้หันหลังกลับมามองแต่อย่างใด มุ่งหน้าก้าวออกจากตำหนักฮวังรยงทันที ขันทีโชและองครักษ์ฮวังรยงได้แต่รีบร้อนติดตามไล่หลัง
“ฝ่าบาท”
“ไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น”
ร่างสูงใช้มือลูบหน้าตนเองอย่างแรงพร้อมเอ่ยแผ่วเบา น้ำเสียงนั้นเปรอะเปื้อนความเศร้าเสียใจเล็กน้อย
แม้ไม่ได้บอกกล่าวกับผู้ใด ทว่าต่างรู้แก่ใจดี เหตุผลที่ตนไม่สามารถรักษาความเยือกเย็น ไม่ใช่เพราะมีนักฆ่าลอบเข้ามาในวังหลวง ไม่ใช่เพราะโซกังอาจจะพัวพันกับแผนการลับ แต่สาเหตุเพียงเพราะตำหนิตนเองที่ปล่อยให้โซกังถูกทำร้าย แม้จะอยู่ตรงนั้นด้วย ก็ไม่อาจปกป้องอีกฝ่ายได้
จาฮอนยืนนิ่งอยู่ครู่หนึ่งพยายามสงบจิตใจลง ไม่รู้เลยว่าความรักที่ตนมีต่อโซกังจะมากมายถึงเพียงนี้
แต่ทุกอย่างมันกลับวุ่นวายไปเสียหมด เข้าใจดีว่าไม่อาจรับมือกับเรื่องราวต่างๆ ด้วยอารมณ์ร้อนเฉกเช่นก่อนหน้าได้ จึงคิดว่าหากไม่สามารถทำสุขุมเยือกเย็น ก็ควรเก็บซ่อนกดทับมันด้วยความเป็นเหตุเป็นผลแทน
“ไปสำนักหมอหลวง”
“พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท”
จาฮอนตรงไปยังสำนักหมอหลวงเพื่อตรวจสอบมีดสั้นที่ปักอยู่บนหลังของนักฆ่า และนึกค้นหาสาเหตุที่แพคมีกังพยายามเอาศพของแพคมูกิลคืน
และเมื่อถึงยามโซกังได้สติฟื้นคืน เขาคิดจะบอกว่าตอนนี้ไม่มีอันตรายแล้ว ดังนั้นอย่าได้คิดจะไปจากข้างกายเขาเด็ดขาด
* * *
หลังจบเหตุการณ์น่าระทึก แพคมีกังก็ลุกออกจากตำหนักฮวังรยง ปล่อยเรื่องงานเอาไว้ทีหลังแล้วรีบกลับจวนทันที ก่อนจะสั่งข้ารับใช้ให้ไปเรียกใครสักคนจากบรรดานักฆ่าที่ไม่มีงานต้องรับผิดชอบในช่วงนี้มาหาตน ชายชรานั่งอยู่ในห้องตำราพลางเคาะนิ้วกับโต๊ะอย่างกระวนกระวาย ระหว่างรอคอยการกลับมาของข้ารับใช้ที่ส่งไปทำตามคำสั่ง
ครู่หนึ่งหลังจากนั้น เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น ตามด้วยเสียงกล่าวจากด้านนอก
“เรียกหาหรือขอรับ”
“เข้ามาด้านใน”
นักฆ่าร่างเล็กสวมชุดดำทั้งตัวหมอบราบอยู่กับพื้น อีกฝ่ายตัวเล็กกว่านักฆ่าคนอื่นๆ ด้วยส่วนสูงที่ไม่มากนักส่งผลให้ดูคล้ายกับสตรีอย่างยิ่ง แพคมีกังออกคำสั่งทันทีโดยไม่แม้แต่จะปรายตามอง
“ไปที่สำนักหมอหลวง ลอกผิวเนื้อบริเวณที่สักตราสัญลักษณ์ของทันยอบออกมาเสีย แล้วก็ตามหามีดสั้นของแม่ทัพมาด้วย”
“ขอรับ?”
