ทันยองลอบสังเกตมือสังหารยาอึมทีละคน ขณะเดียวกันก็เคลื่อนตัวพร้อมโซกังไปเรื่อยๆ โดยไม่ละสายตาแม้เพียงนิด เมื่อเคลื่อนตัวเช่นนั้น ก็ค่อยๆ ขยับเข้าไปใกล้ฝั่งองครักษ์ฮวังรยงมากกว่าพวกยาอึม ทันใดนั้นเหล่ามือสังหารยาอึมก็เบนสายตามาทางทันยอง
“ทันยอง! เอาตัวมาได้แล้วก็ฆ่ามันเสียเถอะ!”
“ข้าจัดการเอง”
เขาจ้องมือสังหารที่ตะคอกเสียงใส่ตนอย่างเย็นชา ก่อนจะใช้มือข้างที่แนบชิดข้างตัวโซกังขึ้นมาปิดบังริมฝีปากและขยับเอื้อนเอ่ยแผนการ
“ข้าจะคุ้มกันให้ ท่านรีบวิ่งไปทางองครักษ์ฮวังรยงเถิดขอรับ อย่าได้หันกลับมา อย่าได้ลังเลเด็ดขาด พอข้าขยับตัว ท่านต้องวิ่งไปทันที”
“ยองก็จะไปด้วยกันใช่หรือไม่”
“ข้าดูแลตนเองได้ขอรับ วิ่ง!”
เท้าของทันยองถีบตัวกับพื้นจนร่างพุ่งทะยานไปด้านหน้า ช่วงเวลานั้นโซกังจึงออกตัววิ่งไปยังทิศทางที่มีองครักษ์ฮวังรยงยืนอยู่สองคน การวิ่งของโซกังเข้าจังหวะพอดีกับการจู่โจมของทันยอง ดังนั้นการเคลื่อนไหวของร่างบางจึงถูกตัวของทันยองบังเอาไว้ ทว่าทันยองไม่สนใจการจู่โจมที่พุ่งเป้ามาทางตนเองเลย เขาเพียงใช้ดาบปัดป้องการจู่โจมที่พุ่งไปทางโซกังเท่านั้น
การโจมตีที่นอกเหนือจากนั้น เขาไม่คิดจะจัดการมันตั้งแต่แรกอยู่แล้ว อีกทั้งยังรู้สึกขอบคุณการจู่โจมเหล่านั้นด้วยซ้ำ เพราะมันจะนำพาตนไปหาทันยอบ
กระทั่งอีกฝ่ายวิ่งไปถึงข้างกายองครักษ์ฮวังรยงอย่างปลอดภัย แม้แต่ในสถานการณ์โกลาหลเช่นนี้ ก็ยังได้ยินน้ำเสียงห่วงกังวลของโซกัง นอกจากทันยอบ นอกจากเหล่ายาอึมบางคน โซกังก็เป็นผู้ที่ทำให้เขารู้สึกถึงมิตรไมตรีของมนุษย์ ทว่าสาเหตุนั้น ก็มิใช่ว่าจะทำให้เขาเปลี่ยนใจได้
เริ่มแรกที่แนะนําถึงการลักพาตัว ตนก็คิดจะทำเช่นนี้อยู่แล้ว
มิใช่ไม่สามารถเปลี่ยนใจ ทว่าตั้งแต่ก่อนจะถูกเรียกว่าทันยอบกับทันยอง ตั้งแต่ฝ่าฟันความหนาวเหน็บข้างถนน เขาก็อยู่ร่วมกับยอบมาตลอด อีกฝ่ายคอยปกป้องเขา ทำให้เขาได้มายืนอยู่ตรงจุดนี้ ในเมื่อไม่มียอบแล้ว ตัวเขาที่ยืนอยู่ตรงนี้ก็ว่างเปล่า
ดังนั้น เขาจึงเหลือหนทางเพียงแค่ตามอีกฝ่ายไปเท่านั้น
เมื่อเรื่องราวทุกอย่างดำเนินไปตามแผน สำหรับการแก้แค้น องค์จักรพรรดิก็จะทรงดำเนินการให้ ฝ่าบาททรงรับสั่งว่าจะจัดการลงโทษมหาเสนาบดีฝ่ายตุลาการตามสมควรอย่างแน่นอน ได้รับความเชื่อมั่นเช่นนั้นแล้วก็สามารถไปจากโลกใบนี้ได้ ทันยองจึงหลับตาลงพร้อมหันไปยังทิศทางที่มีการจู่โจมพุ่งเข้ามา รอยยิ้มประดับบนริมฝีปากราวกับยินดีรับการจู่โจมนี้
“ยอง!”
