ตอนพิเศษ 1 ถึงกระนั้นก็ตาม
ณ ส่วนด้านในสุดของตำหนักคอนรยุง เป็นห้องนอนขนาดเล็ก แต่ตกแต่งสะอาดสะอ้าน ยามนี้มีบุรุษสองคนอยู่ภายใน ผู้หนึ่งนอนตัวสั่นไม่หยุดอยู่บนเตียง ทั้งส่งเสียงร้องโอดครวญอย่างทรมาน ด้านข้างมีบุรุษอีกคนกำลังขมวดคิ้วมุ่นเล็กน้อยขณะลากเก้าอี้มาวางแล้วนั่งลง คนผู้นั้นคือทันยองนั่นเอง ส่วนบุรุษที่นอนทุรนทุรายอย่างเจ็บปวดอยู่บนเตียงก็คือ ชังฮโย
ทันยองลากโต๊ะมาวางด้านข้างเตียงนอนตั้งแต่แรกแล้ว บนโต๊ะจัดวางอย่างเป็นระเบียบด้วยผ้าขาว สมุนไพรบดละเอียด มีดสั้น ตะเกียงและอ่างใส่น้ำ ทั้งหมดนี้เขาล้วนขอมาจากเหล่านางกำนัลและขันที
ชังฮโยหลับตาอยู่ ใบหน้าซีดขาวเสียจนบอกว่าเป็นซากศพก็ย่อมได้ ไหล่ข้างหนึ่งที่ควรต้องมีท่อนแขน กลับพันด้วยผ้าสีดำแทน ทันยองผ่อนลมหายใจออกมาแผ่วเบา คิ้วขมวดมุ่นตั้งแต่เมื่อครู่ไม่คิดจะคลายลง เพราะอาการของชังฮโยยังไม่สู้ดีนัก เวลานี้อีกฝ่ายยังคงมีชีวิต แต่ก็อยู่ในสภาพไร้สติ
“กระโดดออกมาเช่นนั้นทำไมกัน”
ร่างบางพึมพำออกมาด้วยน้ำเสียงคล้ายลำคอตีบตัน ถึงอย่างไรก็จับมีดสั้นขึ้นมา ก่อนจะลนใบมีดเหนือเปลวไฟจากตะเกียงอย่างตั้งใจ หลังจากลองประเมินโลหิตที่ไหลรินและเวลาที่พ้นผ่าน หากไม่รีบจัดการในทันที คนตรงหน้าคงทนได้อีกไม่เกินสองเค่อ[1] แม้ว่าฝ่าบาทจะทรงส่งหมอมาให้ แต่เขาก็ไม่คิดว่าหมอจะสามารถรักษาผู้ไร้สตินี้ได้ทันท่วงที
‘ข้าผิดเอง แต่คงจะปล่อยเจ้าไปเช่นนี้ไม่ได้’
ชังฮโยกอดเขาแน่นด้วยแขนข้างเดียวจนรู้สึกเจ็บแปลบ สัมผัสนั้นยังหลงเหลืออยู่บนกาย รู้สึกเหมือนยังคงถูกโอบกอดอยู่ อีกทั้งกลิ่นโลหิตคาวคลุ้งจากอีกฝ่ายยังคงติดอยู่ที่ปลายจมูก และน้ำเสียงทุ้มต่ำก็ดังขึ้นในโสตประสาทอีกครา เสียงที่ได้ยินอย่างชัดเจนท่ามกลางความอึกทึกวุ่นวายรอบกาย
‘ข้ารักเจ้า ยองอา’
“ช่างน่าตายนัก”
ทันยองขบฟันแน่นพลางสบถออกมา ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเหตุใด แต่ใบมีดที่กำลังขยับเคลื่อนเหนือเปลวไฟตะเกียงกลับสั่นไหว ถ้าหากมือยังสั่นเทาอยู่เช่นนี้ ก็คงไม่อาจจัดการได้อย่างทันที ถึงกระนั้นก็ไม่สามารถควบคุมตัวเองได้เลย ขณะที่เขาเป็นเช่นนี้ เวลาของชีวิตชังฮโยก็กำลังค่อยๆ ถดถอยลงเรื่อยๆ
คนตัวเล็กจึงวางมีดสั้นลงบนโต๊ะอย่างไม่สบอารมณ์ ก่อนจะกำและคลายมือออก พยายามบังคับมือสั่นเทาให้สงบลง เพราะมั่นใจได้เพียงมือขวาเท่านั้น เนื่องจากมือซ้ายพันผ้าพันแผลเอาไว้ทำให้ไม่สามารถใช้มีดสั้นได้ถนัด
ทันทีที่อาการสั่นไหวลดลงเล็กน้อย ทันยองก็หยิบมีดสั้นขึ้นมาลนเปลวไฟอีกครา จากนั้นก็ขยับมีดสั้นเข้าไปใกล้แขนของคนเจ็บทันที ด้วยเห็นว่าอาการสั่นสะท้านของชังฮโยค่อยๆ ลดน้อยลง จึงไม่อาจล่าช้าไปมากกว่านี้แล้ว
