ทันทีที่จาฮอนออกไปจากตำหนัก โซกังก็ลูบไล้เหล่าลูกแมวบนอาภรณ์พร้อมจ้องมองประตูที่อีกฝ่ายเพิ่งก้าวออกไป ไม่รู้ทำไมถึงรู้สึกปวดแปลบในใจ ไม่อาจล่วงรู้ได้เลย
“แมว แมวหรือ… อา!”
เขาขมวดคิ้วมุ่นก่อนจะเคาะหน้าผากตนเองด้วยกำปั้น เพราะตระหนักได้ว่าเหตุใดถึงรู้สึกเช่นนั้น
ในอดีต ห้องตำราของจวนตระกูลตนก็เคยเลี้ยงแมวเอาไว้เช่นกัน เจ้าแมวตัวที่ท่านพ่อนำมาเป็นตัวผู้ มีขนสีดำเป็นเงา หางยาว รูปร่างปราดเปรียวสมเป็นหนุ่มหล่อ ตัวเขาตั้งชื่อให้มันว่า ฮึกกโย
มันชอบนั่งรวบเท้าหน้าอย่างสุภาพอยู่บนที่ของตนเองตรงมุมห้องตำรา หลับตาลงช้าๆ ทั้งๆ ที่ใบหูขยับยุกยิก ช่างดูคล้ายผู้มีปัญญา และดูคล้ายกำลังขัดเกลาจิตใจเพื่อเข้าใจสัจธรรมของโลก ดังนั้นตลอดเวลาที่ท่านพ่อนั่งอ่านตำราอยู่ตรงหน้าฮึกกโย ก็มักจะเห็นเจ้านั่นสงบนิ่งและคล้ายจะจดจ่อตามอยู่หลายครา แน่นอนว่าครึ่งนึงของช่วงเวลานั้นจบลงด้วยการลูบขนที่นุ่มลื่นนั่น
แต่ไม่รู้ว่าเป็นมาอย่างไร เพราะผ่านไปช่วงหนึ่งเจ้านั่นก็ไม่ได้ปรากฏตัวให้เห็นแล้ว โดยมีแมวตัวอื่นมาอยู่แทนตำแหน่งนั้น ท่านพ่อเพียงเอ่ยบอกอย่างสุขุมแฝงเค้าของความโศกเศร้า และหลังจากนั้นท่านก็ไม่ได้เอ่ยถึงฮึกกโยอีกเลย
เมื่อเห็นเจ้าลูกแมวพวกนี้จึงนึกถึงและเรียกหาฮึกกโยในความทรงจำขึ้นมา เรียกหากระทั่งความทรงจำอันเจ็บปวดในเรือนทาส ทั้งอดีตก่อนหน้านั้นให้กลับมา
“นั่นสิ… อย่างนั้นเองสินะ”
‘การลืม’ คือสิ่งที่จำเป็นที่สุดต่อการดำรงชีวิตของมนุษย์
หากตกอยู่ในห้วงความสำเร็จเมื่อใด มันก็จะกลายเป็นความผิดพลาดในภายหลัง และหากผิดหวังในความพ่ายแพ้เมื่อใด ก็จะสูญเสียโอกาสลิ้มรสหอมหวานของความสำเร็จ หากมัวเมาในความยินดีอย่างไม่สิ้นสุด ก็จะสูญเสียกำลังอดทนต่อความเสียใจที่ปะทะเข้ามา และหากไม่สามารถสลัดความโศกเศร้าทิ้งไปได้ ก็จะสูญสิ้นกำลังในการใช้ชีวิต
ดังนั้น สำหรับมนุษย์สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ ‘การลืม’
“เป็นเช่นนั้นสินะ… ข้า…”
ในที่สุดโซกังคล้ายจะเข้าใจว่าเพราะเหตุใดช่วงนี้ตนถึงไร้เรี่ยวแรงและการอ่อนแรงอย่างไม่มีเหตุผล เพราะยามนี้คือช่วงเวลานั้น ช่วงเวลานั้นที่ท่านพ่อ ท่านมหาเสนาบดีพลาธิการ นายหญิงอิลฮวา โซยง มูฮยอน และผู้คนอีกมากมายถูกสำเร็จโทษ
