ท่ามกลางการรักษาความปลอดภัยอย่างเคร่งครัด องครักษ์ฮวังรยงพาทันยองเข้ามาภายในตำหนักฮงฮวา ป้ายไม้ประจำตัวของหัวหน้าหน่วยฮวังรยงบวกกับชุดหมอหญิงของทันยอง ทำให้พวกเขาไม่ได้รับคำถามใดๆ และสามารถเข้ามาถึงสถานที่ที่ฝ่าบาทประทับและมีโซอีมามาพักฟื้นอยู่ได้อย่างง่ายดาย
เวลานี้เป็นยามโอ
ร่างกายของโซกังเย็นลงเรื่อยๆ ราวกับต้องลมหนาวจัดด้วยกายเปลือยเปล่า ทั้งๆ ที่หมดสติอยู่ แต่ร่างกายของอีกฝ่ายกลับสั่นเทา ทั้งลมหายใจก็ยังเนิบช้า
หลังจากการประชุมขุนนาง ณ ตำหนักฮวังรยงช่วงเช้า จาฮอนก็ไม่ยอมรับสำรับใดๆ และเอาแต่เฝ้ามองร่างบางอยู่เช่นนี้
“ฝ่าบาทกระหม่อมมีเรื่องกราบทูล ขอทรงสละเวลาสักครู่เถิดพ่ะย่ะค่ะ”
“ไม่อยากฟัง”
“อันที่จริงกระหม่อมพาผู้บุกรุกวังหลวงมาด้วย เป็นเรื่องเกี่ยวกับโซอีมามาพ่ะย่ะค่ะ”
ดวงตาที่เต็มไปด้วยความสิ้นหวังของจาฮอนแทบจะหันกลับมายังอีโฮกิลในทันที
อีโฮกิลแตะตัวทันยองที่ยืนอยู่ข้างๆ ตนให้คุกเข่าลงพร้อมกัน ทันยองจึงค้อมตัวต่ำยิ่งขึ้นและเอ่ยปากกล่าว
“ถวายพระพรพ่ะย่ะค่ะ”
“เงยหน้าขึ้น เรื่องเกี่ยวกับโซอีคือเรื่องอันใดกัน”
น้ำเสียงคล้ายกระวนกระวาย ทำให้ทันยองเงยหน้าขึ้นจ้องมององค์จักรพรรดิ แล้วก็ต้องหลุดอุทานออกมาโดยไม่รู้ตัว ทั้งยังบังอาจจ้องพระพักตร์โดยตรง ไม่ยอมก้มหน้าลง
จากนั้นก็ปล่อยน้ำตาให้รินไหลออกมา เพราะเห็นทันยอบซ้อนทับกับพระพักตร์ของฝ่าบาท ยามตนเป็นไข้จนเกือบตาย ทันยอบก็จะออกไปหายามาให้ และกลับมาพร้อมยาสมุนไพรกับยาเม็ดในสภาพเปื้อนเลือด ก่อนฝ่ายนั้นจะออกไปหายา ก็มีสีหน้าและแววตาเฉกเช่นฝ่าบาทในยามนี้
สีหน้าเป็นกังวล โศกเศร้าและสิ้นหวัง
เหล่าคนสำคัญของผู้ถูกสังหารก็คงมีสายตาเช่นนี้ พวกเรามอบความสิ้นหวังให้ผู้คนมากมายถึงเพียงใดกัน…
ระหว่างเดินมาจนถึงที่นี่ เขาได้ละทิ้งความคิดเพียงน้อยนิดว่าจะกลับยาอึมไปตั้งแต่ต้น ทันยองก่นด่าตนเองในใจที่ยังลังเลถึงการหลบหนีจากยาอึม ทั้งๆ ที่ฝ่ายนั้นลงมือกำจัดทันยอบทิ้ง เขาค่อยๆ ผุดลุกขึ้นยืน จาฮอนจ้องมองอย่างไม่สบอารมณ์ เมื่ออีกฝ่ายเอาแต่ร้องไห้และไม่ยอมกล่าวเรื่องเกี่ยวกับโซกังเสียที ก่อนจะเอ่ยเร่ง
“รีบว่ามา”
“ฝ่าบาท หมอหลวงมาแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
ทว่าหลังจบคำ ก็มีเสียงรายงานว่าหมอหลวงมาถึงแล้วจากนางกำนัลด้านนอก ร่างสูงถอนหายใจออกมาแล้วส่งสัญญาณให้อีโฮกิล เจ้าตัวเข้าใจถึงสัญญาณนั้นจึงดึงตัวทันยองหลบมาอยู่ด้านหนึ่ง
“เข้ามา”
ทันทีที่เอ่ยอนุญาต ประตูก็เปิดออก โดยมีหมอหลวงถือถาดยาที่มีไอร้อนลอยกรุ่นเข้ามาด้านใน และทำการถวายถาดยานั้นให้กับฝ่าบาท ทว่าทันยองกลับเอ่ยขัดขึ้นอย่างรีบร้อน
“คืนยากลับไปพ่ะย่ะค่ะ!”
