วังหลวงของอาณาจักรฮยอนวอน ตั้งอยู่ทางด้านทิศเหนือของกรมฝ่ายใต้ ใจกลางเมืองหลวงที่มีพื้นเป็นสี่เหลี่ยมจตุรัสอย่างแทรยุง
ภายในตำหนักคอนรยุงซึ่งเป็นที่พำนักของจักรพรรดิ ขันทีกำลังค้อมศีรษะอย่างนอบน้อมขณะกล่าวรายงาน
“ฝ่าบาท ได้โปรดทรงทบทวนอีกครั้งเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
“ขันทีโช ข้าแค่กล่าวว่าจะออกไปข้างนอกสักครั้ง มันร้ายแรงถึงเพียงนั้นเลยหรือ”
“ฝ่าบาท ทรงทบทวนด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
ขันทีโชยังคงค้อมคำนับพร้อมกล่าวคำเดิม เมื่อครู่ฝ่าบาทเรียกแทนตัวด้วยคำอื่นแทนคำว่า ‘เรา’ แทนและกล่าวว่า ‘ร้ายแรง’ ออกมา บุรุษหนุ่มในอาภรณ์เนื้อผ้าธรรมดาเฉกเช่นบรรดาขุนนางทั่วไป ใช้ฝ่ามือปัดปอยผมที่ปรกหน้าอย่างรำคาญใจพร้อมกระเดาะลิ้น ผู้น้อยจึงค้อมตัวลงและเอ่ยขึ้นอีกครั้ง
“ขอประทานอภัยพ่ะย่ะค่ะ”
“เข้าใจก็ดี งั้นข้า อืม เราจะออกไปแล้ว ฝากขันทีโชจัดการทางนี้ด้วย”
“ฝ่าบาท โปรดทรงทบทวนอีกครั้ง”
“เราตัดสินใจแล้ว อย่างไรเราก็ต้องไปตรวจสอบดูด้วยตัวเอง ไม่ต้องพูดให้มากความ”
ถ้อยคำอันเฉียบขาดของฝ่าบาท ทำให้ขันทีโชได้แต่ข่มซ่อนความไม่พอใจเอาไว้ ถึงแม้ว่าพระองค์จะเพิ่งก้าวเข้ามาอยู่ในตำแหน่งนี้ได้เพียงแค่หนึ่งปีเท่านั้น หากก็ไม่อาจหลบซ่อนความรู้สึกนั้นจากพระองค์ได้ ทว่าขันทีโชก็เข้ามายืนขวางกั้นเบื้องหน้าฝ่าบาทอย่างลุกลี้ลุกลนด้วยท่าทางนอบน้อม
“หลังทรงตรวจสอบความถูกต้องด้วยพระองค์เองแล้ว หากทรงอยากใส่ใจความรู้สึกของราษฎร รับสั่งให้จัดขบวนเสด็จแทนการปลอมตัวดีหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
“ขบวนเสด็จ? เช่นนั้นทุกคนรู้ว่าข้าเป็นจักรพรรดิน่ะสิ ทำเช่นนั้นแล้วจะตรวจสอบอะไรได้เล่า หรือขันทีโชคิดเห็นอย่างไร”
คำถามของจักรพรรดิ ทำให้ขันทีโชค้อมศีรษะลงพร้อมกับพูดความคิดของตนออกมา
“หลังจากสัปดาห์นี้ ฝ่าบาทต้องเสด็จไปกรมฝ่ายใต้มิใช่หรือพ่ะย่ะค่ะ หากทรงเปลี่ยนพระทัยเสด็จไปในวันนี้ จากนั้นเมื่อเสร็จพิธีในยามคํ่า ก็ทรงออกมาตรวจตราในยามแทน จะไม่เป็นการปลอดภัยกว่าหรือพ่ะย่ะค่ะ เมื่อฝ่าบาททรงจัดการธุระเสร็จแล้ว จะได้ทรงกลับมาที่กรมฝ่ายใต้ เช่นนั้นจึงวุ่นวายน้อยกว่านะพ่ะย่ะค่ะ”
“เช่นนั้นก็ได้ งั้นวันนี้เข้าจงไปเตรียมขบวนเถอะ”
“พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท”
ขันทีโชลอบถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะออกมาจากตำหนัก เหงื่อกาฬไหลพรากตั้งแต่ยามเช้าเช่นนี้ไม่ใช่เรื่องปกติ ทว่ากลับรู้สึกเหมือนจัดการเรื่องใหญ่ได้ลุล่วง
