ตอนที่ 10 ดวงอาทิตย์สาดแสงบนผิวน้ำ
จาฮอนอยากจะจัดการเรื่องนี้ให้ถึงที่สุด ก่อนที่เหล่าขุนนางฝ่ายเชจะได้เคลื่อนไหวอีกครั้ง และอย่างน้อยหากไต่สวนแล้วพบว่ายังขาดหลักฐาน ก็ต้องไม่ให้พวกนั้นสามารถนำหลักฐานมาโต้แย้งแก้ตัวได้มากพอ ดังนั้นจึงออกคำสั่งห้ามมิให้คุมขังพรรคพวกของมหาเสนาบดีฝ่ายตุลาการและเหล่ามือสังหารยาอึมรวมกัน ทว่าด้วยในเวลานี้กฎหมายเคร่งครัดอย่างยิ่ง แม้ตั้งใจจะกักขังแยกกัน ทว่าคุกหลวงกลับไม่เพียงพอ
เมื่อตัดสินใจได้แล้ว จาฮอนเลยสั่งให้เคลื่อนย้ายเหล่ามือสังหารยาอึมมายังตำหนักคอนรยุงในช่วงกลางดึกสงัด และเนื่องจากเป็นแผนการ เขาจึงแสร้งว่ายังหาตัวโซกังไม่พบ แล้วพำนักอยู่แต่ในตำหนักคอนรยุงอย่างเสียไม่ได้ ทว่าเมื่อจับได้ทั้งหมดแล้ว ก็ไม่มีความคิดจะใช้ห้องบรรทมแยกกับโซกังแม้แต่วันเดียว ดังนั้น ก็เลยกำเนิดความคิดที่ไม่ดีนัก กับการใช้ตำหนักร้างผู้คนของตนให้กลายเป็นทั้งคุกและที่อาศัยของเหล่ามือสังหาร
แน่นอนว่าขันทีโชดิ้นเร่าๆ ด้วยอย่างไรก็เป็นถึงตำหนักส่วนพระองค์ จะนำเหล่านักโทษเข้ามาอยู่ได้อย่างไร แต่ก็ตระหนักดีว่าไม่มีวิธีใดดีไปกว่านี้แล้ว จึงยอมอ่อนข้อต่อคําอธิบายอันละเอียดถี่ถ้วนของฝ่าบาท
เมื่อเหล่ามือสังหารยาอึมถูกย้ายตัวจากคุกหลวงอันหนาวเย็นมายังที่แห่งหนึ่ง จึงเกิดความไม่สบายใจขึ้นทันที เนื่องจากได้ยินว่าองค์จักรพรรดิจะรับฟังด้วยพระองค์เอง พวกเขาถึงทิ้งอาวุธและยอมถูกจับกุม ทว่าเมื่อถูกลากตัวมาเช่นนี้ ก็พลันคิดว่าคงมิใช่ถูกสั่งตัดหัวแล้วทำให้สาบสูญจากโลกนี้หรอกนะ
บรรยากาศก็ดูเป็นเช่นนั้น จากการพาตัวไปยังตำหนักคอนรยุง อันเป็นตำหนักส่วนพระองค์ กระทั่งการเคลื่อนไหวอย่างลับๆ ในยามดึกสงัด เท่านั้นไม่พอ ยังถึงขนาดปิดตาขณะเคลื่อนย้าย แม้จะสอบถามแล้วว่าจะพาไปที่ใด เหล่าผู้คุมก็ไม่ยอมให้คำตอบสักคำเดียว
เดินอยู่เช่นนั้นชั่วขณะ เหล่าผู้คุมก็ผลักมือสังหารยาอึมทั้งหมดเข้าห้องบรรทมของฝ่าบาท ภายในตำหนักคอนรยุง ก่อนจะลงกลอนประตูทั้งสามชั้นอย่างแน่นหนา เหล่านางกำนัลที่คอยเฝ้าอยู่ด้านหน้าประตูตลอดเวลาก็ถูกสั่งให้ออกไปก่อนแล้ว ดังนั้น ภายในตำหนักคอนรยุงจึงไม่มีแม้แต่มดสักตัวเฉียดผ่าน เมื่อแน่ใจว่าด้านนอกไม่มีผู้ใดแล้ว องครักษ์ฮวังรยงจึงปลดผ้าปิดตาคนพวกนั้นออก