ทว่าน้ำเสียงอันคุ้นเคยเอ่ยเรียกชื่อตนดังแว่วเข้ามาในหู ตามด้วยความรู้สึกเหมือนถูกกระแทกอย่างแรง จนร่างกายซวนเซราวกับจะล้มพับและหลุดเสียงร้องอุทานออกมา หลังจากนั้นกลิ่นคาวเลือดเข้มข้นและเสียงร้องอย่างเจ็บปวดก็ดังขึ้น เขาพลันรู้สึกถึงท่อนแขนแข็งแรงประคองอยู่ภายในอ้อมอกกว้าง กลิ่นคาวเลือดรุนแรงชวนสะอิดสะเอียนทำให้ทันยองลืมตาขึ้น ผู้ที่เข้ามาดึงตนไปกอดด้วยแขนข้างหนึ่งคือชังฮโย อีกฝ่ายขบฟันแน่นพร้อมเอ่ยอย่างแผ่วเบา
“ข้าผิดเอง ขอโทษที่ข้าผิดสัญญา แต่ข้าปล่อยเจ้าไปเช่นนี้ไม่ได้”
“ปล่อย”
“ยอง ได้โปรดมีชีวิตต่อไปเถิด”
“ข้าบอกให้ปล่อย”
“ยอง ข้ารักเจ้า”
น้ำเสียงของชังฮโยโรยแรง และแขนก็ค่อยๆ ผ่อนแรงลงเช่นกัน ตอนนั้นทันยองจึงสังเกตเห็นว่าบนลำคออีกฝ่าย มีอาวุธลับที่ไม่รู้ว่ามีพิษใดเคลือบปักอยู่จำนวนหนึ่ง เจ้าตัวยกยิ้มบางก่อนจะทรุดตัวลงกับพื้นทั้งอย่างนั้น
บนพื้นดินที่พวกเขายืนอยู่ล้วนเปรอะเปื้อนด้วยโลหิต โดยเลือดทั้งหมดไหลออกมาจากแขนของชังฮโย แล้วทันยองก็เห็นว่าแขนอีกข้างที่ควรจะต้องแนบชิดกับลำตัวอีกฝ่าย กลับขาดแหว่งเสียอย่านั้น
ก่อนหน้านี้ เมื่อชังฮโยเห็นว่าทันยองตั้งใจจะตาย เขาจึงวิ่งออกมาอย่างไม่ทันได้คิดหน้าคิดหลัง จนถูกคมดาบขององครักษ์ฮวังรยงสะบั้นแขนขาด โลหิตไหลทะลักออกมาเต็มไปหมด ใบหน้าซีดเผือดของชังฮโยราวกับจะสิ้นลมหายใจลงเสียเดี๋ยวนั้น อีกทั้งเริ่มกระอักเลือดออกมาจากปากและร่างกายกระตุกเกร็งด้วยพิษบางอย่าง
ทันยองไม่มีเวลาให้ทันได้คิดอะไร ด้วยมือสังหารของยาอึมมักจะพกยาห้ามเลือดเอาไว้ด้วยเสมอ เขาจึงนำมันออกมาและฉีกเสื้อตนเองออก ร่างบางนั่งลงกับพื้น เทยาห้ามเลือดลงบนบริเวณปากแผล และใช้เสื้อของตนพันรอบแขนข้างนั้นเอาไว้แน่น หากช่วยห้ามเลือดได้ก็จะช่วยยืดชีวิตออกไปได้ด้วย จากนั้นก็ต้องสืบหาพิษที่เคลือบอยู่บนอาวุธลับ ทว่าที่นี่ไม่มีทางทำเช่นนั้นได้ ทันยองดึงตัวชังฮโยขึ้นพาดบ่าและก้าวเดินไปทางองครักษ์ฮวังรยง
เหล่าองครักษ์ฮวังรยงเห็นเหตุการณ์อยู่ก่อนแล้ว ส่วนหนึ่งจึงเข้ามาช่วยเหลือทันยอง และอีกส่วนหนึ่งก็คอยคุ้มกัน เนื่องจากพวกเขาอยู่ตรงประตู ดังนั้นเหล่ามือสังหารยาอึมจึงถูกต้อนไปจนสุดทางหนี
