ความเงียบสงบของเหล่าขุนนางและบรรยากาศแห่งความกดดันดำเนินไปเรื่อยๆ จนกระทั่งขันทีโชนำม้วนกระดาษมา
ขันทีโชจ้ำอ้าวมาหยุดตรงหน้าองค์จักรพรรดิ ค้อมคำนับแล้วส่งม้วนกระดาษให้ จากนั้นก็ถอยไปยืนด้านหลัง
จาฮอนคลายผ้าแพรสีเหลืองลงบนพื้นและกางม้วนกระดาษออก ก่อนจะเริ่มอ่านมัน เนื้อความเกี่ยวกับเสนาบดีกรมขุนนาง วังด็อกซึง การแต่งตั้งเจ้าหน้าที่ การปลดจากตำแหน่ง รางวัลและโทษ เป็นต้น อันเป็นหน้าที่รับผิดชอบของกรมขุนนาง วันหนึ่งมีการรับทองคำมาจากใครสักคน จากนั้นก็ทำการแต่งตั้งตำแหน่งให้คนผู้นั้น หรือจะเป็นการลอบเป็นชู้กับคนผู้หนึ่ง ก่อนฝ่ายนั้นจะถูกปลดจากตำแหน่ง เรื่องเหล่านั้นล้วนออกมาจากปากจาฮอนไม่จบไม่สิ้น
โดยไม่คาดคิด เสนาบดีกรมขุนนาง วังด็อกซึงก็อยู่ ณ ที่แห่งนั้นด้วย ตัวตนเน่าเฟะพร้อมกับชื่อของตน บันทึกนั่นคราแรกเหมือนจะมีเพียงแค่เหล่าขุนนางแห่งราชสำนักฝ่ายเชเท่านั้น ถึงกระนั้นทันทีที่คำกล่าวต่อๆ มากลับสาวมาถึงตน ก็ถึงกับไหล่ลู่ตก มือเท้าเย็นเฉียบ
เมื่อบันทึกการคดโกงไม่จบไม่สิ้นของเสนาบดีกรมขุนนางจบลง ต่อมาชื่อของเสนาบดีกรมคลัง ฮวังมูฮักก็ถูกเรียกขาน ฮวังมูฮัก รับผิดชอบกรมคลังอันมีหน้าที่ดูแลการคลังของราชสำนัก จัดทำบัญชีว่าใช้จัดงานราชวงศ์ทั้งๆ ที่ไม่ได้จัด ทั้งเนื้อความการยักยอกก็เปิดเผยจากปากจาฮอนอย่างละเอียด ฮวังมูฮักเองก็อยู่ตรงนั้น ไหล่ลู่ตกเช่นเดียวกับวังด็อกซึง และพยายามทำให้กายสั่นเทาสงบลง
หลังจากอ่านบันทึกพฤติกรรมของฮวังมูฮัก ร่างสูงก็ละสายตาจากม้วนกระดาษ ก่อนนะเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชาดั่งน้ำค้างแข็ง
“มานี่ที ลากเสนาบดีกรมคลังกับเสนาบดีกรมขุนนางไปที่คุกหลวงเสีย ส่วนผู้ที่เกี่ยวข้องกับการทุจริตนี้ เราจะทำการไต่สวนในยามตัดสินคดี”
“พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท”
“ฝ่าบาท! ฝ่าบาท! ขอโอกาสกระหม่อมได้ชี้แจงด้วยพ่ะย่ะค่ะ!”
“ฝ่าบาท! เรื่องทั้งหมดล้วนเป็นท่านมหาเสนาบดีตุลาการเป็นผู้สั่งการพ่ะย่ะค่ะ! กระหม่อมเพียงทำตามคำสั่งเท่านั้น!”