“พูดอะไรของเจ้า”
“ฝ่าบาท หากดื่มยาร้อนอาการจะยิ่งแย่ลงพ่ะย่ะค่ะ เส้นโลหิตจะแตกในทันที มันจะทำให้โลหิตไหลออกจากทวารทั้งห้า”
“หมายความว่าอย่างไร เปิดปากเจ้าออกมา! เจ้าคือผู้บุกรุกหรือ ทรมานมันผู้นั้นเสีย สืบหาว่ามาจากที่ใด! ลากตัวมันออกมา!”
คำกล่าวตักเตือนอันน่าหวาดกลัวของทันยองทำให้จาฮอนตะโกนออกมาพร้อมจ้องอีกฝ่ายเขม็ง ผู้อื่นต่างคุกเข่าหมอบลงพร้อมตะโกนว่า ‘โปรดทรงระงับโทสะด้วยพ่ะย่ะค่ะ’ ทว่าทันยองไม่แม้แต่จะคุกเข่าและยังจ้องตากับจาฮอนตรงๆ
“ถูกทรมานก็นับว่าดี กระหม่อมยินดีรับโทษทัณฑ์จากการบุกรุกวังหลวงด้วยความเต็มใจ ทว่าจะให้ยาร้อนไม่ได้เด็ดขาดพ่ะย่ะค่ะ ถึงอย่างไรกระหม่อมก็หวังเพียงว่า มันจะมิกลายเป็นการสังหารครั้งสุดท้ายของยอบ ได้โปรดพ่ะย่ะค่ะ ทรงคืนยานั้นกลับไปเถิด”
ทันยองรู้จักยาถอนพิษของทันยอบ เขาจึงตะโกนออกมาทันทีที่เห็นถ้วยยาร้อนๆ นั่น
พิษที่ทันยอบทำขึ้นมาทั้งหมด ล้วนดื่มยาต้มรักษาไม่ได้ เนื่องจากอันดับแรก ผู้ที่ไม่ได้รับพิษมากนักย่อมต้องหายาต้มบำรุงกำลังเพื่อกำจัดพิษอันน้อยนิดนั่น ยอบเล็งเห็นถึงจุดนั้นจึงทำการสร้างพิษเช่นนี้ขึ้นมา พิษของทันยอบ หากได้รับยาร้อนเพิ่มเข้าไปอีก จุดชีพจรจะร้อนและอุณหภูมิของพิษจะเพิ่มขึ้นจนทำให้เส้นโลหิตแตกซ่าน สุดท้ายก็นำไปสู่ความตาย นั่นคือลักษณะพิเศษของมัน
คำพูดของทันยองทำให้ความเงียบโรยตัวอยู่ภายในครู่หนึ่ง ก่อนจาฮอนจะค่อยๆ เปิดปากเอ่ยถาม
“เจ้าสามารถรับผิดชอบคำพูดของตนได้หรือไม่ ไม่สิ ไม่ใช่ ข้า…!”
