แพคมีกังส่งเสียงร้องออกมาด้วยความเจ็บปวดและลืมตาขึ้น ที่แห่งนี้คือลานไต่สวน
รสชาติโลหิตคลุ้งในปาก นิ้วมือก็เจ็บแปลบอย่างยิ่ง รู้สึกเจ็บและแสบคันบริเวณต้นขาในเวลาเดียวกันหลังถูกตะบองฟาด ลาดไหล่เหมือนลุกไหม้ด้วยเปลวไฟ หน้าผากก็คล้ายถูกทิ่มแทงด้วยเป็นนับพันเล่ม
การพูดคุยสนทนากับคยองยูลก่อนหน้านี้คล้ายเป็นเรื่องโกหก ไม่ใช่ หากไม่ใช่เรื่องโกหก ก็เป็นเพียงจินตนาการของตน หรือบางทีอาจจะเป็นความฝัน…
การพิพากษาคนผู้นั้น เขาเป็นผู้ตัดสิน คำสั่งลงโทษก็เป็นเขาอีก ศีรษะของอีกฝ่ายร่วงตกลงต่อหน้าและถูกเสียบประจาน ก็เพราะเขาออกคำสั่งเอง
“ยอมรับใช่หรือไม่”
ความเจ็บปวดก็คือความเจ็บปวด ทว่าถึงแม้จะเป็นเพียงจินตนาการ แต่ความจริงที่ว่าได้พบคยองยูลในยามที่ตนตกอยู่ในสภาพตกต่ำอย่างถึงที่สุดเช่นนั้น มันช่างน่าอับอายและน่าอัปยศ เขาจึงไม่ได้ยินสุ้มเสียงใดๆ ทั้งสิ้น ด้วยเหตุนั้นจึงพลาดโอกาสฟังคำกล่าวของเจ้าหน้าที่ไต่สวน
แม้จะพลาดคำถาม แต่ก็จดจำได้ว่าวันนี้เป็นการตัดสินคดีครั้งสุดท้ายแล้ว โดยปกติโทษหนักหนาที่สุดจะทำการสอบสวนในวันสุดท้าย ดังนั้น เรื่องที่สั่งให้ยอมรับในเวลานี้ ก็อาจจะเป็นโทษฐานโยนความผิดการก่อกบฏให้ผู้อื่น หรือโทษฐานสั่งให้ลอบสังหารเชื้อพระวงศ์ ต้องเป็นข้อใดข้อหนึ่งในสองข้อนี้เป็นแน่
“เฮ้อ…”
แพคมีกังทอดถอนใจออกมาอย่างไม่รู้ตัว
ความผิดนี้ ต้องทำเช่นไร แล้วความผิดนั้น ต้องทำเช่นไร สุดท้ายก็ต้องยอมรับความผิดทั้งหมด มีความผิดเพิ่มขึ้นอีกสักอย่างสองอย่างจะมีต่างอะไรกันเล่า โทษทัณฑ์เพิ่มขึ้นจะมีผลอันใด
“ยอมรับขอรับ”
ชายชราตะโกนยอมรับความผิดด้วยน้ำเสียงไม่ปกตินัก จากนั้นบนหน้าผากก็ปรากฏร่องรอยตัวอักษรสีแดงแจ่มชัดว่ากบฏ เจ้าหน้าที่ไต่จึงสวนหมุนตัวกลับ ก่อนจะค้อมคำนับต่อองค์จักรพรรดิแล้วกล่าวรายงาน
ทันทีที่ฝ่าบาทยกพระหัตถ์ข้างหนึ่งขึ้นมา ภายในลานพลันเงียบสงัดในชั่วพริบตา แพคมีกังจ้องมองด้วยแววตาพร่าเลือนทั้งๆ ที่ยังคงคุกเข่าอยู่บนพื้น ฝ่าบาทเองก็จ้องอีกฝ่ายอยู่ครู่หนึ่งแล้วขยับปากกล่าวอย่างเนิบช้า