บุตรที่ไม่อาจจัดพิธีเซ่นไหว้บิดา กระทั่งวันที่ก็ยังลืมเลือน แม้ว่าท่านจะดิ้นรนอย่างมากเพื่อช่วยชีวิตตน หากตนกลับหลงลืมวันที่บิดาจากไปอย่างนั้นหรือ สมควรที่จะต้องเจ็บปวด ต้องทุกข์ทนแล้ว
โซกังทอดถอนลมหายใจ ปลดอาภรณ์ให้เหล่าลูกแมวนอน ก่อนจะหยัดกายลุกขึ้นด้วยสวมเพียงอาภรณ์ตัวใน จากนั้นก็นำอาภรณ์ตัวอื่นที่แขวนอยู่ตรงมุมห้องมาสวมทับแทน จัดการผูกอย่างเรียบร้อยแล้วก้าวออกจากตำหนัก
ถึงแม้จะงดงาม ทว่ากลับแตกต่างกับสวนขนาดน่ารักกะทัดรัดของตำหนักฮงฮวา เพราะสวนของตำหนักยอฮยังอันเป็นตำหนักของฮวังฮูกลับใหญ่โตและหรูหราเสียจนอึดอัดใจ สร้างขึ้นเพื่อแสดงความสง่างามให้สมกับฐานะของจักรพรรดินี หากมิใช่เช่นนั้นก็อาจจะเป็นเพราะฮวังฮูในอดีตชื่นชอบความหรูหราเช่นนี้กระมัง จักรพรรดิยามนั้นจึงสร้างให้ก็สุดรู้
ร่างบางตระหนักถึงความอกตัญญูของตน แม้อากาศจะหนาวเหน็บก็ไม่ยอมสวมชุดคลุมและออกมาเดินในสวน พอได้เห็นเช่นนั้น ขันทีผู้รับหน้าที่คอยดูแลฮวังฮูก็พลันตระหนกตื่น
“มามา!”
“หืม?”
“ข้างนอกหนาวเย็นยิ่งนัก สวมฉลองพระองค์คลุมแล้วค่อยออกไปเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
“ไม่เป็นไรหรอก”
โซกังยกยิ้มบางพร้อมเอ่ยตอบ ทราบดีว่าลมพัดแรงและอากาศเย็นเสียจนพื้นเกาะตัวเป็นน้ำแข็ง ทว่าจริงๆ แล้วก็ไม่ค่อยหนาวนัก ด้วยความรู้สึกผิดที่ไม่รู้บุญคุณจึงไม่มีกระทั่งเวลาจะรู้สึกหนาวเย็น คิดว่าจำเป็นจะต้องสัมผัสสายลมเย็นเยียบถึงจะตั้งสติขึ้นมาได้ แต่เมื่อฟังเหตุผลของขันที เขาจึงไม่อาจดื้อรั้นทำเช่นนั้น
“ฮวังฮูมามา หากทรงออกมาเช่นนี้แล้วฝ่าบาทเสด็จมาพอดี กระหม่อมคงต้องตายแน่พ่ะย่ะค่ะ ขอทรงโปรดเห็นใจกระหม่อม สวมฉลองพระองค์เพิ่มสักชั้นด้วยเถิด”
“นั่นสินะ ข้าคิดน้อยเอง”
คำกล่าวนั้นทำให้โซกังพยักหน้ารับและหมุนเท้ากลับ จาฮอนย่อมตำหนิขันทีแน่นอนหากปล่อยให้ตนออกไปเช่นนี้ รวมถึงคนอื่นๆ ในตำหนักยอฮยังทั้งหมดด้วย
ร่างบางกลับเข้ามาด้านใน สวมอาภรณ์ตัดเย็บอย่างหนานุ่มคลุมทับแล้วออกมาด้านนอกอีกครั้ง ขันทีกล่าวขอบคุณพร้อมกับค้อมคำนับ เขาก็ตอบรับว่าไม่ต้องทำเช่นนั้นพร้อมโบกมือ ก่อนจะเริ่มออกเดินในสวน โดยมีขันทีก็ติดตามอยู่ด้านหลัง โซกังทอดถอนใจออกมาระหว่างเดินเตร่ในสวนอยู่สักพัก