ทั้งสองคนร้องท้วงด้วยเสียงดังก้อง ทว่าเขาก็แสร้งทำไม่ได้ยิน ใช้พลังเฮือกสุดท้ายตะโกนร้องขณะถูกทหารหลวงลากตัวไป จาฮอนไม่แม้แต่จะชายตามอง ยื่นม้วนกระดาษส่งให้ขันทีโช ขันทีโชจึงรับม้วนกระดาษสําคัญมาและม้วนเก็บอย่างดี จากนั้นก็ห่อด้วยผ้าแพรสีเหลืองมัดให้เรียบร้อย
นายเหนือหัวของทุกคนในที่นี้อมยิ้มน่าขนลุก กวาดสายตามองเหล่าขุนนางผู้บังอาจเพ่งจ้องตน จนหลงลืมความนอบน้อมเพราะประสบความยุ่งยากใจ
“เราอ่านรายงานความผิดมากมายจนเจ็บคอแล้วสิ เอาล่ะ เช่นนั้นพวกเจ้าลองเดาดูสักครั้งสิ ว่าในม้วนกระดาษนั่น จะบันทึกชื่อเอาไว้สักกี่คนกัน”
นํ้าเสียงของจาฮอนดังก้องอยู่ด้านหน้าตำหนักฮวังรยง ก่อนหน้านี้บริเวณนี้ล้วนเต็มไปด้วยเสียงเอะอะโวยวาย ทว่าเวลานี้เหลือเพียงแค่เสียงเย็นเฉียบของจาฮอนเท่าน้้น ไม่ได้ยินแม้แต่เสียงลมหายใจ เขาเค้นเสียงขึ้นจมูก ก่อนจะเอ่ยปากขึ้น
“เป็นการตัดสินคดีที่สำคัญอย่างยิ่ง ด้วยเหตุนี้เราจึงไม่อาจกล่าวอะไรมาก ทั้งบรรยากาศก็ไม่น่าอภิรมย์ ดังนั้น การประชุมของวันนี้ก็เว้นไปเสีย อากาศเย็นถึงเพียงนี้ก็ยังจะดึงดันสวมเพียงผ้าป่าน พวกเจ้าจงกลับไปดูแลร่างกายและค่อยออกมายามบ่ายเถิด เราเกริ่นเรื่องการตัดสินคดีไปแล้ว เมื่อยามบ่ายมาถึง พวกเจ้าก็คงต้องแสดงความคิดเห็นบ้าง”
คำตรัสของฝ่าบาททำให้เหล่าขุนนางค้อมคำนับโดยไร้คำพูดใดๆ ความจริงประโยคก่อนหน้าเหมือนเป็นการยกเลิกคำสั่งห้ามส่งเสียงกลายๆ ทว่ากลับไม่มีผู้ใดกล้าเปิดปากเลยสักคน น้ำเสียงร้องขอความเมตตาเมื่อครู่ราวกับเป็นเรื่องโกหก
เหล่าขุนนางนิ่งอยู่เช่นนั้นครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวขออภัยทีละคนสองคนและออกจากตำหนักฮวังรยง เมื่อคนสุดท้ายก้าวพ้นหน้าตำหนัก จาฮอนจึงยกยิ้มพราย เห็นแน่ชัดว่ามหาเสนาบดีตุลาการขอให้เหล่าขุนนางฝ่ายเชช่วยชีวิต เพราะหากไม่ใช่เช่นนั้นแล้ว ขุนนางตำแหน่งราวกับฝุ่นผงหยิบมือหนึ่งในสังกัด ก็คงจะไม่มีทางกล้าออกมารวมตัวกันจนหมดหรอก ทว่านั่นก็พาพวกมันมาสู่จุดจบเช่นนี้ ในโลกนี้จะมีสักกี่คน ที่กล้ายืนยันว่าตนจะไม่กลบฝังกระทั่งฝุ่นผงเพียงหนึ่งเม็ดนั้น
เมื่อจัดการเรื่องราวเช่นนี้แล้ว จิตใจที่พยายามระงับโทสะคล้ายจะถูกทะลวงผ่านเล็กน้อย ด้วยถ้อยคำแนะนำให้แสดงความโกรธเพื่อได้บางสิ่งของโซกัง ทำให้เขาภาคภูมิใจเล็กน้อย