“นักโทษแพคมีกังจงฟัง ความผิดฐานลอบสังหารเชื้อพระวงศ์ ความผิดฐานฉ้อฉลทรัพย์สินของราชวงศ์ ความผิดฐานลอบคบชู้กับสนมของจักรพรรดิองค์ก่อน ความผิดฐานกุเรื่องป้าสีว่าผู้อื่นเป็นกบฏ ความผิดฐานก่อตั้งกลุ่มนักฆ่า เลี้ยงดูนักฆ่าและข่มขู่ผู้อื่นมากมาย ความผิดฐานปลุกปั่นราชสำนักด้วยความขัดแย้งการสร้างภายในกลุ่ม เพื่อชดใช้ความผิดทั้งหมดนี้ หลังจากต้องโทษประหารและรับทัณฑ์แยกร่างแล้ว ก็ให้นำหัวไปเสียบประจานเสีย จงดำเนินการลงทัณฑ์โดยเร็วที่สุด ไม่จำเป็นต้องรอจนกระทั่งจบการไต่สวนของผู้อื่น”
“น้อมรับบัญชาพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท”
เจ้าหน้าที่ไต่สวน เจ้าหน้าที่ลงทัณฑ์ รวมถึงทุกคนในลานต่างหมอบคำนับรับสั่งขององค์จักรพรรดิอย่างพร้อมเพรียง จาฮอนลุกจากที่ประทับ จ้องมองสีหน้าว่างเปล่าราวกับสูญสิ้นทุกสิ่งของแพคมีกังสักพัก
“ค่อยนำชูอันกเว[1] มารายงานที่ตำหนักอุนฮยอนภายหลัง”
“พ่ะย่ะค่ะ”
จากนั้นฝ่าบาทก็เสด็จออกจากลานไต่สวน ดังนั้น การพิพากษาอดีตมหาเสนาบดีตุลาการจึงจบลงเพียงเท่านี้ แพคมีกังถูกลากกลับไปยังคุกหลวงและดูสงบนิ่งอย่างน่าประหลาด
ไม่นานนักการรับโทษทัณฑ์ของแพคมีกังก็เริ่มขึ้น เดิมทีหลังจากถูกตัดสินว่ารับโทษประหารย่อมต้องได้รับทัณฑ์แยกร่างและถูกตัดศีรษะเสียบประจาน ทว่าไม่รู้เพราะเหตุใดฝ่าบาทถึงทรงเปลี่ยนแปลงการลงโทษ ภายหลังจากประหารก็ให้ตัดหัวเสียบประจานเลย มิต้องได้รับทัณฑ์แยกร่าง ให้ผู้สูงวัย อดีตขุนนางผู้ภักดีของจักรพรรดิองค์ก่อนแบกรับโทษทัณฑ์มากมายเช่นนั้น นับเรื่องโหดร้ายและมิใช่วิธีอันเป็นธรรม พระองค์ทรงอธิบายเหตุผลของการเปลี่ยนแปลงออกมาเล็กน้อย ทว่าแท้จริงสาเหตุเป็นเพราะโซกัง
หลังจากผ่านการพิพากษาไต่สวนคดีไปสองวัน โซกังก็ฝันถึงลานประหารที่ไม่อาจพบเห็น มีโลหิตเจิ่งนองบนพื้น รวมถึงร่างไร้ศีรษะของผู้คน โลหิตทะลักทลายออกมาอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ก่อนที่มหาเสนาบดีฝ่ายพลาธิการ คยองยูล จะปรากฏตัวขึ้น
“มิแสดงความเมตตาสุดท้ายหน่อยหรือ”
ตลอดห้วงความฝันนั้น โซกังไม่รู้สึกหวาดกลัวหรือเจ็บปวดใดๆ เลย เพียงได้พบอีกฝ่ายก็เปี่ยมปีติยินดี ทว่าในความเป็นจริงแล้วกลับแตกต่างอยู่บ้าง เนื่องจากเจ้าตัวไม่อาจตื่นจากการหลับใหล ร่างบอบบางชื้นด้วยเหงื่อกาฬไหลซึมพลางเพ้อละเมอ อีกทั้งยามตื่นขึ้นมาก็เอาแต่นั่งเหม่อไม่หยุดหย่อน สตินึกคิดไม่ได้กลับสู่สภาพปกติ เอาแต่เอ่ยชื่อผู้คนที่จากไปแล้วพร้อมกับร้องไห้ออกมา