แท่นบรรทมจากไม้ราคาแพง เครื่องนอนผ้าไหมและผ้าห่ม จนถึงอาภรณ์อันประณีตงดงามและรองเท้าปัก เขาไม่มีคุณสมบัติที่จะได้รับทั้งหมดนั่นเลย
* * *
เพราะกล่าวว่าพรุ่งนี้จะพาไปที่ที่หนึ่ง จาฮอนจึงไม่ได้เปิดเปลือยอาภรณ์ของคนรักในยามค่ำคืน แต่ก็ไม่ได้ปล่อยให้นอนหลับลำพัง ตำหนักคอนรยุงอันเป็นตำหนักส่วนตัวนั้นไร้ประโยชน์จะพำนัก เพราะตำหนักของคนรักก็คือที่พำนักหลักของเขา
โซกังไม่กล้าเล่าสิ่งที่ตนเพิ่งตระหนักได้แก่คนที่โอบกอดและลูบปลอบแผ่นหลังฟัง
อีกฝ่ายยุ่งมาจนกระทั่งถึงตอนนี้ การสะสางราชกิจจนเสร็จแล้วกลับมาก่อนยามซุลเช่นวันนี้ นับเป็นเรื่องหาได้ยากยิ่ง เดิมทีระฆังต้องบอกยามแฮก่อนถึงจะกลับมายังตำหนักยอฮยัง ดังนั้น ตนจึงไม่สามารถแสดงท่าทางเหมือนเด็กๆ ไปมากกว่านี้ต่อจาฮอนได้
ตั้งแต่แต่งตั้งตนขึ้นเป็นฮวังฮู ทั้งสลักว่าจะเป็นฮวังฮูเพียงหนึ่งเดียว ก็ได้รับความยุ่งยากมากพอแล้ว ทราบดีว่าการตามหาสายเลือดของเชื้อพระวงศ์องค์ก่อนๆ เพื่อสืบทอดราชบัลลังก์ต่อ ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายดายเลย หากลองควบคุมความรู้สึกด้วยตนเอง ก็คงจะไม่เป็นไร โซกังจึงขอนอนหลับในอ้อมกอดของจาฮอน
เช้าวันต่อมา หลังจากสวมฉลองพระองค์เต็มยศ ร่างสูงก็กล่าวกับโซกังที่ยังคงดูไม่สู้ดีนัก
“อย่าลืมล่ะ เตรียมตัวไว้ ยามระฆังแจ้งช่วงกลางยามซาดังขึ้น ข้าจะส่งเกี้ยวมารับ เจ้าแค่ขึ้นเกี้ยวมาก็พอ”
“ทราบแล้วพ่ะย่ะค่ะ ว่าแต่จะทรงพาไปที่ใดหรือ”
“เป็นที่ที่เจ้าจะต้องไปเห็นเอง”
จาฮอนบอกเพียงเท่านั้น โซกังทำสีหน้าสงสัยเพราะไม่เข้าใจเรื่องราว แต่อีกฝ่ายก็ดูเหมือนจะไม่ยอมบอกอะไรอีก มอบจุมพิตหนักหน่วงจนหายใจไม่ทันคล้ายเป็นการปิดกั้นการสนทนา ก่อนจะก้าวออกจากตำหนักยอฮยัง
โซกังนอนพักผ่อนบนแท่นบรรทมต่ออีกนิดหลังจากจาฮอนออกไปแล้ว เขาอ่อนล้ายิ่งกว่าเมื่อวาน ในหัวคล้ายอื้ออึงด้วยเสียงร้องของเหล่าผู้ล่วงลับ
ระหว่างเผลอหลับ เสียงระฆังแจ้งเวลายามซาก็ดังขึ้น ทำเอาโซกังสะดุ้งตื่น รีบลุกขึ้นมาชำระกายและผลัดเปลี่ยนอาภรณ์ เหล่านางกำนัลเข้ามาช่วยสวมฉลองพระองค์เต็มยศ เส้นผมยาวสลวยไม่ได้ยกรวบขึ้น เพียงปล่อยสยายโดยจัดให้ไม่กระเซอะกระเซิง
ครู่หนึ่งหลังจากนั้น เสียงระฆังแจ้งช่วงกลางยามซาก็ดังขึ้น ตามด้วยเสียงรายงานจากนางกำนัลหน้าประตู
“ฮวังฮูมามา เกี้ยวมาถึงแล้วเพคะ”