“หากยอมตามมาแต่โดยดี ฝ่าบาทจะทรงเมตตาพิจารณาในส่วนนั้น พวกเจ้าแค่บอกมาว่าทำงานอะไรและผู้ใดเป็นคนสั่งก็พอ อีกอย่างฝ่าบาทจะทรงรับฟังด้วยพระองค์เอง”
คำกล่าวจากปากของหนึ่งในบรรดาองครักษ์ฮวังรยงทำให้เหล่ามือสังหารยาอึมกระวนกระวาย กล่าวว่าฝ่าบาทจะทรงสละเวลามารับฟังเรื่องราวของพวกเขาอย่างนั้นหรือ
หัวหน้าองครักษ์ฮวังรยงจึงได้กล่าวเสียงดังขึ้นอีกครั้ง
“ชุดนี้คือชุดเครื่องแบบของหน่วยฮวังรยง หน่วยองครักษ์ที่ขึ้นตรงต่อฝ่าบาทพระองค์เดียว สมาชิกหน่วยฮวังรยงมีทั้งสายเลือดขุนนาง ชาวบ้านธรรมดา รวมถึงทาสด้วย ฝ่าบาทมิใช่ผู้ทรงตัดสินผู้คนจากชาติกำเนิด”
คำกล่าวนั้นยิ่งทำให้เกิดความวุ่นวายมากยิ่งขึ้นไปอีก ลองไปดีหรือไม่… ข้าเองก็ลองดูดีหรือไม่ อย่างไรเสีย หากถูกจับได้ พวกเราทั้งหมดก็ต้องตายอยู่แล้ว… ถ้อยคำต่างๆ เหล่านี้ดังระงมเซ็งแซ่ หลังจากนั้นก็มีนักฆ่าสองคนยอมวางดาบลง
และการเริ่มต้นนั้นก็ส่งผลให้คนอื่นๆ พร้อมใจกันวางอาวุธลงเช่นกัน เหล่าองครักษ์ฮวังรยงจึงเข้าจับกุมโดยละม่อม และมัดมือกลุ่มคนเหล่านั้นด้วยเชือก
ช่วงเวลาเดียวกัน ณ ร้านผ้าไหมบนเส้นทางเขตชองรยง เหล่าทหารหลวงก็โผล่พรวดพราดเข้ามาภายใน จนเถ้าแก่เจ้าของร้านผ้าไหมจ้องมองผู้บุกรุกด้วยสีหน้าตื่นตระหนก
“คงต้องไปด้วยกันหน่อย”
ทันทีที่หนึ่งในเหล่าทหารพูดจาไร้หางเสียง เจ้าของร้านผ้าไหมก็โมโหพร้อมกับถ่มน้ำลายใส่ ทหารผู้นั้นจึงคว้าผ้าไหมพับหนึ่งที่วางอยู่บนแผงขึ้นมาเช็ดใบหน้าตนก่อนจะโยนลงบนพื้น จากนั้นก็ร่วมมือกับสหายทหารเข้าจับกุมเจ้าของร้านผ้าไหมที่ดิ้นรนขัดขืน
ผู้คนที่อาศัยอยู่ในละแวกเดียวกับร้านผ้าไหม ต่างหยิบยกเรื่องที่เถ้าแก่ถูกทหารหลวงลากตัวไปตลอดทั้งวัน
***
ณ ห้องตำรา ภายในจวนของมหาเสนาบดีฝ่ายตุลาการ
แพคมีกังนั่งอยู่บนเก้าอี้และจ้องมองตัวอักษรที่เขียนอย่างเป็นระเบียบบนกระดาษด้วยสีหน้าเครียดขึง เพราะถึงแม้จะลองรวมส่วนนั้น ส่วนนี้เข้าด้วยกันอย่างไร ก็ไม่อาจเกิดคำที่พอจะบอกตำแหน่งที่ตั้งใดๆ ได้เลย ยามเขียนรหัสลับ หรือพูดคุยถึงความลับก็จะใช้ตัวอักษรทั่วไป ดังนั้น ชายชราจึงคิดว่าอาจจะเป็นอักษรอื่น ทว่าเมื่อลองทำดูแล้ว จะอย่างไรก็เหมือนไม่ใช่ทั้งสิ้น มหาเสนาบดีฝ่ายตุลาการเริ่มเกิดความคิดว่ามันอาจไม่ใช่อักษรเช่นนี้มาตั้งแต่เมื่อวาน