“ข้าสั่งให้ตัดเอาตราสัญลักษณ์ออกมาเสีย เพื่อยาอึมทุกคน”
“ทะ ทันยอบตายแล้วหรือขอรับ”
“รีบจัดการก่อนฝ่าบาทจะพบเข้า เจ้ามิได้เรียนรู้มาหรืออย่างไรว่าห้ามถามคำถามใด!”
เเพคมีกังเขวี้ยงถ้วยชาบนโต๊ะใส่ด้วยความโมโห ถ้วยชาปลิวกระแทกเข้ากับศีรษะของนักฆ่าผู้นั้นแล้วร่วงตกแตกกระจายบนพื้น อีกฝ่ายก้มหน้างุดแล้วเอ่ยด้วยเสียงแผ่วเบา
“ขออภัยขอรับนายท่าน”
“รีบไป และหากถูกทหารหลวงพบเข้าก็จงฆ่าตัวตายเสีย”
“ทราบแล้วขอรับ”
นักฆ่าชุดดำหมุนตัวออกจากห้องตำราของแพคมีกัง เขาเดินไปยังมุมหนึ่งภายในจวนโดยทันที ซ่อนตัวกับเงามืดของอาคาร จากนั้นก็เอ่ยถามขึ้นมาเงียบๆ ตรงนั้นมีบุรุษสวมชุดดำเช่นเดียวกัน แต่มีส่วนสูงและร่างกายกำยำกว่าซ่อนตัวอยู่
“พี่ฮโย ยอบตายแล้วจริงๆ หรือ”
“อืม”
“…ทำไมกัน ทั้งที่เขาชำนาญการวางยาพิษ อีกทั้งยังฝีมือดีที่สุด เหตุใดถึงตายได้เล่า วังหลวงนั่นก็หาใช่เพิ่งจะไปครั้งแรก”
“ยอง…”
ทันทีที่ถูกเรียกชื่อ ร่างบางก็ทรุดนั่งลงกับพื้นอย่างไม่สามารถฝืนทนต่อได้อีก บนใบหน้าที่เคยเรียบนิ่งก่อนหน้านี้ เริ่มมีหยาดน้ำตาไหลพรากลงมาราวกับทุกอย่างเป็นเรื่องหลอกลวง อีกฝ่ายจึงย่อตัวลงลูบหลังปลอบคนสะอื้นจนตัวโยน
“ทันยอง เอาไว้ค่อยร้องไห้ทีหลังเถอะ”
“แม้ไม่รู้ว่าผู้ใดเป็นคนฆ่า แต่ข้าจะไม่อยู่เฉยแน่”
ผู้ถูกเรียกว่าทันยอง ปาดเช็ดน้ำตาที่ยังคงรินไหลพร้อมกับผุดลุกขึ้น จากนั้นก็กระโดดเหยียบขึ้นบนต้นไม้ก่อนจะทะยานข้ามกำแพงหายตัวไป แน่นอนว่าไม่ได้เป็นที่สะดุดตาผู้คนเลย เหล่ามือสังหารของยาอึมมักจะเหยียบย่างบนหลังคามากกว่าบนพื้นดิน
ชังฮโยพรูลมหายใจออกมาเฮือกใหญ่พลางทุบอกตนเองหลายครั้ง ด้วยรู้ดีถึงความสัมพันธ์ระหว่างทันยองและทันยอบ ทั้งยังละอายกับสิ่งเคยใช้มือคู่นี้กระทำ และด้วยความรู้สึกของตนที่มีต่อทันยอง เขาทอดถอนใจอีกคราก่อนจะซ่อนกายกับความมืดมิดเช่นเดิม
อีกด้านหนึ่ง ทันยองกลับไปยังร้านผ้าไหมและเตรียมตัวสำหรับเข้าไปในวังหลวง จากนั้นก็เรียกรถม้าและเดินทางออกไป