เหล่ามือสังหารยาอึมลืมตาขึ้นพลางหันมองโดยรอบ ก่อนจะถูกเลี้ยงดูด้วยการเป็นมือสังหาร พวกเขาส่วนใหญ่ต่างอยู่ในสถานะขอทาน ดังนั้น จึงเป็นครั้งแรกที่ได้เห็นสถานที่อันหรูหราเช่นนี้
“ที่นี่คือที่ใดหรือขอรับ”
“ข้าไม่อาจบอกได้ว่าเป็นที่ใด เพียงคิดว่าเป็นคุกก็พอ มื้อเช้า มื้อกลางวัน และมื้อเย็นจะนำมาให้อย่างเพียงพอกับทุกคน ดังนั้น จงทำใจให้สบายเสียเถอะ”
“เป็นเช่นนั้นได้หรือขอรับ”
“ฝ่าบาททรงรับสั่งเช่นนั้น รวมถึงให้พาพวกเจ้ามายังที่แห่งนี้”
“เหตุ เหตุใดถึงได้…”
“พระองค์ทรงทราบอยู่แล้วว่าพวกเจ้าเป็นเพียงมือและเท้าของคนเหล่านั้น หากทำพลาด จะให้ไถ่ถามความรับผิดชอบจากมือหรืออย่างไร สิ่งที่ฝ่าบาททรงหวังจากพวกเจ้ามีเพียงสิ่งเดียว คือสารภาพทุกสิ่งตามความจริง เพื่อช่วยให้เรื่องราวไร้อุปสรรค และพวกที่เกี่ยวข้องกับการฉ้อฉลจะได้รับโทษสถานหนัก”
เหล่ามือสังหารยาอึมไม่ได้เอ่ยถามอะไรต่ออีก ทว่าสีหน้าของแต่ละคนดูเหมือนจะขบคิดอะไรมากมาย เหล่าองครักษ์ฮวังรยงจึงไม่ได้คิดรบกวน แม้ตั้งใจจะพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องอาหารการกิน แต่ระหว่างนำมาให้ ค่อยทำเช่นนั้นก็ได้ และถ้าหากทราบว่าฝ่าบาททรงรับสั่งให้จัดสำรับเช่นเดียวกับเครื่องเสวยของพระองค์เองแล้ว จิตใจของคนเหล่านี้จะไม่โอนเอียงยิ่งกว่าเดิมหรอกหรือ
แน่นอนว่าทุกอย่างเป็นการตัดสินใจด้วยความรู้สึกส่วนตัวของผู้นำสูงสุดของเหล่าองครักษ์ฮวังรยง
พวกเขาไม่คิดขัดขวางอันใด และออกจากตำหนักคอนรยุงไปเงียบๆ โดยบริเวณรอบตำหนักมีเหล่าทหารหลวงยืนเฝ้ายามอยู่อย่างเข้มงวด
อีกด้านหนึ่ง ในเมื่อไม่จำเป็นต้องทำตัวเหินห่างอีกต่อไป จาฮอนจึงเร่งรีบไปยังตำหนักฮงฮวา ตั้งแต่เรื่องต่างๆ ที่ต้องดำเนินการอย่างลับๆ จนถึงฎีกาที่ต้องจัดการ เรื่องราวมากมายกองทับถมเสียจนต้องโต้รุ่งอยู่หลายคืนหลายวัน ทว่าสำหรับเขาแล้ว ยังมีเรื่องสำคัญกว่าเรื่องพวกนั้นอยู่
แม้จะเริ่มด้วยความตั้งใจ แต่ก็ต้องได้ลองสัมผัส ได้ยินเสียง และได้เห็นกับตาตนเองว่าโซกังไม่ได้บาดเจ็บ หรือได้รับความทุกข์ยากใดๆ จากการลักพาตัว
“โซกัง!”