เหตุเพราะฝ่าบาททรงตรัสว่าจะออกตรวจการอย่างลับๆ นั่นล่ะ
ในบรรดาราชกิจของฝ่าบาท หนึ่งสิ่งที่นับเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่งคือการอ่านฎีกา ฎีกาที่รวบรวมจากกรมทั้งสี่ที่อยู่ในเมืองหลวงแทรยุง ทว่าด้วยจํานวนที่มีมากเกินไป ฝ่าบาทจึงไม่สามารถตรวจดูฎีกาด้วยพระองค์เองได้ทั้งหมด ดังนั้นฎีกาที่ถูกถวายขึ้นมาจะส่งไปที่ห้องอักษรของตำหนักอุนฮยอนแทน หลังจากเหล่าขุนนางของตำหนักอุนฮยอนตรวจสอบแล้ว ถึงจะถูกเสนอขึ้นมาตามลำดับความสำคัญ
ฎีกาเหล่านั้นจะส่งมาที่ตำหนักฮวังรยงให้จักรพรรดิทรงตรวจสอบอีกครา และจะไม่ทรงตรวจซ้ำอีก
จักรพรรดิคือผู้เป็นบิดาแห่งชาวประชา ดังนั้น การเอาใจใส่ต่อเรื่องราวของราชฎรทุกๆ เรื่องจึงนับว่าสิ้นเปลืองเวลานัก ด้วยเหตุนั้นไม่ว่าจะกี่รัชสมัยก็ยังคงไว้ซึ่งแบบแผนเช่นนี้
ทว่าจักรพรรดิองค์ปัจจุบันที่เพิ่งดำรงตำแหน่งได้เพียงหนึ่งปีกลับต่างออกไปเล็กน้อย ทรงกระทำทุกอย่างตามอำเภอใจ เปิดดูกองฎีกาได้ไม่กี่อัน ก็ไม่คลี่ดูกองฎีกาเหล่านั้นอีก ขันทีโชที่รู้จักจักรพรรดิองค์ปัจจุบันที่มีรูปโฉมไม่ธรรมดามาตั้งแต่ครั้งยังทรงเป็นองค์ชาย ทว่าการกระทำเช่นนั้นกลับได้รับการยอมว่า ’ทรงเป็นผู้ปราดเปรื่อง มีเหตุผล’
ถึงกระนั้น เรื่องเช่นนี้ก็ไม่สมควร ขันทีโชทอดถอนลมหายใจออกมา
ใช่ นี่มันไม่ใช่เรื่องสมควรจริงๆ ไม่รู้เพราะเหตุใดถึงทรงดื้อดึง และไม่อาจรู้เลยว่าพระองค์ต้องการตรวจสอบสิ่งใดกันแน่ และต้นเหตุคือฎีกาฉบับนั้นที่ฝ่าบาททรงตรวจสอบเมื่อไม่กี่วันก่อน
ไม่กี่วันก่อนจักรพรรดิทรงอ่านกองฎีกาด้วยท่าทางผิดจากปกติ ฎีกาตัวอักษรโย้เย้เหมือนไม่ได้เรียนเขียนอักษร มีเนื้อหาว่าให้ลากตนลงหลุมไปพร้อมกับบิดาและมารดา โดยระบุไว้ว่าบิดาเป็นเจ้าหน้าที่ในกรมพลาธิการ เนื้อหาว่าเอาไว้เช่นนั้น ดูเหมือนว่าจะเป็นเด็กเขียนขึ้น
สิ่งนั้นเสนาบดีกรมอาญา[1]เป็นผู้ส่งมา จึงทรงหมายมั่นว่าจะไปตรวจสอบด้วยพระองค์เอง ไม่สมกับอุปนิสัยเถียรตรงเคร่งครัดในการปกครองของฝ่าบาทยิ่งนัก
“ไม่เข้าใจเสียเลย”
ขันทีโชพร่ำบ่นกับตัวเองตามลำพัง ก่อนจะรีบก้าวเดินต่อเพื่อไปจัดการเรื่องขบวนเสด็จ
และเมื่อผ่านไปสองชั่วยาม ขบวนเสด็จอันเรียบง่ายก็เสร็จเรียบร้อย ปกติแล้วเดิมทีแม้จะเพียงตกแต่งเกี้ยวที่จักรพรรดิองค์ก่อนใช้ยามเสด็จก็ยังคงใช้เวลาระยะหนึ่ง แต่งเติมผนังด้วยสีแดง หลังคาเป็นสีทอง และแขวนม่านไข่มุกไร้ตำหนิประดับไว้