ทันยองกรีดผ้าที่ตนเองพันให้อย่างลวกๆ ออกอย่างระมัดระวัง และไม่อาจใช้มือซ้ายช่วยได้อย่างถนัดนักจึงต้องยิ่งเพิ่มความระมัดระวัง เพราะหากเผลอทำพลาดจนใบมีดกรีดลึกเกินไป หรือหากขยับแรงมากไป ก็อาจจะทำให้เกิดแผลบนส่วนอื่นได้
เขาจัดการกรีดผ้าออกอย่างระมัดระวังอย่างยิ่ง ก่อนจะวางมีดสั้นลงบนโต๊ะแล้วดึงเศษผ้าที่ติดกับผิวเนื้อเพราะหยาดโลหิตออก บาดแผลชุ่มด้วยสมุนไพรที่ตนโปะไว้ นับว่าเป็นที่น่าพอใจ ไม่ได้มีโลหิตไหลซึมจนชุ่มโชก ทว่าแขนข้างนั้นถูกตัดออกไป โลหิตจึงไม่ยอมหยุดไหลจนสนิทเสียที ทันยองทำสีหน้าเกร็งเครียดราวกับเป็นความเจ็บปวดของตน ระหว่างนั้นก็หยิบท่อนไม้ขนาดความหนาเท่าสองนิ้วมือขึ้นมาหนึ่งท่อน พันด้วยผ้าพันแผล จากนั้นก็เปิดปากคนไม่ได้สติให้กัดมันเอาไว้ ด้วยเกรงว่าอาจจะกัดลิ้นเอาได้
“กัดฟันและอดทนเอาไว้นะ เพราะมันเกิดจากตัวพี่เองทั้งนั้น”
บ่นพึมพำกับผู้ไม่มีสติรับรู้ และรู้ดีว่าการเอ่ยเช่นนี้ก็เป็นเพียงการกระทำอันน่าขันเท่านั้น ทว่ายามนี้จะไม่เอ่ยก็อดไม่ได้ ถ้อยคำจากปากของทันยอง คล้ายต้องการกล่าวย้ำกับตนเองด้วยเช่นกัน
“ช่างเหมือนคนโง่เขลาไร้ปัญญา”
เขาพร่ำบ่นออกมาอีกครา เนื่องจากชังฮโยกระโดดออกมาบังตนเอาไว้จนบาดเจ็บหนัก ถึงขึ้นต้องเสียแขนข้างหนึ่งไป ความคิดว่าอีกฝ่ายตั้งใจจะตายแทนตนแวบผ่านเข้ามาในห้วงความคิด เหล่าคนถูกตัดแขนหรือขาเกินครึ่งล้วนเสียชีวิตด้วยอาการเสียเลือดมาก ทนพิษบาดแผลไม่ไหวจนสิ้นลม หรือไม่ก็หมดสติระหว่างรักษาและไม่ฟื้นขึ้นมาอีก ดังนั้นจึงไม่ผิดที่คิดว่าชังฮโยตั้งใจจะสละชีวิต แต่เขาไม่สามารถยอมรับและลบเลือนหนี้บุญคุณเช่นนี้ได้ ความรู้สึกของตัวเขาไม่ยินยอมกับสิ่งนั้น
ทันยองกำจัดเศษผ้าและเศษด้ายที่ติดบาดแผลอยู่ออกด้วยมือบ้าง ด้วยมีดสั้นบ้าง ก่อนจะฉีกผ้าพันแผลชุบลงในอ่างน้ำ แล้วเริ่มเช็ดทำความสะอาดบาดแผล จนเปื้อนด้วยโลหิตปะปนยาสมุนไพร
พอได้ลองทำความสะอาดบาดแผลเช่นนั้น จึงเห็นชัดว่าโลหิตไหลทะลักออกมามากมายเพียงใด เขากำและคลายมือสั่นเทาซ้ำๆ อีกคราหนึ่ง จากนั้นก็หยิบโลหะนาบขึ้นมาลนเปลวไฟจากตะเกียง มันค่อยๆ ร้อนขึ้นจนเริ่มมีประกายไฟ ทันยองจ้องมองสีของโลหะนาบนิ่ง และเมื่อเห็นว่าเริ่มร้อนได้ที่แล้วจึงยกออกจากเปลวไฟ แล้วกดโลหะนาบร้อนได้ที่ลงบนช่วงไหล่ของชังฮโยอย่างไม่ลังเล
ยามนั้น ดวงตาของคนไม่ได้สติกลับเบิกโพลงขึ้น อีกฝ่ายหวีดร้องออกมาอย่างเจ็บปวดพลางดีดดิ้นไปมา ท่อนไม้ที่คาบในปากถูกฟันขบกัดเสียจนแทบแตกหัก
“อื้อออ อึก!”