ทันยองรู้ดีว่าอีกฝ่ายหวาดกลัวสิ่งใด หากได้ฟังวาจาจากคนแปลกหน้าที่กล่าวว่าคนรักจะต้องตาย มันจะมีประโยชน์อันใดในการถามหาความรับผิดชอบ เขาเลยพยายามคิดหาวิธีที่จะทำให้ทุกคนเกิดความเชื่อถือ แม้จะเป็นเพียงนิดก็ตาม
แล้วก็พลันนึกถึงรอยสักขึ้นมาได้จึงยื่นแขนออกไปข้างหน้าและกล่าวออกมา
“ฝ่าบาท กระหม่อมเป็นคนในกลุ่มเดียวกับนักฆ่าที่บุกรุกเข้ามาพ่ะย่ะค่ะ รอยสักนี้คือเครื่องยืนยัน”
“นั่นยิ่งไม่อาจทำให้ข้าเชื่อถือเจ้าได้ ผู้ใดจะรู้ เจ้าอาจจะมาเพื่อจัดการงานล้มเหลวให้สำเร็จก็เป็นได้”
“ไม่มีทางเป็นเช่นนั้นเด็ดขาด ตั้งแต่เลือกเข้าเฝ้าฝ่าบาท ก็ถือว่ากระหม่อมทรยศต่อกลุ่มแล้ว หากกลับไป ไม่สิ ถึงไม่ได้กลับไป อย่างไรกระหม่อมก็ต้องตายอยู่ดี โปรดทรงอนุญาตให้กระหม่อมได้สะสางเรื่องที่คนผู้นั้นกระทำด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
จาฮอนไม่อาจโต้แย้งอะไรตอบกลับได้เลย หากอนุญาตแล้วโซกังต้องตาย ก็ไม่รู้ว่าจะตำหนิตนเองอย่างไร และตรงกันข้าม หากไม่อนุญาตแล้วโซกังต้องตาย ก็คงรู้สึกผิดต่อความผิดพลาดของตนเองอย่างไม่มีสิ้นสุด
เมื่อไตร่ตรองตัดสินใจด้วยเหตุและผลอย่างถึงที่สุดแล้ว ย่อมรู้ว่าจะเป็นอย่างไร ทว่าความหวาดกลัวเพราะไม่รู้ว่าจะสูญเสียอีกฝ่ายไปหรือไม่ คือสิ่งที่เข้ามาขัดขวางการตัดสินใจ ท้ายที่สุดจาฮอนก็ทำสีหน้าเหยเกพร้อมเอ่ยขึ้น
“ข้า…อนุญาต”
ทันยองกล่าวขอบคุณหลังได้รับการอนุญาต ก่อนจะขยับเข้าไปใกล้แท่นบรรทมโดยไม่ลังเล
* * *
คุกของวังหลวงนั้นขึ้นชื่อยิ่งกว่าตำหนักเย็น เพราะตำแหน่งที่ตั้งไม่มีทางจะมีแสงแดดสาดส่องถึง การถูกจับขังในสถานที่เช่นนั้น ความหนาวเย็นจะส่งผ่านขึ้นมาจากพื้นดินที่ได้รับการปูด้วยเสื่อฟางเพียงชั้นเดียว แน่นอนว่าสิ่งที่เรียกว่าผ้าห่มและชุดของเหล่านักโทษ ล้วนเป็นเพียงผ้าป่านทอบางๆ เท่านั้น เดิมทีโซกังก็อ่อนแอด้วยอาการป่วยกระเสาะกระแสะมากกว่าโซยงอยู่แล้ว ดังนั้น เพียงแค่สองวันที่ถูกขังภายในคุก ร่างกายจึงยิ่งอ่อนแรงกว่าเดิม
ช่วงเวลาหนึ่งของวันเดียวกัน ยามที่โซกังกำลังขดตัวคุดคู้นอนหลับอยู่มุมหนึ่งของคุกหลวง
บุรุษสวมชุดทหารสีน้ำเงินก็เข้ามาตามหาโซยงจากด้านใน
“มีเรื่องอันใดหรือเจ้าคะ”
โซยงนั่งนิ่งอยู่บนพื้นและกล่าวถามอีกฝ่าย เมื่อชายผู้นั้นมองเห็นนาง ก็อุทานออกมาว่าช่างแตกต่างจากบุตรสาวของตระกูลนักรบผู้อื่นนัก ก่อนจะค้อมศีรษะทักทายเล็กน้อยแล้วเอ่ยเข้าเรื่อง
“ท่านได้รับอนุญาตจากผู้คุมแล้ว เชิญออกมาด้านนอกสักครู่ มีคนมาพบขอรับ”
“ทราบแล้วเจ้าค่ะ”