หลังจากจอดรถม้าแถวๆ หน้าวังหลวง ทันยองก็ยื่นแผ่นป้ายให้กับทหารยามหน้าประตู เมื่อทางนั้นเอ่ยขอแผ่นป้ายชื่อยืนยันตัวตน ทหารยามตรวจสอบตัวตนเรียบร้อยแล้วก็ทำการเปิดประตูให้ทันยองเข้าไปภายในวังหลวง
ร่างบางเก็บแผ่นป้ายสลักว่าเป็นหมอหญิงของสำนักหมอหลวงเข้าในอกเสื้อ ก่อนจะก้าวผ่านประตูแล้วตรงไปยังสำนักหมอหลวง
สำนักหมอหลวงดูโกลาหลอย่างยิ่ง โดยไม่มีผู้ใดว่างเว้น หมอหญิงทั้งหลายต่างเคลื่อนตัวไปมาอย่างวุ่นวาย ขณะนั้นก็มีคนผู้หนึ่งแตะเข้าที่ไหล่ของทันยอง
“อย่ามัวแต่ยืนเหม่อ รีบไปทำงานที่ได้รับมอบหมายเสียเถอะ”
“เจ้าค่ะ”
ตอนนี้ทันยองสวมอาภรณ์หมอหญิงฝึกหัดของสำนักหมอหลวง เขาค้อมคำนับตอบรับและเดินปะปนพร้อมกับทุกๆ คน
สถานที่ที่เต็มไปด้วยกลิ่นสมุนไพร ไม่มีสักคนอยู่นิ่งอย่างว่างงาน ท่ามกลางผู้คนมากมายนั้น เขาคิดจะคว้าใครสักคนที่หลบแอบมุมและพอจะว่างงานมาล้วงถามข้อมูล ทว่าผู้คนทั้งหมดของที่นี่ล้วนแล้วแต่มีงานล้นมือ จึงไม่มีใครว่าพอให้สอบถามได้เลย
ระหว่างเฝ้าสังเกตการเคลื่อนไหวของผู้อื่น ทันยองก็แทรกตัวเข้าไปจัดเตรียมสมุนไพรที่ดูจะเป็นงานง่ายที่สุดในบรรดางานเหล่านั้น และเมื่อเห็นบรรดาสมุนไพรตากแห้งอย่างดีก็พลันนึกถึงทันยอบขึ้นมา
ตัวเขาไร้ความทรงจำเกี่ยวกับพ่อแม่ สิ่งที่จดจำได้คือการดำรงชีวิตไปวันๆ ด้วยการขอทานกับทันยอบ ชายที่ได้รู้จักกันบนถนน แต่อีกฝ่ายไม่เคยละทิ้งตนไปไหน ทั้งยังแบ่งปันสิ่งที่ขอทานมาได้และคอยอดทนกับค่ำคืนที่ต้องซ่อนตัวอยู่ในป่า พวกเขาแบ่งปันความอบอุ่นแก่กันและกันตลอด กระทั่งยามเจ้าของร้านผ้าไหมต้องการจะพาตัวทันยอบไป อีกฝ่ายก็กล่าวว่าหากไม่ยอมพาเขาไปด้วย ก็ตนเองจะไม่ไปไหนเด็ดขาด แล้วในวันที่ต้องนั่งขดตัวอยู่ภายในรถม้าของเจ้าของร้านผ้าไหม ทันยอบยังลูบศีรษะปลอบเขา ทั้งกระซิบถ้อยคำที่เวลานี้ก็ยังคงแจ่มชัด
‘มีเพียงเราสองคนที่เป็นครอบครัวของกันและกัน แม้ยามได้นอนในที่อบอุ่น ได้กินครบสามมื้อ ก็ยังจะเป็นเช่นนั้น ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ข้าไม่มีทางทิ้งเจ้าไว้เพียงลำพัง’
เป็นเช่นนั้น… ทว่าตอนนี้ทันยอบกลับจากไปโดยทอดทิ้งเขาไว้ลำพังเสียอย่างนั้น