ทันยองลุกขึ้นแล้วพาดขาทับบนร่างกายกำยำ กดตัวชังฮโยไว้แน่น กลิ่นเนื้อและส่วนอื่นๆ ไหม้คละคลุ้งไปทั่วห้อง ก่อนจะละโลหะนาบออกจากบาดแผลแล้วเลื่อนมันไปลนเปลวไฟอีกครา ความเจ็บปวดทำให้ชังฮโยตาเหลือกขาว เนื้อตัวสั่นสะท้าน ขอบตาของทันยองพลันแดงก่ำ อีกทั้งดวงตายังปรากฏน้ำใสๆ เอ่อคลอ ทว่าเจ้าตัวกลับกัดฟันและกลั้นน้ำตาเอาไว้
หากปล่อยน้ำตาให้รินไหล แล้วใครจะรักษาคนผู้นี้ได้เล่า
ร่างบางกัดฟันแน่นและเอ่ยออกมาอย่างอดกลั้น
“กัดฟันไว้”
“อื้ออออออออ!!”
ทันทีที่เอ่ยเช่นนี้ มือก็ขยับโลหะนาบกดทาบลงบนช่วงไหล่กว้างอีกหน ร่างกายชังฮโยกระตุกเกร็งสั่นด้วยความเจ็บปวดและทรุดฮวบลงอย่างไม่อาจทนได้อีกต่อไป ทันยองคิดว่าหากอีกฝ่ายไม่ได้สติจะดีเสียกว่า เพราะบาดแผลใหญ่ ส่วนโลหะนาบมีขนาดเล็ก ดังนั้นจึงต้องทำซ้ำมากกว่าหนึ่งครั้ง หากตอนนี้หมดสติไปเสีย ก็จะไม่รับรู้ถึงความเจ็บปวดนั้น
ร่างบางลนโลหะนาบจัดการรักษาบาดแผลจนเสร็จสิ้น กลิ่นเหม็นสาบเนื้อและผิวหนังมนุษย์ถูกเผาไหม้ทำให้รู้สึกพะอืดพะอมขึ้นมา ทว่าเขากลับทำได้เพียงขบริมฝีปากอดกลั้นอาการคลื่นไส้
ตอนนี้เหลือเพียงการห้ามเลือดที่ยังไม่เสร็จสิ้น เขาฉีกผ้าพันแผลชุ่มน้ำ ก่อนจะป้ายยาลงไปแล้วกดซับมันลงบนบาดแผลซ้ำๆ ผสมสมุนไพรที่มีอยู่เข้าด้วยกันแล้วป้ายลงบนบาดแผลอีกครา จากนั้นก็พันด้วยผ้าสะอาด
การจัดการทุกอย่างด้วยมือเพียงข้างเดียวนับว่าเกินกำลังอยู่บ้าง ทว่าทันยองก็ออกแรงจัดการจนเสร็จสิ้นเพียงลำพัง
เขาปาดเช็ดหยาดเหงื่อที่ไหลซึมจนเต็มหน้าผาก ทั้งใช้ผ้าพันแผลที่เหลือเช็ดเหงื่อบนหน้าผากของชังฮโยด้วย เจ้าของใบหน้าหวานจ้องมองคนหมดสติด้วยความสับสน ก่อนจะเริ่มต้นเรื่องราวเช่นนี้ เขาบอกเล่าแบ่งปันเรื่องราวระหว่างตนกับทันยอบแก่ชังฮโยไปแล้ว ทว่าเหมือนจะยังคงหลงเหลือคำที่ต้องการกล่าวกับอีกฝ่ายอยู่ถึงมีสีหน้าเช่นนี้
แต่กลับทำเพียงขยับเผยอริมฝีปากเท่านั้น และไม่ได้กล่าวคำใดออกมาคล้ายยังไม่อาจเรียบเรียงได้ แม้กระทั่งจะพูดกับตนเองก็ตาม
ทันยองยืนอยู่เช่นนั้นครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยถ้อยคำออกมาอย่างยากลำบาก
“ไถ่โทษ ด้วยการมีชีวิตอยู่เถิด”
เขายืนอยู่หน้าประตู แต่ขากลับไม่ขยับก้าวออกไปด้านนอก ชังฮโยคือผู้ลงมือฆ่าทันยอบ แต่ก็เป็นผู้ช่วยชีวิตตนด้วยเช่นกัน เขาปรารถนาต่อความตาย แต่ก็ยังมีชีวิตอยู่ และเกิดคำถามขึ้นมาว่าแท้จริงแล้วปรารถนาที่จะตายจริงๆ หรือ หากว่าไม่ติดค้างสิ่งใดในชีวิต จะมีเหตุผลให้จบชีวิตลงด้วยวิธีไม่แน่นอนเช่นนั้นหรือ นั่นเป็นเพียงหนทางที่เลือกเพื่อมอบความเจ็บปวดให้อีกฝ่าย เช่นเดียวกับที่อีกฝ่ายมอบแก่ตนไม่ใช่หรอกหรือ คิดได้ดังนั้นจึงหันเหสายตาไปยังผู้สูญเสียแขนจากการช่วยตนเองเอาไว้
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหนที่ยืนนิ่งอยู่หน้าประตูเช่นนั้น จนกระทั่งได้ยินเสียงดังมาจากอีกฝั่งของประตู
“หมอหลวงมาแล้วขอรับ”
“ครับ ขอรับ!”