จากนั้นก็เกิดความลนลานว่าอาจจะเป็นข้อมูลปลอม อีกทั้งช่วงนี้หากไม่มีเรื่องด่วนจำเป็น เขาก็สั่งทุกคนเอาไว้ว่าไม่ต้องเข้ามารายงาน แพคมีกังจึงเรียกตัวทาสผู้หนึ่งเข้ามา
“ขอรับ นายท่าน”
“รีบไปที่ร้านผ้าไหมตรงเส้นทางชองรยง บอกให้มาพบข้าเดี๋ยวนี้ เพียงบอกเช่นนี้ทางนั้นจะเข้าใจเอง”
“ขอรับ”
อีกฝ่ายตอบรับและออกจากห้องตำราไป ทว่าดูคล้ายจะลืมบางสิ่งถึงได้หวนกลับเข้ามาอีกครั้ง สายลมที่โบกพัดจนประตูห้องเปิดออก มหาเสนาบดีฝ่ายตุลาการที่ยืนอยู่ด้านในจึงเอ่ยตำหนิทาสผู้นั้นว่าทำอะไรไม่เรียบร้อย ทว่ากลับต้องสงบปากสงบคำลงทันที เพราะตรงประตูนั้น มีองค์จักรพรรดิและบุรุษที่เพิ่งเคยเห็นหน้าเป็นครั้งแรก รวมถึงเหล่าองครักษ์ฮวังรยงและทหารหลวงกำลังพากันเข้ามาในจวน จาฮอนมีรอยยิ้มประดับอยู่บนริมฝีปากและกล่าวกับชายชรา
“เราถึงกับมารับเจ้าด้วยตนเองเลยนะ”
“ฝ่าบาท”
“แล้วก็ไม่จำเป็นต้องส่งทาสผู้นั้นไปตามตัวหรอก หากตามหาเจ้าของร้านผ้าไหมอยู่ล่ะก็… อีกประเดี๋ยวก็คงจะได้เจอกันแล้ว”
คำกล่าวเช่นนั้นทำให้สีหน้าของมหาเสนาบดีฝ่ายตุลาการไม่สู้ดีนัก และความขุ่นเคืองก็พลุ่งพล่านขึ้นมาเช่นกัน มีคำสั่งห้ามไม่ให้มารบกวนก็จริง แต่เหตุการณ์มาถึงขนาดนี้ก็ยังไม่ยอมมารายงานเชียวหรือ… ใบหน้าชายชราเครียดขึง ทั้งยังยืนนิ่งอยู่เช่นเดิมจนทำให้จาฮอนมีสีหน้าเข้มขึ้น
“ต่อหน้าเราผู้นี้ เจ้ายังไม่คิดทำความเคารพอีกหรือ เพียงแค่นั้นก็ทำให้เจ้าต้องโทษได้แล้วกระมัง”
“ถวาย เอ่อ ขอประทานอภัยพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท ถวายพระพรพ่ะย่ะค่ะ”
ทันทีที่ได้ยินถ้อยคำตำหนิขององค์จักรพรรดิผู้เย็นชาเสมือนน้ำค้างแข็ง แพคมีกังก็รีบคุกเข่าค้อมคำนับ สองวันที่แล้วทหารหลวงและองครักษ์ฮวังรยงบุกเข้าจู่โจมถึงที่ซ่อนตัวของยาอึมและร้านผ้าไหม และตอนนี้มหาเสนาบดีฝ่ายตุลาการก็ถูกคุมขังอยู่ในคุกหลวง