“เรากำลังจะออกไป”
แม้จะค่อยๆ ปรับตัว โซกังก็ยังคงสุภาพไม่เปลี่ยน เขาสวมชุดคลุมที่นางกำนัลนำมาให้ ก่อนจะก้าวออกไปนอกตำหนักแล้วขึ้นเกี้ยว ใช้ผ้าห่มที่เตรียมไว้ภายในคลุมตัก รู้สึกได้ถึงการสั่นไหวของตัวเกี้ยว เขาจึงหลับตาลงครู่หนึ่ง ทุกอย่างดำเนินเช่นนั้น มีเสียงฝีเท้าม้ากุบกับดังขึ้นใกล้ๆ โซกังยังคงหลับตาอยู่และคิดว่าคงจะเป็นองครักษ์ฮวังรยง
จะไปถึงที่ใดกันนะ การสั่นหยุดลงแล้ว ดูท่าจะถึงที่หมายเป็นแน่
ได้ยินเสียงความวุ่นวายอยู่ครู่ จากนั้นประตูเกี้ยวก็เปิดออก เป็นจาฮอน… อีกฝ่ายช่วยจับมือและพาลงจากเกี้ยว เขาถึงได้รู้ว่ามีเพียงตนนั่งเกี้ยวมาผู้เดียว เพราะจาฮอนขี่ม้ามาเอง
หลังจากลงจากเกี้ยวก็มองดูโดยรอบด้วยสีหน้างุนงง มองเห็นต้นไม้อยู่ทั่วครรลองสายตา คล้ายเป็นปากทางขึ้นเขา ทั้งยังมีลมพัดแรง แม้จะไม่อาจรู้ว่าเป็นประตูค่ายทหารหรืออันใด แต่โซกังก็ยืนอย่างสงบเสงี่ยมรอคอยให้จาฮอนอธิบายแทนที่จะเอ่ยถาม ร่างสูงจับมือเขาแล้วหันไปเอ่ยกับเหล่าผู้ติดตาม
“รออยู่ที่นี่ จนกว่าข้าจะกลับมา”
“รับด้วยเกล้าพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท”
ทุกคนค้อมคำนับพร้อมตอบรับ โซกังเดินขึ้นเส้นทางบนเขาตามที่มือของจาฮอนจับจูง แม้ไม่ใช่เส้นทางสูงชัน ทว่าเป็นเส้นทางดินค่อนข้างลาด แต่กลับสวมอาภรณ์รุ่มร่ามจึงรู้สึกไม่ค่อยสะดวก อีกทั้งตอนนี้พลังกายพลังใจก็ถดถอย จึงยิ่งรู้สึกลำบากกว่าเดิม
หากจาฮอนไม่จับจูง เดินไม่เท่าไหร่ก็คงจะล้มทรุดแล้ว
เมื่อก้าวเดินขึ้นไปได้ระยะหนึ่ง จาฮอนก็พาโซกังมาหยุดยืนตรงบริเวณโล่งกว้าง ต้นไม้ถูกตัดโค่นออกเล็กน้อย ยืนโอบประคองช่วงไหล่บางเอาไว้อย่างอ่อนโยน
“ขอโทษที่ข้าเพิ่งจะพามาเอาป่านนี้ ใช้เวลาตามหาพื้นที่ตรงนี้นานอยู่สักหน่อย”
“พ่ะย่ะค่ะ? หมายความว่าอย่างไรกัน”
แทนที่จะให้คำตอบ อยู่ดีๆ จาฮอนก็หมอบคำนับอย่างนอบน้อมไปทางพื้นที่โล่งกว้างนั่น ไม่ได้ใส่ใจเลยว่าอาภรณ์จะเปรอะเปื้อนหรือไม่หลังจากคุกเข่าลงกับพื้นถึงสองครา เมื่อเสร็จสิ้นการคำนับครั้งที่สอง อีกฝ่ายก็ลุกขึ้นและค้อมศีรษะเล็กน้อย และไม่ได้สนใจคำถามของโซกัง
“ทรงทำอะไรพ่ะย่ะค่ะ”
“ขออภัยที่เพิ่งมาพบเอาตอนนี้ ข้าดูแลโซกังอย่างดี ดังนั้นโปรดวางใจ”
“เมื่อครู่ท่าน นี่… ที่นี่คือ!”