ทันยองตอบรับอย่างร้อนรน เมื่อนึกได้ถึงรับสั่งของฝ่าบาทว่าจะส่งหมอมาดูอาการให้ แต่ไม่ทันคิดว่าพระองค์จะส่งท่านหมอหลวงมา ก่อนจะถอยหลังไปไม่กี่ก้าว ประตูก็ค่อยๆ เปิดออก โดยมีหมอหลวงก้าวเข้ามาด้านใน
“มาแล้วหรือขอรับ”
เขาค้อมตัวลงแสดงความเคารพต่ออีกฝ่ายทันที หมอหลวงขยับไปทางเตียงนอนตามรับสั่งของฝ่าบาทว่าให้มารักษาผู้ป่วยที่นี่อย่างเอาใจใส่
“บอกอาการของผู้ป่วยมาเถิด”
“อันที่จริงด้วยเหตุการณ์คับขัน ข้าน้อยจึงจัดการไปแล้วขอรับ”
ทันยองยืนอยู่ข้างๆ หมอหลวงด้านหน้าเตียงนอน จากนั้นก็อธิบายทุกอย่างที่ตนเพิ่งกระทำ เนื่องจากเลือดไหลจากบาดแผลไม่หยุดจึงใช้โลหะนาบห้ามเลือด ทั้งยังใส่ยาและพันแผลแล้ว เมื่อได้รับฟังเช่นนั้น หมอหลวงก็ตบบ่าของทันยองอย่างแผ่วเบา
“ลำบากเจ้าแล้ว ข้าคงไม่จำเป็นต้องแกะออกมาอีก พรุ่งนี้ค่อยมาใส่ยาแล้วตรวจดูอีกทีเป็นพอ”
“ขอรับ ขอบพระคุณท่านหมอ”
“เรื่องนั่นช่างมันเถอะ ส่งมือของเจ้ามาสิ”
“ขอรับ?”
“ได้ยินว่ามือเจ้าเองก็ได้รับบาดเจ็บ ตนเองก็ไม่อาจจัดการรักษาแผลของตนได้เป็นอย่างดีอยู่แล้ว ดังนั้นเร่งส่งมือมาเถิด”
คนตัวเล็กลังเลใจก่อนจะยื่นมือซ้ายให้อีกฝ่าย หมอหลวงหยิบมีดสั้นที่ทันยองใช้งานเมื่อครู่ขึ้นมา ขยับลนใบมีดเหนือเปลวไฟตะเกียง แล้วตัดผ้าพันมือออก หลังจากปลดผ้าออก กลิ่นหนองเหม็นเน่าก็คลุ้งออกมาทันที หมอหลวงกระเดาะลิ้นอย่างคาดคิดไว้แล้วว่าย่อมเป็นเช่นนั้น ก่อนจะกดมือข้างที่สูญสิ้นนิ้วมือไปสองนิ้วลงในอ่างน้ำอย่างไม่ปรานี
เรียวคิ้วของทันยองขมวดมุ่น พร้อมเสียงครางเจ็บปวดเล็ดลอดออกมาจากไรฟันที่ขบกัดแน่น น้ำเย็นลงพอสมควรแล้ว แต่ยังคงอุ่นๆ อยู่สร้างความเจ็บปวดคล้ายกำลังลวกบาดแผล
[1] 1 เค่อเท่ากับ 15 นาที