จาฮอนเข้ามาถึงด้านหน้าห้องบรรทมของตำหนักฮงฮวา ก่อนจะเปิดประตูพรวดพราดเข้าไปโดยไม่มีการแจ้งไปด้านใน ทั้งยังเรียกชื่อจริงแทนชื่อ ‘โซฮวา’ ที่มักจะใช้เรียกภายนอกอีก เขาไม่สนว่าประตูจะปิดลงแล้วหรือไม่ ก้าวเข้าไปดึงตัวโซกังที่เบิกตาโตและยืนจัดแจงสวมอาภรณ์เข้ามากอดแน่น เมื่อคาดเดาได้ว่าจะเป็นอย่างไรหลังจากนี้ เหล่านางกำนัลจึงปิดประตูลง
“ไม่เป็นไรใช่หรือไม่”
“พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท”
“มิได้บาดเจ็บใช่หรือไม่ ให้ข้าดูหน่อย ถูกทำให้ลำบากอันใดหรือเปล่า”
มองพินิจใบหน้างดงามตรงนั้นที ตรงนี้ที พร้อมเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงห่วงกังวล โซกังยิ้มร่าและกุมมืออีกฝ่ายอย่างอ่อนโยน
“ไม่เป็นอะไรเลยพ่ะย่ะค่ะ ไม่บาดเจ็บ ไม่ได้รับความลำบากใดๆ กระหม่อมกลับมาอย่างปลอดภัย”
จาฮอนทอดถอนลมหายใจออกมาจากปาก ก่อนจะเชยคางมนขึ้นมาประทับริมฝีปาก หลังสัมผัสแตะกันอย่างกะทันหัน เรียวลิ้นร้อนก็รุกรานเข้าไปภายในโพรงปากอย่างเร่งรีบ
“อืม อื้อ”
โซกังนึกคิด ราวกับเป็นเวลาเนิ่นนานเหลือเกินที่ไม่ได้รับจุมพิตเช่นนี้ มือที่วุ่นกับการจัดอาภรณ์ขยับเอื้อมเกี่ยวรั้งต้นคอแกร่ง เรียวลิ้นไล้เลียและบดขยี้อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง คล้ายกำลังตรวจตราอาณาเขตของตน จนร่างบางหลุดเสียงครางหวานและเกาะเกี่ยวมากยิ่งขึ้น
ด้วยตนก็หวังให้อีกฝ่ายตรวจตราทั้งหมดอย่างถี่ถ้วน
เสียงครางแว่วหวาน เมื่อกลืนกินน้ำลายของอีกคนแล้วก็ผละริมฝีปากแดงจัดออกทันที แตะสัมผัสตรงต้นคอของโซกัง
“อ๊ะ! จาฮอน ฮะ อื้อ…”
“โซกัง โซกังอา ข้าคิดถึงเจ้าแทบตาย”
“กระหม่อมก็ อา… คิดถึงเช่นกัน แต่ทรงยุ่งอยู่มิใช่หรือพ่ะย่ะค่ะ”
“ยังจะมีอะไรเร่งด่วนเท่าการได้กอดเจ้าอีกหรือ”
“นั่น…อึก อื้อ”
ชุดนอนที่ผูกอย่างลวกๆ ถูกปลดออก มือใหญ่สอดเข้าลูบไล้แผ่นอกบาง ยอดอกราบเรียบที่ไม่ได้ถูกมือ หรือริมฝีปากสัมผัสมาสักพัก ทันทีที่จาฮอนสัมผัส ร่างกายของโซกังก็สะท้านพร้อมกับเสียงครางดังจากริมฝีปาก เขาพึงพอใจกับการตอบสนองเช่นนั้น ขณะเดียวกันก็ดูดเม้มต้นคอ พลางขยับเรียวนิ้วหยอกล้อยอดอกอย่างใจเย็น ปลุกเร้าให้ยินยอมพัดพาไปตามความต้องการ
“อ๊ะ! อะ อื้อ จาฮอน…ฮึก”
ริมฝีปากและมือใหญ่ผละห่างออกไป จากนั้นร่างบอบบางก็ถูกยกขึ้น ชายชุดคลุมร่วงลงสู่เบื้องหน้าปลายเท้าของจาฮอน เขาใช้เท้าเตะมัน ก่อนจะก้าวเดินพาโซกังวางลงบนเตียง และหลังจัดการปลดชุดตนเองออก ก็ทาบทับบดเบียดไปบนร่างกายของอีกคน
เมื่อได้เห็นใบหน้าหวานขึ้นสีแดงจัดก็ยกยิ้มพราย ปลดอาภรณ์ตัวในที่พาดบังแผ่นอกออกด้านข้าง ยอดอกนูนเด่นจากการปลุกเร้าชั่วครู่ ช่างน่าเอ็นดูยิ่ง เขาหัวเราะออกมาและก้มหน้าลงไปจุมพิตบนยอดอกจนเกิดเสียงดัง โซกังพลันสะท้านเฮือกในทันที
จาฮอนเอ่ยปากขึ้นด้วยเสียงแผ่วเบา ทั้งๆ ที่ริมฝีปากยังคงแตะสัมผัสยอดอกสวยไม่ห่าง
“เป็นเรื่องจริงที่ข้ายุ่งมาก แต่กลับไม่มีสมาธิจดจ่อเลย คอยแต่คิดถึงใบหน้าของเจ้าอยู่เรื่อยๆ นึกถึงเพียงสัมผัสของเจ้าเท่านั้น… ทั้งยังเอาแต่คิดเรื่องลามกเหมือนถูกบางอย่างเข้าสิง ดังนั้น ให้ข้ากอดเจ้าสักครั้งเถอะโซกัง หากได้กอดเจ้าแล้ว ก็คงจะสามารถจัดการราชกิจได้เร็วขึ้นเป็นสองเท่าเชียวล่ะ”
คำกล่าวคล้ายเป็นการออดอ้อน ทำเอาโซกังหลุดหัวเราะออกมา ด้วยจินตนาการถึงบุรุษผู้แสดงท่าทางฝักใฝ่ในกามโลกีย์ขึ้นมาแทนภาพฝ่าบาทผู้เข้มงวดในงานราชกิจ ใบหน้าจึงเปลี่ยนเป็นแดงระเรื่อ แต่ทันทีที่ได้ยินเสียงหัวเราะ เรียวคิ้วจาฮอนก็พลันขมวดมุ่น ก่อนจะดูดเม้มยอดอกที่แนบริมฝีปากอย่างแรงราวกับเป็นการลงโทษ
“อ๊า!”