“ว่างแล้วสินะ ถึงจะรู้สึกผิดที่อุตส่าห์พยายามปลุกให้ข้าตื่น คอยช่วยเตรียมตัว แต่หากได้กลับไปยังอ้อมกอดนั้น ข้าย่อมภูมิใจที่ได้ชัยชนะเล็กๆ นี้ เขาจะต้อนรับอย่างยินดีใช่หรือไม่”
“แน่นอนว่าโซอีมามาย่อมยินดีที่ได้รับฟังเรื่องราวจากพระองค์พ่ะย่ะค่ะ”
ถ้อยคำสนับสนุนของขันทีโชทำให้จาฮอนยิ้มออกมา ก่อนจะขยับสาวเท้ากลับไปทางตำหนักฮงฮวาอีกครา
* * *
พอเกิดเรื่องหน้าตำหนักฮวังรยง เหล่าขุนนางฝ่ายเชก็ไม่มีเรื่องให้ลักลอบเข้าคุกหลวงอีก ดั่งคำสอนของปราชญ์ในอดีต ขุนนางไม่คำนึงถึงความเป็นอยู่ของราษฎร ยามนั้นไม่เพียงแค่ขุนนาง ราชสำนักก็กลายเป็นมัวหมองด้วยการกระทำนั้นเช่นกัน ไม่มีขุนนางฝ่ายเชสักคนที่สะบัดแล้วไม่พบฝุ่นผงเพียงสักเม็ด
หลังจากยังจาฮอนขึ้นครองราชย์ พวกนั้นก็โยนความผิดในสิ่งที่เคยกระทำ ครั้งนี้เองก็เช่นกัน คิดว่าจะจัดการค้นหาหลักฐานว่าคนผู้นั้นทำการทุจริตอย่างมุ่งมั่น ความผิดของเสนาบดีกรมขุนนางกับเสนาบดีกรมคลังที่ถูกเปิดโปงยามอยู่ด้านหน้าตำหนักฮวังรยง ยิ่งที่ทำให้พวกนั้นคิดหนัก ด้านในม้วนกระดาษนั้นบันทึกความผิดของทั้งหมดห้าคนเพียงเท่านั้น รวมถึงเสนาบดีกรมขุนนางและกรมคลัง
จาฮอนข่มขู่และใช้กำลังอย่างพอเหมาะ เผยความจริงเพียงเล็กน้อยกลับสั่นคลอนจิตใจของเหล่าขุนนาง ผู้อยากรักษาตำแหน่งและชีวิตได้เป็นอย่างดี คนเหล่านั้นรีบร้อนปกปิดความผิดของตนและทำตัวเล็กลีบ
มีใครในโลกอยากถูกขังคุกล่ะ คนเหล่านั้นก็เช่นเดียวกัน ด้วยอยู่ข้างมหาเสนาบดีตุลาการ กลายเป็นว่าจะต้องถูกขังให้ใช้ชีวิตในคุก เพราะถึงอย่างไร มหาเสนาบดีตุลาการก็เป็นผู้อาวุโส ครอบครองอำนาจสูงสุดของฝ่ายเช ทั้งดูแลและนำพาทุกคน ทว่าคนที่คิดว่าจะร่วมชะตากรรมกับคนผู้นั้นจริงๆ หามีสักคน แพคมีกังย่อมโกรธแค้น ทว่าด้วยสถานการณ์ตอนนี้ที่เหล่าขุนนางฝ่ายเชถูกตัดแขนขา ทั้งหมดจึงหันหลังให้ ชายชราจึงไม่สามารถกระทำสิ่งใดได้เลย
อย่างไรก็ตาม เนื่องจากทุกคนเร่งปกปิดความผิดของตนและอยากรักษาตำแหน่งไว้เช่นเดิม จึงสามารถกำหนดวันตัดสินคดีได้ทันที
ทั้งยังช่วยหนุนหลังจาฮอน ยามประชุมขุนนางพวกเขากล่าวว่าอยากเร่งตัดสินคดีโดยเร็วและอยากทำให้จบสิ้น หากขับไล่เหล่าขุนนางฝ่ายเชจำนวนมากด้วยอำนาจทหาร อาจจะทำให้เกิดปัญหาร้ายแรงในราชสำนักตามมา ดังนั้นหากการตัดสินคดีเป็นไปอย่างรวดเร็ว ก็จะเผาทำลายม้วนกระดาษนั้นในลานไต่สวน