ไม่ใช่เพียงเท่านั้น แม้จะเป็นเพียงขบวนเสด็จสั้นๆ หากยังต้องคัดเลือกของประดับเกี้ยวและประดับบันไดที่ใช้ขึ้นเกี้ยวตั้งแต่ยามรุ่งสาง เพราะยิ่งขบวนยาวเท่าไร ก็ยิ่งเป็นการแสดงพระเกียรติยศเท่านั้น จึงทำการเกณฑ์ไพร่พลมาเป็นจำนวนมาก
ทว่าทันทีที่จักรพรรดิพระองค์ใหม่ทรงขึ้นครองราชย์ ก็รับสั่งไม่ให้จัดขบวนเสด็จเช่นนั้นอีกต่อไป อีกทั้งยังตรัสว่าจะไม่ใช้เกี้ยว แม้จะทรงเป็นจักรพรรดิ แต่ก็เป็นนักรบด้วยเช่นกันจึงคุ้นเคยกับการขี่ม้าเป็นอย่างดี เป็นลดการป้องกันที่นับว่าสิ้นเปลืองไปด้วยอีกทาง
พระองค์รวบรวมผู้คนที่ไว้ใจตั้งแต่ทรงเป็นรัชทายาท และทันทีที่ครองราชย์ก็ตั้งกองทหารองครักษ์ที่เรียกว่าหน่วยฮวังรยง โดยหมายหมายให้ทำหน้าที่รักษาความปลอดภัยทั้งหมดของตน กระทั่งยามมีขบวนเสด็จก็ไม่ต่างกัน
แม้จะเป็นหน่วยองครักษ์ที่ฝ่าบาททรงคัดเลือกและจัดตั้งขึ้น ทว่าการมอบหมายให้มีเพียงผู้คนเหล่านั้นคอยอารักขา ทำให้ขันทีโชได้แต่รู้สึกไม่สบายใจ แม้จะไม่เห็นว่าทรงจับดาบเองแล้ว แต่เมื่อสองปีก่อนก็เกิด ’เรื่องนั้น’ ขึ้นอยู่ดี
เพียงอย่างเดียวที่ขันทีโชพอใจ ก็คือฝ่าบาททรงรับสั่งว่าไม่ต้องประหยัดการจัดงานเลี้ยงแก่ผู้เกี่ยวข้องยามเสด็จไปยังกรมต่างๆ ดังเช่นการเตรียมขบวนเสด็จ
ทรงประหยัดในส่วนของพระองค์เองก็จริง หากก็ทรงเอาใจใส่ผู้คนใต้บารมี นั่นไม่ใช่พื้นฐานของจักรพรรดิผู้มีเมตตาและปรีชาสามารถหรอกหรือ การได้คอยช่วยเหลือพระองค์มาตั้งแต่ทรงเป็นรัชทายาท นับว่าเป็นโชคดีของตน ขันทีโชเดินไปทางตำหนักคอนรยุง ตั้งใจกลับมารายงานว่าจัดเตรียมขบวนเสด็จเรียบร้อยแล้วพร้อมขบคิดถึงเรื่องนั้น
“ฝ่าบาท”
ทว่าเมื่อได้เห็นอาภรณ์ของฝ่าบาทแล้วถึงกับต้องเอ่ยถามด้วยริมฝีปากสั่นระริก ไม่ใช่อาภรณ์เยี่ยงจักรพรรดิ หากพระองค์กำลังสวมอาภรณ์ชุดฝึกซ้อมปักลวดลายมังกร อาภรณ์สีดำและสีแดงขับเน้นภาพลักษณ์อันแข็งแกร่ง แม้สวมอาภรณ์เช่นนี้ก็ยังคงความสง่างาม แต่ถึงกระนั้นเหตุใดแทนที่จะสวมอาภรณ์เยี่ยงจักรพรรดิตามธรรมเนียม กลับสวมอาภรณ์ที่คล้ายองค์รักษ์หน่วยฮวังรยง หากเพียงตัดลวดลายพยัคฆ์ออก ก็หาจุดต่างไม่ได้เลย
“ฝ่าบาท เหตุใดจึงทรงสวมอาภรณ์เช่นนี้หรือพะย่ะค่ะ”
“ข้าต้องขี่ม้า สวมเช่นนี้ก็ถูกต้องแล้ว มีปัญหาอะไรงั้นหรือ”
“มิได้พะย่ะค่ะ…”
ขันทีโชไม่ได้กล่าวอันใดออกไปอีก ทว่าหากตรวจดูตามหนังสือจริยวัตรแล้ว ยามทรงม้าจักรพรรดิต้องสวมอาภรณ์สีสันประจำราชวงศ์ อย่างสีแดงหรือสีทอง ผู้น้อยได้แต่ค้อมคำนับและไม่ได้เอ่ยอะไรไปมากกว่านั้น