ไม่เพียงแค่เท่านั้น โซกังยังเป็นไข้จนหมดสติ ร่างกายสั่นสะท้านด้วยอาการหนาวสั่น แม้จะเสริมเตาอุ่นใต้เตียงเพิ่งเป็นสองเตาและห่มผ้าทับอีกหลายชั้น แต่เจ้าตัวก็ยังบอกว่าหนาว
ระหว่างสติเลือนรางด้วยพิษไข้ โซกังจึงเอ่ยร้องขอความเมตตาแก่นักโทษเหล่านั้นจากคนรัก เดิมทีจาฮอนไม่มีจิตคิดเมตตาแม้เพียงเศษขี้ตา ทว่าเมื่อคนรักเอ่ยปากขึ้นมาเช่นนี้ทั้งๆ ที่ป่วยไข้ เขาก็ไม่มีทางจะไม่รับฟัง
ด้วยเหตุนั้น โทษทัณฑ์ของแพคมีกังจึงเหลือเพียงตัดหัวเสียบประจานเท่านั้น และโทษทัณฑ์ของผู้เกี่ยวข้องทั้งหลายก็ลดหลั่นเบาลงโดยทั่วกัน
หลังจากเสร็จสิ้นการไต่สวนและการลงโทษนักโทษจนครบทั้งหมดแล้ว สภาพอากาศก็อบอุ่นขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
เหล่าขุนนางกลับสู่ความสงบและก่อนจะส่งเสียงตอบรับอย่างเป็นน้ำหนึ่งใจเดียว ทว่าองค์จักรพรรดิกลับตัดสินใจกระทำการบางอย่างอย่างเด็ดเดี่ยว ด้วยการแต่งตั้งบุรุษซึ่งไม่สามารถให้กำเนิดรัชทายาทได้ขึ้นนั่งตำแหน่งจักรพรรดินี แม้จะไม่มีกฎข้อห้าม แต่ก็ไม่เคยมีแบบอย่างหรือปรากฏเหตุการณ์เช่นนี้มาก่อน ทว่าไม่มีผู้ใดหรือกลุ่มใดเอ่ยคัดค้านพระประสงค์ทั้งสิ้น เพราะพระองค์ตรัสออกมาเพียงแค่ประโยคเดียว
‘อย่าได้ลืมว่าเพราะเหตุใดมหาเสนาบดีตุลาการ แพคมีกังจึงกลายเป็นเช่นนั้น’
เหมือนเป็นการข่มขู่ว่าหากกล้าแตะต้องยูโซอี ตนก็จะไม่อยู่เฉยเป็นแน่ แม้จะช่วยจุดไฟเผาม้วนกระดาษตามสัญญา ทว่าเหล่าขุนนางฝ่ายเชที่เหลือก็ไม่คิดว่าพระองค์จะทรงหลงลืมเนื้อความในนั้น จึงไม่ได้กล้าส่งเสียงคัดค้านใดๆ ทว่าความจริงแล้วภายในม้วนกระดาษนั้นหาได้มีสิ่งใดพิเศษ แต่คนเหล่านั้นหวาดกลัวกันไปก่อนเอง จาฮอนจึงสามารถแต่งตั้งให้โซกังขึ้นเป็นจักรพรรดินีได้อย่างง่ายดายยิ่ง
จากนั้น วังหลวงจึงกลับคืนสู่ความสงบสุข
ยามบ่ายวันหนึ่งที่มีแสงแดดสดใส จาฮอนกับโซกังจับมือกันเดินเล่นอย่างเนิบนาบเอื่อยๆ อยู่ภายในตำหนักฮงฮวา ในมือของขันทีและนางกำนัลที่ยืนทิ้งระยะห่างล้วนถือผ้าไหมผืนใหญ่สำหรับใช้ปูรองนั่งและตะกร้าใส่อาหารเอาไว้