นั่นได้รับการตอบรับอย่างยินดีจากคนเหล่านั้น และไม่มีใครคัดค้านวันที่ฝ่าบาททรงเสนอ
ทุกสิ่งเป็นไปในทิศทางที่ต้องการเช่นนี้ ไม่กี่วันก่อนการตัดสินคดี จาฮอนไปเยือนตำหนักของสนมออมฮยอนบี หลังจากบุกมาตำหนักฮงฮวาพร้อมกับสนมฮยอนควีบีและสนมยุนซุกบีวันนั้น นางก็ถูกสั่งห้ามไม่ให้ก้าวออกจากตำหนักตนเองสักก้าวเดียว นี่จึงเป็นครั้งแรกที่ได้พบหน้า แต่เดิมเป็นฝ่ายาทไม่เคยไปเยือนตำหนักของผู้ใด จึงแปลกนักที่ทรงเหยียบย่างมาถึงตำหนักของสนมออมฮยอนบี
จาฮอนสั่งให้นางกำนัลด้านหน้าประตูตำหนักรายงาน พวกนางจึงค้อมคำนับและเอ่ยปาก
“มามา ฝ่าบาทเสด็จมาเพคะ”
“เชิญเสด็จเข้ามา”
“เพคะ”
เหล่านางกำนัลค้อมคำนับอีกครั้งและเปิดประตูของห้องบรรทม ทันทีที่จาฮอนก้าวเข้าไปด้านใน เสียงประตูก็ปิดตามหลัง สนมออมฮยอนบีคุกเข่าค้อมคำนับอยู่บนพื้น
“ถวายพระพรเพคะ ฝ่าบาท”
“ลุกขึ้นเถิด”
“เพคะ”
นางลุกขึ้นยืน ไม่เคยมีสักครั้งที่ต้องตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ จาฮอนจ้องมองสตรีที่ก้มหัวเล็กน้อย ทั้งยังรวบมือไว้ด้านหน้าอย่างนอบน้อมครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยปากขึ้น
“เงยหน้าขึ้นมา”
“เพคะฝ่าบาท”
ออมฮยอนบีเงยหน้าขึ้นจ้องมองฝ่าบาท พระองค์เอาแต่มองเพียงแค่โซอีมามาตลอด รูปร่างอีกฝ่ายเพรียวระหงและอ้อนแอ้นกว่าสตรีมากเพียงใด ใบหน้าไม่ประโคมเครื่องประทินโฉม เผยความอ่อนเยาว์ เรือนร่างสวมอาภรณ์สีขาวบริสุทธิ์กลับดูบอบบางยิ่งกว่ายามสวมอาภรณ์หรูหรา อีกทั้งเส้นผมก็ยาวสลวย
“ฮยอนบี วันนี้เจ้าดูเรียบร้อยยิ่ง”
“ฝ่าบาทรับสั่งให้รับการไต่สวนเช่นนั้น หม่อมฉันจะแต่งตัว ประทินโฉมได้อย่างไรกันเพคะ”
“นั่นสินะ”
ออมฮยอนบีก้มหน้าลงอีกครั้ง นางยืนประสานมือราวกับนักโทษรอรับโทษอยู่ จาฮอนเชื้อเชิญให้นั่งลงบนเก้าอี้ แม้นางจะนั่งลงบนเก้าอี้แล้ว แต่ยังคงก้มหน้าจดร้องเพียงแค่ปลายเท้าของตน
ร่างสูงนิ่งเฉยอยู่ครู่หนึ่ง การช่วยชีวิตหญิงผู้หนึ่ง อย่างน้อยที่สุดก็บอกกล่าวเพื่อค้นหาหนทางเริ่มต้นชีวิตใหม่ ทว่าสำหรับสนมของจักรพรรดิแล้ว การกล่าวเช่นนั้นไม่ค่อยจะดีนัก จาฮอนเปิดปากที่ไม่อาจขยับได้อย่างง่ายดายนักด้วยการถอนหายใจ