“เพราะข้า…หมกมุ่นมากเพียงนี้ เจ้าถึงได้หัวเราะเยาะเช่นนี้ ใช้ไม่ได้เสียจริง”
“มิได้พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมเองก็เป็นเช่นนั้น”
“อย่างนั้น…หรือ”
“กระหม่อมมิใช่บุรุษหรือพ่ะย่ะค่ะ ไม่สิ ถึงแม้จะมิใช่บุรุษ แต่การต้องแยกจากคนรักเช่นนี้ จะไม่คิดถึงได้อย่างไร อีกทั้ง…ตรงนั้น… ห่างเพียงวันเดียว ความสัมพันธ์… ที่เชื่อมไว้… ราวกับเป็นหนึ่งเดียว…”
โซกังค่อยๆ เอ่ยคำพูดน่าอายออกมาด้วยใบหน้าแดงจัด อีกฝ่ายเอ่ยขอราวกับอ้อนวอนให้เราได้ใกล้ชิดกันเช่นนี้แล้ว ตัวเขาเองก็อยากบอกให้รู้ว่า สำหรับตน การอดทนนั้นก็ช่างแสนทรมาน
“ไม่มีทางที่จะไม่ปรารถนามัน… ดังนั้นช่วยกอดกระหม่อม ท่านจาฮอน”
“เจ้าน่าเอ็นดูอีกแล้วนะ”
“หากไม่พูดเช่นนี้ ก็จะไม่เอ็นดูกระหม่อมหรือพ่ะย่ะค่ะ”
“จะเป็นเช่นนั้นได้อย่างไรเล่า จะยามชายตามอง ยามร้องไห้ ยามโกรธ กระทั่งยามร้องครางด้วยความสุขสม ไม่มีคราใดไม่น่าเอ็นดูเลยสักครั้ง”
“ไม่ ต้องทรงเปรียบเช่นนั้น… อ๊ะ! อึก!”
ปกติแล้วเมื่อได้รับการเลื่อนขั้นแต่งตั้งเป็นสนมของฝ่าบาท ไม่จำเป็นจะต้องร้องขอคำอนุญาตใดๆ ถึงกระนั้นเมื่อโซกังอนุญาต จาฮอนจึงเคลื่อนไหวแต่โดยดี ใช้ฟันขบเม้มอย่างเอาแต่ใจลงบนยอดอกที่ถูกก่อกวนจนชูชัน มือเคลื่อนต่ำลงกำรอบส่วนอ่อนไหวและใช้นิ้วหัวแม่มือบดขยี้ส่วนปลาย ด้วยเป็นเช่นนั้นซ้ำๆ อยู่เรื่อย โซกังจึงไม่อาจพูดต่อจนจบ ทำได้เพียงเชิดหน้าขึ้นส่งเสียงครางเท่านั้น
แม้อยากต่อว่าถึงมารยาทว่าควรรับฟังคำพูดของผู้อื่นให้จบก่อน แต่เรียวขากลับกางอ้าอย่างเคยชิน ช่วงสะโพกก็ส่ายไปมา เขาจึงต้องผลักเรื่องนั้นออกไปคราวหลัง
และหากว่าถูกจับกระแทกอย่างเต็มแรง ก็คงจะหลงลืมมันไปอย่างแน่นอน…