ทันทีที่โซยงลุกขึ้นยืน ทหารผู้นั้นก็เปิดประตูคุกออก นางเดินตามอีกฝ่ายออกไปด้านนอกคุกหลวง และจ้องมองไปยังทิศทางที่บุรุษผู้นั้นโค้งตัวทำความเคารพ แพคมูกิลยืนอยู่ตรงนั้น จากนั้นผู้นำทางก็ถอยออกไปคอยเฝ้าระวังแทน
โซยงไม่ได้ขยับเข้าไปใกล้แพคมูกิลแต่อย่างใดและยืนอยู่ในความมืดเช่นเดิม ร่างสูงจึงเป็นฝ่ายขยับเข้ามาหานางแทน ก่อนจะคว้าลาดไหล่บอบบาง แล้วก็ขมวดคิ้วมุ่นเมื่อสัมผัสถึงความสากระคายผิวของอาภรณ์จากผ้าป่าน
“โซยง”
“คุกหลวงมิใช่สถานที่ที่หลานชายของท่านมหาเสนาบดีฝ่ายตุลาการควรจะมาเยือนเจ้าค่ะ”
โซยงปัดมือของแพคมูกิลออกด้วยสายตาชิงชังยิ่งกว่าก่อน ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายมีส่วนรู้เห็นหรือไม่ ทว่าด้วยผู้สั่งการคืออาแท้ๆ ของเขา จนทำให้คนที่ตนรักและเคารพต้องถูกขังในคุก นางจึงชิงชังจนไม่อาจทนได้ และอึดอัดที่ไม่สามารถแสดงความโกรธ เรื่องทั้งหมดนี้ถึงไม่ใช่เพราะแพคมูกิล ตัวนางก็ยังคงรู้สึกเช่นนั้น
“กลับไปเถิดเจ้าค่ะ”
“โซยง นี่เป็นโอกาสสุดท้ายแล้วนะ มากับข้าเถอะ”
“ข้าปฏิเสธไปตั้งกี่หนแล้ว!”
“มิใช่เรื่องอนุ! นั่นเป็นความผิดของข้าเอง เจ้าอย่าได้โมโหแล้วฟังข้าก่อน หากเพียงเจ้าเห็นดีเห็นงาม เพียงเจ้ามาหาข้า ข้าก็สามารถละทิ้งทุกสิ่งในตอนนี้แล้วหนีไปกับเจ้าได้ เราไปอยู่อาณาจักรยางด้วยกันเถิด จะไม่มีสักที่ในอาณาจักรนั้นให้พวกเราพักพิงเชียวหรือ”
“ข้าไม่ต้องการ ท่านพ่อ ท่านแม่และพี่ชายของข้าอยู่ในคุก คนรักของข้าก็อยู่ในคุก ข้ายังจะไปที่ใดเพียงลำพังได้อีก กลับไปเถิดเจ้าค่ะ อย่าได้มาพบหน้าข้าอีกเลย”
การปฏิเสธอย่างไร้เยื่อใยทำให้สีหน้าของแพคมูกิลบิดเบี้ยวจนน่ารังเกียจ ถึงแม้ตนยื่นข้อเสนอว่าจะช่วยชีวิต และพาหนีไปใช้ชีวิตร่วมกัน แต่โซยงกลับยังปฏิเสธ ส่งผลให้ความเกลียดชังพลุ่งพล่านเอ่อล้นขึ้นมา
โซยงไม่ยอมให้โอกาสแม้แต่น้อยและหันหลังให้ทันที ร่างสูงจ้องมองแผ่นหลังของสตรีตรงหน้า ก่อนจะเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงเก็บกดโทสะ
“เจ้าพอใจจะตายร่วมกับมันอย่างนั้นหรือ”
“ใช่เจ้าค่ะ จะภพนี้หรือภพหน้าแล้วจะเกี่ยวข้องอันใดเล่า หากเพียงได้อยู่ด้วยกัน สิ่งใดก็ล้วนไม่ใช่ปัญหาทั้งสิ้น”
“งั้นหรือ เช่นนั้นเจ้าจงฟังให้ดี เจ้าจะไม่ได้ตายพร้อมบุรุษที่เจ้ารักถึงเพียงนั้นหรอก หลังจากเจ้าจากไป บุรุษที่เจ้าเคยเชยชมว่าสง่างามนั่น มันจะต้องมีชีวิตเป็นสิ่งบำเรอกามให้ผู้อื่น ข้าจะทำให้มันกลายเป็นเช่นนั้นแน่นอน”
แพคมูกิลกัดฟันเอ่ย สายตาของโซยงจึงเบนกลับมาทันที ดวงตาคู่สวยมีรอยยิ้มบางๆ อยู่
“เช่นนั้นก็ไม่เลวเจ้าค่ะ แค่ให้ท่านพี่ได้มีชีวิตอยู่ต่อ”
“ข้าจะทำให้มันอยู่ด้วยการถูกข่มเหง!”