ร่างบางเอ่ยตะกุกตะกักไม่เป็นประโยค ดวงตาเบิกกล้างค้างเติ่งและรีบเร่งเดินไปยังพื้นที่โล่งกว้างตรงหน้า จาฮอนตบไหล่โซกังอย่างแผ่วเบาก่อนจะตอบคำถาม
“แต่เดิม ศพของเหล่านักโทษประหารมีสถานที่สำหรับทำพิธีแยกต่างหาก แต่ไม่รู้เพราะเหตุใดท่านมหาเสนาบดีพลาธิการกับครอบครัว และอีกหลายคนกลับถูกฝังอยู่ที่นี่โดยไม่มีการทำพิธีใดๆ ท่านขุนนางกรมราชเลขาก็เช่นกัน ดังนั้น ข้าจึงใช้เวลาหาอยู่นานนัก”
“ฮึก…ที่ ที่นี่ ไม่ได้ทำพิธี…! ทั้งๆ ที่เป็นเช่นนี้ ข้ากลับ ไม่รู้อันใดเลย ทั้งยังสุขสบาย…”
หยาดน้ำตาไหลรินจากดวงตาคู่สวย ไม่ใช่แค่เพียงเท่านั้น โซกังยังทรุดตัวลงกับพื้นราวกับไร้เรี่ยวแรงจะยืน จาฮอนจึงก้มตัวลงปลอบโยนคนสะอื้นไห้อย่างไร้เสียง
“เจ้าใช้ชีวิตสุขสบายอย่างไรกัน ความสุขสบายในยามนี้ ก็ใช่ว่าจะสุขสบายมาตลอดมิใช่หรือ อย่าได้กล่าวเช่นนั้นเลย เมื่อหาพบแล้ว เราก็จัดการทำพิธีให้ดีก็พอแล้ว”
“จาฮอน… ฮึก…”
โซกังแอบอิงแผ่นอกแกร่ง จาฮอนช่วยกอดปลอบอีกฝ่ายจนกระทั่งน้ำตาหยุดลง หลังจากหยุดร้องไห้ได้เพียงครู่ เขาจ้องมองอีกฝ่ายด้วยดวงตาปูดบวมและเอ่ยถาม
“ทรงคิดพากระหม่อมมาที่นี่ได้อย่างไรกัน”
“ไม่รู้สิ ข้าก็แค่ แค่คิดว่าเจ้าต้องมาเท่านั้นเอง”
“ขอบคุณนะจาฮอน… ท่านพี่”
ความรู้สึกอยากขอบคุณอัดแน่นในอก โซกังเอ่ยถ้อยคำที่ไม่ค่อยเอ่ยออกมาด้วยขัดเขินว่าตนเป็นบุรุษ คิ้วของจาฮอนกระตุกทันที ก่อนจะยังวาดยิ้มกว้างอย่างไม่อาจเก็บซ่อน จากนั้นก็ลูบสัมผัสปรางแก้มนุ่มและขโมยจูบแผ่วเบา
“ข้าจะตกแต่งให้งดงามแล้วก็ชวนเจ้ามาทุกๆ ปี เจ้าจะได้ไม่รู้สึกเจ็บปวดอีก”
“…ตั้งใจจะทำให้ข้าร้องไห้อีกแล้วหรือ”
“มันเป็นเรื่องดีต่างหาก จงยิ้มออกมาเถิด เจ้าร้องไห้แค่ยามอยู่ใต้ร่างข้าก็พอแล้ว”
โซกังจับมือของจาฮอนเดินไปทั้งๆ ที่ใบหน้าขึ้นสีระเรื่อ ไม่รู้ทำไมสายลมรุนแรงเมื่อครู่ ยามนี้ถึงทำให้รู้สึกเย็นสบาย