แน่นอนว่าไม่ใช่ฝ่าบาทไม่รับรู้ความรู้สึกตอนนี้ของอีกฝ่าย ทว่าตั้งแต่ทรงเป็นรัชทายาท จารีตและประเพณีอันสิ้นเปลืองที่ประดับอยู่บนอาภรณ์ของเชื้อพระวงศ์ ช่างไม่ถูกใจเขาเอาเสียเลย ดังนั้นเลยไม่สามารถยอมรับความคิดของขันทีโชได้ จึงทำเป็นไม่รับรู้และเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“หากเจ้าไม่พูดออกมาตามตรง ภายหลังก็จะสะสมเป็นความไม่สบายใจ…”
“หามิได้พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมขอประทานอภัยฝ่าบาท”
ขันทีโชรีบหมอบตํ่าลงบนพื้นด้วยความตื่นตระหนก สิ่งที่จักรพรรดิทรงตรัสเมื่อครู่เป็นคำกล่าวในบทหนึ่งของตำราวิถีแห่งจักรพรรดิ ซึ่งกล่าวเอาไว้ว่า ‘หากไม่กล่าวออกมาทันที ภายหลังความคับข้องใจก็ยิ่งจะสะสมจนกลายเป็นกบฎ ดังนั้นจงเฝ้าดูอย่างใกล้ชิด’ จักรพรรดิมองไปยังขันทีโช แม้ในใจนั้นรู้สึกผิดทว่ามันก็เพียงเท่านั้น
ก็แค่การสวมอาภรณ์ที่สะบัดพลิ้วไปมาเยี่ยงจักรพรรดิ เม็ดไข่มุกระย้าปล่อยทิ้งตัวลงมาตามการเคลื่อนไหวนับเป็นสิ่งน่ารำคาญ สวมอาภรณ์ยาวระย้าเพื่อขี่ม้า ยิ่งนับว่าน่ารำคาญจนเกินทน
ขันทีโช เจ้ามันช่าง…
บ่นพึมพำอยู่ในใจ ก่อนจะขยับมือเป็นสัญญาณอนุญาตให้ลุกขึ้น ขันทีโชกล่าวขอบพระทัยและพร้อมลุกขึ้นยืน จากนั้นก็เดินตามหลังฝ่าบาทออกจากตำหนักคอนรยุง ตรงไปยังตำหนักฮวังรยง หัวหน้าองครักษ์หน่วยฮวังรยงเตรียมพร้อมรออยู่แล้ว จึงส่งสายบังเ**ยนของม้าที่จัดวางอานม้าสีแดงให้ หลังจากขึ้นขี่ม้าอย่างชำนาญ แล้วหันมากล่าวแก่ขันทีโชที่ค้อมศีรษะอย่างนอบน้อม
“ข้าจะไปกับหน่วยฮวังรยง ขันทีโชก็นำขบวนจัดเลี้ยงตามมาล่ะ”
“พะย่ะค่ะ ฝ่าบาท”
ฝ่าบาทบังคับม้าให้หันหัวกลับแล้วกระชากบังเ**ยนอย่างแรงจนม้ากระตุกตัวเล็กน้อย แล้วเริ่มออกวิ่งไปด้านหน้าทันที บรรดาคนงานที่กำลังทำงานอยู่ตามเส้นทางที่ม้าวิ่งต่างขยับหลบไปด้านข้างพร้อมกับค้อมคำนับ ชั่วพริบตาก็ผ่านประตูอุนจองออกมาด้านนอกตำหนักฮวังรยง ม้าของฝ่าบาททะลุผ่านอุทยานหลวงใกล้ถึงประตูเวซองอย่างรวดเร็ว
ทันใดนั้น หัวหน้าหน่วยฮวังรยงที่ควบม้าอยู่ด้านข้างฝ่าบาทก็ตะโกนออกไปด้วยเสียงดังก้อง
“เปิดประตู! ฝ่าบาทเสด็จแล้ว!”
เมื่อได้ยินเสียงนั้น ทหารยามหน้าประตูจึงเร่งเปิดประตู ฝ่าบาทไม่ได้ลดความเร็วของม้าลงแต่อย่างใด กลับพุ่งทะยานผ่านประตู โดยมีหน่วยฮวังรยงก็ตามหลังไปติดๆ มีเพียงฝุ่นคลุ้งตลบอบอวลเบื้องหลังของพวกเขาเท่านั้น
[1] เสนาบดีกรมอาญา ตำแหน่งที่รับผิดชอบด้านกฎหมาย