“เกลือกกลิ้งสิ่งโสมมในชาตินี้ มันก็ดีกว่ามิใช่หรือเจ้าคะ ข้าขอตัว”
จากนั้นโซยงก็ก้าวย่างกลับไปด้านในคุก
ด้วยไม่ได้แสดงออกให้แพคมูกิลเห็น อีกฝ่ายจึงไม่มีทางรับรู้ ทว่าโซยงกลับพยายามปิดปากเพื่อกลั้นมิให้ตนเองส่งเสียงสะอื้นออกไป มือที่ใช้ปิดปากสั่นระริก ดวงตาเอ่อคลอด้วยหยาดน้ำตา นางอยากจะตบปากชายผู้นั้นที่บังอาจกล่าวว่าจะทำให้ท่านพี่ของนางตกสู่โคลนตม ทว่ากลับตอบโต้ได้เพียงการอดทนอดกลั้นและแสร้งเมินเฉย
เมื่อก้าวเข้ามาในคุก โซยงก็คว้าจับชายเสื้อของบิดาและซุกหน้ากลั้นเสียงร้องไห้ในอ้อมกอด ด้วยความไม่สบายใจว่าแพคมูกิลจะทำเช่นนั้นกับคนรักของตนจริงหรือไม่ น้ำตาจึงไม่ยอมหยุดไหล คยองยูลปลอบโยนบุตรสาวเงียบๆ ครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยถามว่าได้ยินเรื่องอันใดมาถึงร้องไห้หนักเพียงนี้ และเมื่อรับฟังเรื่องราวจากโซยง เขาก็หัวเราะออกมาแล้วเอ่ยขึ้น
“หากไปด้วยกันเสียก็ดี หากเหลือตัวคนเดียว ก็ย่อมจะหาหนทางอื่นได้ เด็กผู้นั้นรู้จักถ่อมตน และเป็นเด็กฉลาดที่รู้จักเอาตัวรอด”
หลังจากกล่าวจบก็จมอยู่กับความคิดครู่หนึ่ง และเมื่อโซกังตื่นขึ้นมา คยองยูลก็กระซิบอย่างแผ่วเบาพร้อมรอยยิ้มคล้ายเป็นคำแนะนำ
“แม้จะอ่อนล้ากับชีวิตมากเกินไป แต่ถึงกระนั้นก็อย่าได้หลงลืม ยามความตายคล้ายมาอยู่ตรงหน้า จงนำสิ่งที่เป็นประโยชน์ออกมาใช้ ความโกรธก็นับเป็นอาวุธได้ หากใช้ให้ดี ก็อาจจะหลุดพ้นจากความตายได้เช่นกัน”
โซกังย้อนถามกลับว่าหมายถึงเรื่องใด แต่หลังจากกล่าวประโยคนั้นแล้ว อีกฝ่ายก็มิได้ให้ความกระจ่างเพิ่มแต่อย่างใด