โดยบริเวณด้านหลังมีคนสองคนกำลังพูดคุยกันด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา จนจับใจความได้บ้างไม่ได้บ้าง
“พรุ่งนี้ข้าตั้งใจจะบอกเช่นนั้น”
“เหล่าขุนนางต้องตำหนิข้าเป็นแน่ ต้องถูกกล่าวว่าทำให้ฝ่าบาทหลงใหลจนกระทำเช่นนี้”
“นั่นก็ไม่ใช่คำพูดที่ผิดอันใด”
“ใยถึงกล่าวว่ามิใช่คำพูดที่ผิดเล่า”
“ก็เจ้าทำให้ข้าหลงใหลจริงๆ มิใช่หรือ ด้วยเรือนร่างเย้ายวน ไร้ซึ่งอาภรณ์”
จาฮอนขบคิดบางสิ่งพลางกวาดสายตามองเรือนร่างของโซกังก่อนจะยกยิ้ม เมื่อเข้าใจว่าอีกฝ่ายกล่าวถึงเรือนร่างยามใดแล้ว ใบหน้าของเจ้าตัวก็พลันแดงซ่าน ทุบตีลงบนต้นแขนแกร่ง เขาเลยหลุดหัวเราะและคว้าแขนโซกังเอาไว้ ก่อนจะโอบกอดรอบเอวคอดอย่างรวดเร็ว
เหล่านางกำนัลกับขันทีผู้ติดตามต่างรู้ว่าทั้งสองคนจะทำอะไร ทุกคนต่างหยุดฝีเท้าและหันหลังให้โดยพร้อมเพรียง เหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นวันละหลายๆ ครั้ง ตอนนี้พวกเขาจึงไม่รู้สึกตื่นตกใจอีกต่อไปแล้ว
จาฮอนแนบประทับริมฝีปากอย่างแผ่วเบา จากนั้นก็ส่งเรียวลิ้นออกมาไล้เลียกลีบปากอ่อนนุ่ม
“แม้จะมาพูดเอาเวลานี้ ทว่าเมื่อคราแรกนั้น ข้านึกไปว่าเจ้าเป็นเทพธิดาฮังอาลงมาจากฟากฟ้าเสียอีก”
“กล่าวเทียบบุรุษว่าเป็นเทพธิดาฮังอาอย่างนั้นหรือ”
“ถึงจะได้เห็นอยู่ทุกวัน แต่เจ้าก็ยังงดงามอยู่ทุกวัน แม้ได้โอบกอดอยู่ทุกวัน ก็รู้สึกไม่เพียงพอเสมอ ดูท่าคงจะไม่ใช่การเข้าใจผิดเสียแล้วสิ”
โซกังซุกซ่อนใบหน้าแดงก่ำลงกับอกของอีกฝ่าย จาฮอนหัวเราะพร้อมลูบแผ่นหลังบางปลอบประโลม
ช่วงล่างพลันยกชันคล้ายกล่าวว่าอยากโอบกอดคนตรงหน้าอีกแล้ว จนเขาได้แต่กร่นด่าส่วนล่างของตนให้รู้จักสำรวมบ้างในใจ
ทว่าเมื่อได้เห็นใบหน้าขึ้นสีแดงจัดเช่นนี้ ก็เกิดความคิดว่าหากแนบชิดภายใต้แสงจันทราส่องสว่างน่าจะดีไม่น้อย ยามโซกังจมดิ่งสู่ความขลาดเขิน จาฮอนก็กำลังขบคิดด้วยความเจ้าเล่ห์และทำให้อีกฝ่ายเขินอายมากยิ่งขึ้น
ระหว่างครุ่นคิดเพราะอยากลิ้มลองแนบชิดด้วยภาษากายในยามค่ำคืน เขาก็สั่งให้ขันทีปูผ้าตรงมุมหนึ่งของตำหนัก
และเพลิดเพลินกับของว่างยามบ่ายอย่างเงียบๆ ร่วมกับโซกัง
พร้อมภาวนาให้ทุกอย่างสงบสุขเช่นนี้ไปเรื่อยๆ
[1] ชูอันกเว **บใส่บันทึกเนี้อหาคำให้การขอนักโทษ